ตอนที่แล้วบทที่ 85 เดิมพันมหาศาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 87 ราชันย์สวรรค์สังหาร

บทที่ 86 กลโกง


สำนักจิตอสูรจำกัดขอบเขตเกี่ยวกับการใช้กำลังและการสังหาร อีกทั้งยังมีกฎบางอย่างที่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้อย่างเด็ดขาด

หากใครฝ่าฝืน คนผู้นั้นจะถูกประหารทันทีโดยไม่สนว่ามีสถานะที่สูงส่งขนาดไหน สำนักจิตอสูรมีขนาดใหญ่โต ทำให้สามารถเปิดรับศิษย์ได้หลายพันคน ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น มีทั้งคนที่มีสถานะสูงส่งและมีสถานะทั่วไป

ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งในหมู่ลูกศิษย์ที่มีสถานะและภูมิหลังที่ต่างกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่สนามประลองถูกสร้างขึ้น

สนามประลองตั้งอยู่ในบริเวณของตำหนักทักษิณ มันคือสถานที่ที่ใช้สำหรับตัดสินความขัดแย้งด้วยการต่อสู้ ตราบเท่าที่ก้าวขึ้นมาบนสนาม ความตายก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าหนึ่งในผู้เข้าประลองจะถูกทำให้กลายเป็นคนพิการ ทางสำนักก็จะเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

เจียงอี้และศิษย์ของสำนักคนนั้นเดินไปด้านนอก ทางด้านของเจียงอี้ เขามองหาศิษย์สำนักสามัญและมอบเงินจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ให้เขาไปแจ้งข่าวให้เฉียนว่านก้วนผู้ซึ่งอยู่ในตำหนักประจิมได้รับทราบ

คู่ต่อสู้ของเจียงอี้คราวนี้ดูเหมือนว่าจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เพราะแม้แต่อาจารย์ผู้ดูแลห้องบ่มเพาะพลังก็ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วน ดังนั้นเจียงอี้จึงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวเป็นธรรมดา

“พี่เฉิน เจ้าเด็กนี่ต้องการที่จะประลองกับข้าและเดิมพันด้วยคะแนนสะสมสามร้อยคะแนน รบกวนเจ้าช่วยจดบันทึกด้วย!”

คู่ต่อสู้ของเจียงอี้เดินไปหาทหารยามที่อยู่ด้านนอกสนามประลองและกล่าวด้วยเสียงดัง ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลงขณะที่สังเกตการกระทำพวกมัน เขาคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วที่ไหว้วานให้ใครบางคนไปแจ้งข่าวแก่เฉียนว่านก้วน หากศิษย์ผู้นั้นรู้จักแม้แต่ทหารยาม แสดงว่าเขาจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดา

“เด็กคนนั้น?”

ทหารยามเหลือบมองเจียงอี้และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะเล็กน้อยและเอ่ย “น้องจ่างซุนเข้ามาก่อนสิ อาจารย์เฟิงอยู่ด้านใน เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นพยานเถอะ”

น้องจ่างซุน? สมาชิกตระกูลจ่างซุน?

ใบหน้าของเจียงอี้ปรากฏความเคร่งเครียดเล็กน้อย เขาคาดเดาไว้แล้วว่าชายคนนี้ต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสมาชิกของตระกูลจ่างซุน, ตระกูลอันดับหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่ ตระกูลของพวกเขาอยู่เหนือตระกูลเจียงหนึ่งระดับ

ภายในราชวงศ์ตอนนี้ จักรพรรดินีหรือก็คืออัครมเหสีขององค์จักรพรรดิและภรรยาของเจียงเปี๋ยหลีต่างก็มาจากตระกูลจ่างซุนทั้งสิ้น

ในเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว เจียงอี้ก็ไม่คิดที่จะถอยหนี เขาเดินเข้าหานายน้อยจากตระกูลจ่างซุนด้วยความไม่เกรงกลัว เมื่อเหล่าศิษย์ของสำนักได้ยินว่าจะมีการประลองเกิดขึ้นและมีเดิมพันเป็นคะแนนสะสมถึงสามร้อยคะแนน พวกเขาก็เกิดความสนใจและรีบมายังสนามประลองในทันที

สนามประลองนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ภายในนั้นเป็นโถงขนาดใหญ่และมีเวทีทรงกลม บนสนามประลอง ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเข้ามาใกล้ คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อยพร้อมกับลืมตาขึ้น

นายน้อยจากตระกูลจ่างซุนผู้หยิ่งยโสกลัวว่าเจียงอี้จะหวาดกลัวและหลบหนีไปเสียก่อน เขาจึงรีบเอ่ยกับชายวัยกลางคน “อาจารย์เฟิง ศิษย์น้องผู้นี้ต้องการที่จะประลองกับข้าโดยมีคะแนนสะสมสามร้อยคะแนนเป็นเดิมพัน ข้าอยากขอให้ท่านมาเป็นพยานสำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เฟิงลืมตาขึ้นเล็กน้อยขณะเหลือบมองเจียงอี้ จากนั้นเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเหมือนกับทหารยามคนก่อนหน้า

ตามกฎของสำนัก อาจารย์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งระหว่างศิษย์ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดกฎของสำนัก เขาเอ่ยอย่างไม่แยแส “พวกเจ้าทั้งสองขึ้นมาบนเวทีแล้วส่งป้ายหยกให้กับข้า”

ร่างของนายน้อยตระกูลจ่างซุนทะยานขึ้นไปบนเวทีประลอง เขาหยิบป้ายหยกขึ้นมาและมอบให้กับอาจารย์เฟิง จากนั้นก็หันไปมองเจียงอี้ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ไอ้หลานชาย รีบขึ้นมาเร็วเข้า! อย่าได้ปอดแหก!”

เจียงอี้เสแสร้งว่าเขากำลังรู้สึกหวาดกลัว เขาทำทีเป็นว่ากำลังลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกัดฟันและกระโดดขึ้นไปบนเวที จากนั้นเขาก็มอบป้ายหยกให้กับอาจารย์เฟิง

“ผู้เข้าประลองทั้งสองมีคะแนนสะสมเพียงพอต่อการเดิมพัน”

อาจารย์เฟิงส่งกระแสพลังเข้าไปตรวจสอบป้ายหยกของทั้งสองและพยักหน้าก่อนที่จะเอ่ย “นี่เป็นโอกาสสุดท้าย จ่างซุนเฟยหู เจียงอี้ พวกเจ้าแน่ใจที่จะประลองใช่หรือไม่?”

“แน่นอน!”

นายน้อยตระกูลจ่างซุน, จ่างซุนเฟยหูไม่ลังเลที่จะเอ่ยตอบ แต่ไม่ช้าเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อ ‘เจียงอี้’

ทำไมชื่อนี้ถึงฟังดูคุ้นหูนัก?

ภายในป้ายหยกจะบันทึกข้อมูลของเจ้าของไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่อาจารย์เฟิงจะรู้ชื่อของเจียงอี้

เจียงอี้กัดฟันแน่นและกล่าวตอบเช่นกัน “แน่นอน!”

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มการประลองได้!”

อาจารย์เฟิงร่อนลงบนเวทีและป่าวประกาศ “การประลองในครั้งนี้จะรู้ผลเมื่อสามารถล้มคู่ต่อสู้หรือทำให้อีกฝ่ายเอ่ยยอมแพ้ ข้าไม่อนุญาตให้มีการเข่นฆ่าเกิดขึ้น ผู้ชนะจะได้คะแนนสะสมสามร้อยคะแนนเป็นรางวัล!”

ลูกศิษย์หลายคนที่อยู่รอบเวทีบังเกิดความตื่นเต้น มีหลายคนที่มาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ แม้ว่าคะแนนสามร้อยคะแนนจะไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ที่สำคัญที่สุด ผู้ประลองทั้งสองมีช่องว่างในด้านระดับการบ่มเพาะที่ห่างกันมากเกินไป

“หลานชาย ท่านปู่คนนี้จะให้เจ้าเริ่มก่อนสิบกระบวนท่า!”

เมื่อเจียงอี้เข้าสู่เวทีประลอง เขาก็แสดงสีหน้าของคนขี้ขลาดออกมา ภาพนี้ทำให้จ่านซุนเฟยหูมั่นใจแล้วว่าคะแนนสะสมทั้งสามร้อยคะแนนต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอนและมันยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่หยิ่งผยองมากขึ้น

ฟึบ!

เจียงอี้ย่อเข่าลงซึ่งดูคล้ายกับเสือชีตาห์และหยิบดาบสั้นสีนวลที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา วินาทีต่อมา เขาสะบัดแขนและปล่อยเงาดาบทั้งสามตรงไปยังจ่างซุนเฟยหู

“อาวุธ? ข้าเองก็มี!”

สีหน้าของจ่านซุนเฟยหูยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาชักกระบี่อ่อนออกมาจากเอวและตวัดไปทางเงาดาบของเจียงอี้

“เพลงดาบพิรุณโปรยปราย - ดาบพิรุณวสันต์ไร้สิ้นสุด!”

ด้วยเสียงคำรามอันเย็นชา เงาดาบของเจียงอี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวและเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมาพร้อมกับพุ่งตรงไปยังข้อมือของจ่างซุนเฟยหู การโจมตีอาจจะดูไม่รุนแรงนัก แต่ทิศทางของมันช่างแปลกประหลาดและโหดร้าย

“ต้องการจะประลองกับข้าด้วยทักษะดาบ? เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”

จ่างซุนเฟยหูแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามออกมา กระบี่อ่อนในมือเริ่มสั่นไหวและเริ่มบิดเบี้ยวราวกับอสรพิษ จากนั้นก็เข้าปะทะกับดาบสั้นสีนวลของเจียงอี้โดยตรง

แกร๊งง!

เสียงกระทบของโลหะดังขึ้น ภาพที่เห็นก็คือเจียงอี้ถูกผลักออกมาพร้อมกับดาบในมือของเขา

“พิรุณคิมหันต์โหมกระหน่ำ!”

โดยไม่รอช้า เมื่อตั้งหลักได้เจียงอี้ก็ลงมือต่อในทันที ทักษะต่อสู้ระดับพิภพ ‘เพลงดาบพิรุณโปรยปราย’ ที่เจียงหยุนไฮ่มอบให้เขามีเพียงแค่สี่รูปแบบเท่านั้น แต่ละรูปแบบยังมีความสามารถที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่น่าเสียดายนักที่เจียงอี้ฝึกถึงขั้นเริ่มต้นเท่านั้นจึงทำให้พลังที่แสดงออกมามีจำกัด

“รูปแบบมังกร – อสรพิษ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับเพลงดาบพิรุณโปรยปราย จ่านซุนเฟยหูไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยง เขายังกวัดแกว่งกระบี่อ่อนไปข้างหน้าและเข้าปะทะกับเจียงอี้โดยตรง

จ่างซุนเฟยหูไม่ได้คิดอะไรมาก เขารู้ว่าดาบของเจียงอี้สั้นกว่ากระบี่ของเขา ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่ากระบี่ของเขาจะต้องเข้าถึงตัวอีกฝ่ายก่อนแน่นอน!

“พิรุณสารททำลายล้าง!”

ด้วยการขยับเพียงเล็กน้อยทำให้เงาดาบหายไปอีกครั้ง ในครั้งนี้ ดาบสั้นสีนวลได้แยกออกจากมือของเจียงอี้และบินตรงไปยังจ่างซุนเฟยหูราวกับจะสังหารอีกฝ่ายให้ตาย

“ฮ่าฮ่า!”

จ่างซุนเฟยหูแสยะยิ้ม เขาเบี่ยงร่างหลบดาบบินได้อย่างง่ายดาย เวลานี้เจียงอี้ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แล้วอย่างนี้เขาจะสามารถแสดงทักษะดาบออกมาได้เยี่ยงไร? ดูเหมือนว่าเทพธิดาแห่งชัยชนะจะยืนอยู่ข้างจ่างซุนเฟยหูแล้ว!

“หมัดมายา!”

ทันทีที่จ่างซุนเฟยหูเอียงตัวหลบดาบ เจียงอี้ก็รีบเข้าประชิดตัวเขาและปล่อยเงาหมัดซึ่งเล็งไปยัง แขน เอวและศีรษะของอีกฝ่าย

“เหอะ! ยังมีอีกรึ? แต่ก็จบแค่นี้แหละ!”

จ่างซุนเฟยหูเพียงแค่ยิ้มเยาะขณะที่กวัดแกว่งกระบี่อ่อนของเขาและฟันไปที่เอวของเจียงอี้  ในเวลาเดียวกัน มืออีกข้างก็เปลี่ยนเป็นกำปั้นเหล็กและเข้าปะทะกับกำปั้นของอีกฝ่าย

“ใช่ มันจบแล้ว!”

มือขวาที่ยังไม่ได้ใช้งานตลอดการต่อสู้ของเจียงอี้ถูกยกขึ้นมาและเหวี่ยงใส่จ่างซุนเฟยหูในระยะประชิด นายน้อยจากตระกูลจ่างซุนผู้นี้หยิ่งยโสเกินไป เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าความประมาทของเขาจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน

“ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้!”

ฝ่ามือของเจียงอี้ปลดปล่อยกระแสพลังสีดำและน้ำเงินออกมา ก่อนที่กระบี่ของจ่างซุนเฟยหูจะได้สัมผัสกับร่างของเจียงอี้ ร่างของเขาก็ลอยปลิวไปแล้ว!

ปังงงง!

แขนของจ่างซุนเฟยหูฉีกขาดพร้อมกับโลหิตที่ไหลทะลักออกมา บาดแผลของเขาสาหัสมากจนสามารถมองเห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใน พริบตาเดียวร่างของเขาก็ถูกแรงระเบิดส่งลอยออกมานอกเวทีประลอง

“ห๊ะ?!”

“อะไรวะเนี่ย!!”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เหล่าผู้ชมตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเพียงแค่จอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าเท่านั้น แต่ทำไมเขาถึงสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ออกมาได้? ดูไปแล้วพลังทำลายของมันแทบจะเทียบเท่ากับการโจมตีของจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สองเลยทีเดียว!

จ่างซุนเฟยหูที่ตอนนี้นอนกองอยู่บนพื้นกำลังกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับหมาที่ถูกน้ำร้อนลวก เขาหันไปมองเจียงอี้ด้วยสายตาอาฆาตและคำราม

“อาจารย์เฟิง ไอ้เด็กนี้ใช้กลโกง! มันปกปิดพลังที่แท้จริงไว้เพื่อหลอกลวงข้า! การต่อสู้ในครั้งนี้ถือว่าเป็นโมฆะ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด