ตอนที่แล้ว5 จำลองการสอบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป7 เทพธิดาแห่งโรงเรียนมัธยมซื่อเซียวที่สอง

6 ยุคมืด


6 ยุคมืด

หลี่เย้าขมวดคิ้วมุ่น และมีสีหน้าที่เอาจริงเอาจัง ในช่วงของ “ยุคมืด” คือจุดสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดเป็นอารยธรรมของผู้ฝึกตนอย่างในปัจจุบัน พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ยุคมืดนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองช่วงด้วยกัน ก็คือ “การบ่มเพาะยุคคลาสสิก” และ “การบ่มเพาะยุคปัจจุบัน” ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่ธรรมดามาก แต่ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถตอบคำถามให้ครอบคลุมในทุกเรื่องได้อย่างง่ายดาย

หลี่เย้าพึมพำและคิดย้อนกลับไปถึงเนื้อหาทั้งหมด จากนั้น เขาก็ตอบคำถามขึ้นภายในจิตใจ แล้วตัวหนังสือก็ลอยขึ้นไปอยู่ด้านใต้ของคำถาม “ผู้ฝึกตนในยุคโบราณมีความเป็นอมตะไม่มีวันตาย และด้วยความทะเยอทะยานของพวกเขา จึงได้ทำให้เกิดยุคสมัยที่มีผู้ฝึกตนที่ไร้เทียมทานขึ้นมาอย่างมากมาย พวกเขาได้เริ่มจากระดับการกลั่นวิญญาณและระดับรากฐานวิญญาณ ไปสู่ ระดับเขตแดนวิญญาณและระดับรวมวิญญาณ...แล้วก้าวข้ามไปสู่ระดับเซียน นี่คือลำดับขั้นที่พวกเขาต้องก้าวผ่านไปสู่การเป็นเซียน และที่มากไปกว่านั้น การก้าวเดินไปบนเส้นทางที่คดเคี้ยวสายนี้ ก็ยังหมายถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของชีวิตอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วก้าวข้ามจักรวาลไร้ที่สิ้นสุดไปให้ได้”

“เมื่ออารยธรรมของผู้ฝึกตนเจริญรุ่งเรื่องจนถึงขีดสุด ผู้ฝึกตนก็ได้สร้างดวงดาวขึ้นมานับร้อยนับพันดวง พวกเขาได้สร้างเส้นทางโบราณข้ามผ่านจักรวาลไร้ที่สิ้นสุดขึ้น เพื่อใช้เดินทางไปยังดวงดาวมากมาย พวกเขาได้ไปถึงระดับที่สามารถค้นหาความลับแห่งกาลเวลาได้!”

“ด้วยการพัฒนาของอารยธรรมที่ไม่หยุดยั้ง ผู้ฝึกตนในยุคโบราณจึงแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ อายุขัยของพวกเขายาวนานยิ่งขึ้น และจำนวนทรัพยากรในการบ่มเพาะก็ยิ่งมากขึ้นและมากขึ้น”

“ในช่วงแรกเริ่มของอารยธรรมผู้ฝึกตนนั้น ในดวงดาวทั้งสามพันกว่าใบมีผู้ฝึกตนในระดับเขตแดนวิญญาณเพียงไม่กี่ร้อยคนและผู้ฝึกตนระดับรวมวิญญาณเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ส่วนระดับเทพปีศาจและระดับจักรพรรดิ ซึ่งเป็นที่สูงกว่านั้นยังไม่มีใครเคยได้ยิน ในดวงดาวบางดวง อาจจะปรากฏผู้ฝึกตนขึ้นมาแค่ไม่กี่คนในรอบพัรปีด้วยซ้ำ”

“แต่เมื่ออารยธรรมผู้ฝึกตนไปถึงจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของยุค ได้ปรากฏผู้ฝึกตนระดับสูงขึ้นมาเป็นทบทวีคูณ ในช่วงเวลานี้ จนมีคำพูดหนึ่งเกิดขึ้น”รวมวิญญาณมีมากราวผับฝูงสุนัข เทพปีศาจลากจูงพวกเขาอย่างรื่นรมย์”

“และเมื่อผู้ฝึกตนระดับสูงมีจำนวนที่มากขึ้น จำนวนทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะก็ต้องมากตามไปด้วย สุดท้ายแล้ว ผู้ฝึกตนก็ได้เลื่อนระดับการบ่มเพาะไปจนถึงความเป็นนิรันดร์ พวกเขามีความกระหายอยากในทรัพยากรอย่างไม่จบไม่สิ้น!”

“ในตอนแรกเริ่ม การเสาะหาทรัพยากรในดวงดาวนับพันเพื่อการบ่มเพาะสำหรับผู้ฝึกตนนั้นมีอยู่อย่างเพียงพอ แต่หลังจากที่เผาผลาญทรัพยากรไปหลายพันปี ค้นพบดวงดาวนับพันและเผ่าพันธ์นับหมื่นแล้ว พวกเขาก็พบว่าทรัพยากรนั้นเริ่มร่อยหรอลงไป”

“โลกนั้นมีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการของผู้ฝึกตนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด โลกแห่งผู้ฝึกตนในอดีตต้องใช้ระยะเวลากว่าพันปี ถึงได้เข้าใจความจริงข้อนี้ และได้ระเบิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรระหว่างผู้ฝึกตนขึ้น”

“สงครามกลางเมืองนานนับสามพันปี ได้กระจายไปทั่วทุกดวงดาว ผู้ฝึกตนได้ร่ายคาถาอาคมและเปลี่ยนธรรมชาติให้กลายเป็นอาวุธเพื่อฆ่าฟัน! ดวงดาวลุกไหม้และเส้นทางข้ามดวงดามถูกทำลาย ยานรบคริสตัลระเบิดไปทีละลำ ผู้ฝึกตนที่ว่าเป็นอมตะก็ได้ร่วงจากฟากฟ้าไปทีละคน ผู้ฝึกตนระดับเขตแดนวิญญาณและระดับรวมวิญญาณ ที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงแค่มดแมลง ก็ได้กลายมาเป็นอาวุธปืนใหญ่ที่ร้ายกาจอย่างหาค่าไม่ได้ ร่างของพวกเขาแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและฝุ่นควัน เป็นสาเหตุให้ดวงดาวมากมายถูกทำลายล้างลงไป”

“ตอนท้ายของสงคราม ดวงดาวกว่า 70 % ถูกทำลายไปและตัดขาดการติดต่อจากมาสเตอร์เวิลด์ ผู้ฝึกตนระดับสูงกว่า 90% ได้กลายร่างเป็นเถ้าถ่าน เหลือไว้เพียงผู้ฝึกตนระดับล่างที่ดิ้นรนต่อสู้อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง”

“มันดูเหมือนว่า สงครามได้จบลงแล้ว และกำลังเข้าสู่รุ่งอรุณของยุคที่สงบสุข จนกระทั่งผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่ไร้ที่มาที่ไป ได้สร้าง”สิ่งประดิษฐ์เล็กๆ“ขึ้นมา”

“บันทึกเกี่ยวกับชื่อและนิกายของผู้ฝึกตนอัจฉริยะคนนี้ได้หายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว วิธีการสร้างสิ่งประดิษฐ์ของเขาก็ได้ลอยหายไปกับสายลม และโลกปัจจุบันได้เรียกชื่อสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า”ไวรัสเทพอสูร“!”

“บางทีอาจจะเป็นเพราะความคิดที่เรียบง่ายของเขาเอง ที่คิดว่า ในเมื่อมีนักรบไม่เพียงพอ ทำไมถึงไม่สร้างบางสิ่งที่มีความสามารถในการสู้รบขึ้นมา โดยใช้สัตย์อสูรวิญญาณมาแทนที่เหล่าผู้ฝึกตนในสนามรบ แล้วสัตย์อสูรวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในสนามรบในจำนวนที่นับไม่ถ้วน!”

“ซึ่งเขาประสบความสำเร็จ สัตย์ร้ายที่ได้รับไวรัสเทพอสูร ได้กลายเป็นสัตย์อสูรวิญญาณว่านอนสอนง่าย และเครื่องจักรสังหารที่น่าหวาดกลัว ที่รู้จักกันในนามสัตย์อสูร พวกมันไม่รู้จักเหนื่อย พวกมันไม่ลังเลที่จะฆ่า และพวกมันก็ฆ่าไม่ตาย!”

“ในเวลาสั้นๆแค่ 10 ปี ผู้ฝึกตนอัจฉริยะได้ใช้กองทัพสัตย์อสูรของเขา รวบรวมดวงดาวเข้าด้วยกัน ด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพสัตย์อสูรที่เขามี จึงทำให้ผู้ฝึกตนค้นพบสิ่งที่เขาทำ และได้คิดค้นกองทัพสัตย์อสูรของตนเองขึ้นมา”

“ภายในเวลาหนึ่งร้อยปี สัตย์อสูรได้กลายมาเป็นกองกำลังหลักของสงครามกลางเมือง  ที่มีอยู่ในทุกซอกทุกมุมของจักรวาล”

“น่าเสียดาย ที่เหล่าผู้ฝึกตนกลับลืมนึกถึงสิ่งสำคัญอยู่สองอย่าง”

“สิ่งแรก ไวรัสเทพอสูรนั้นมีความสามารถในการแบ่งตัวที่สูง และแพร่กระจายออกไปได้อย่างรวดเร็ว”

“อย่างที่สอง ในขณะที่ไวรัสสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของสัตย์อสูรได้ มันก็สามารถเพิ่มสติปัญญาให้กับเหล่าสัตย์อสูรได้เช่นกัน ท่ามกลางสงครามนองเลือดที่โหดร้าย จำนวนสัตย์อสูรที่ถูกใช้ทำสงครามมีมากกว่าหมื่นล้านตัว และ”สัตย์อสูรกลายพันธุ์“ที่มีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ตัวแรกได้เกิดขึ้นมา!”

“ในท้ายที่สุด สงครามกลางเมืองที่นานกว่าสามพันปีก็ได้เข้าสู่วันสุดท้าย ด้วยการตื่นขึ้นของสัตย์อสูรกลายพันธุ์!”

“เหล่าสัตย์อสูรในจักรวาลได้เริ่มต่อต้านเจ้านายของพวกมัน ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ราวกับถูกบางอย่างบงการอยู่เบื้องหลัง ผู้ฝึกตนที่หลบอยู่หลังประตู และทำตัวราวกับเจ้าเหนือหัวมานานหลายปี ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะโต้กลับ เหล่าสัตย์อสูรที่สั่งสมประสบการณ์จากการรบมาอย่างยาวนานได้เลย และในที่สุด เหล่าสัตย์อสูรได้ยึดครองความรู้และทักษะการบ่มเพาะของมนุษย์ชาติ!”

“อาณาจักรมากมายถูกรื้อถอนจนราบเป็นหน้ากอง นิกายมากมายต่างดับสูญ ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยปี เผ่าพันธุ์อสูรก็ได้ไล่ล่าสังหารเหล่าผู้ฝึกตนที่เล็ดรอดออกไปได้ อย่างโหดร้ายทารุณ เหล่าผู้ฝึกตนที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ ในเวลานี้เป็นได้แค่เพียงสุนัขให้ลากจูงเท่านั้น พวกเขาหลบซ่อนอยู่ในเงามืดและช่องว่างของมิติเวลาแห่งจักรวาล อาศัยอยู่ในเขตแดนไร้ที่สิ้นสุด อย่างคนไร้ที่ไป”

“30,000ปีต่อจากนั้น คือ ยุคมืด ของมนุษยชาติอย่างแท้จริง ท่ามกลางความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เผ่าพันธุ์อสูรก็ได้ก่อตั้งอาณาจักรสัตย์อสูรขึ้น และมนุษยชาติได้กลายมาเป็นทาสชั้นต่ำ พวกเขาสูญสิ้นศักดิ์ศรี และความภาคภูมิใจ และพวกเขายังสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นก็คือ สิทธิ์ในการบ่มเพาะ!”

“มันเป็นสามหมื่นปี! ตลอดระยะเวลาสามหมื่นปีนี้ ความรุ่งเรื่องในอดีตของอารยธรรมผู้ฝึกตนสร้างขึ้นมา ท่ามกลางทะเลดวงดาวที่ไร้ขอบเขต กลายเป็นเหมือนดั่งปราสาททราย ที่ถูกคลื่นซัดสาดทำลายไป จนไม่เหลือแม้แต่ซาก! ลูกหลานของผู้ฝึกตนอันสูงส่ง ที่เคยเป็นเจ้าของ”ความอมตะ“ทำได้เพียงสืบพันธุ์ เพื่อไม่ให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขาต้องดับสูญไป!”

“หลังจากยุคมืดดำเนินไปได้ 30,000 ปี ได้เกิดความขัดแย้งภายในเผ่าอสูรขึ้น จนทำให้พวกเขาแบ่งกันเป็นฝักฝ่าย มีเพียงโอกาสนี้เท่านั้น ที่มนุษยชาติจะมีโอกาสได้หายใจ เหล่าผู้ฝึกตนได้ก่อการ”ปฏิวัติของเหล่าผู้ฝึกตน“ถึงสามครั้ง ภายใต้ความพยายามของเหล่าผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเผ่าอสูร พวกเขาได้สร้างระบบ”อารยธรรมผู้ฝึกตนยุคปัจจุบัน“ขึ้น มีเพียงวิธีรี้เท่านั้น ที่พวกเขาจะสามารถเดินไปยังเส้นทางของการฝึกตน ฟื้นความรุ่งเรื่องให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง!”

“ภายใต้การนำและการหยัดยืนที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนของ”จักรพรรดิ“มนุษยชาติจึงสามารถค้นพบร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ของผู้ฝึกตนในยุคโบราณ และสามารถก่อตั้งนิกายขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง หนึ่งพันปีของการต่อสู้อย่างนองเลือดได้ผ่านพ้นไป และแล้ว มนุษยชาติก็ประสบความสำเร็จ มนุษยชาติได้กลายมาเป็นผู้คุมกฎของจักรวาลอีกครั้ง ยุคสมัยใหม่ของผู้ฝึกตนได้ฉายแสง และปราศจากการทำลายล้าง!”

“หลังจบ”ยุคมืด“วันเวลาก็ได้ผันผ่านไปอีกหมื่นปี ช่วงเวลาแห่งการล้มสลายของอารยธรรมผู้ฝึกตนในยุคโบราณได้ผ่านพ้นไปถึงสีหมื่นปีแล้ว และปัจจุบันคือยุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การฝึกตน มันคือปีที่สี่หมื่น ยุคที่การฝึกตนไม่มีที่สิ้นสุด!”

ในขณะที่หลี่เย้ากำลังคิดคำตอบท่อนสุดท้ายอยู่นั้น การนับถอยหลังก็ได้ปรากฏขึ้นในอากาศ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเวลาสำหรับการสอบใกล้จะจบลงแล้ว ทำให้เขาไม่มีทางเลือก และจำต้องใส่เรื่องของ“จักรพรรดิ”ลงไปในคำตอบ เขาเติมคำตอบเข้าไปอีกสองสามประโยคโดยไม่คิดให้มากความ และจบบทสรุปลงอย่างรีบร้อน

เมื่อคำสุดท้ายผุดออกมาจากความคิดของเขา โลกทั้งใบก็ได้พังทลายลงด้วยเสียงดัง ปัง! และแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง หลี่เย้าถูกบังคับให้ออกจากการสอบ การมองเห็นของเขาพล่าเลือนและสติของเขาก็กลับคืนมาที่เครื่องจำลองการสอบ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด