ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0535
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0537

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0536


ตอนที่ 536 : จ้าวดวงดาว

มู่เฟิงจัดแจงนำอาหารชั้นดีมาปรนเปรอฉินหยุน

“เหล่ามู่ ที่ห้องโถงเมื่อครู่นี้ คนมากมายขนาดนั้นมาทำอะไรกัน?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“ฮ่า! นั่นเป็นศึกระหว่างทิศใต้และตะวันตก ตำหนักจารึกตะวันตกและตำหนักจารึกทิศใต้กำลังเบาะแว้งกันอยู่ ข้าเพียงมาเพื่อรับชมเรื่องสนุก!” มู่เฟิงหัวเราะ

“งั้นท่านก็ไม่ใช่คนของตำหนักจารึกทิศใต้สินะ!” ฉินหยุนพูดไปพลางกินอาหารอร่อยไปพลาง

“ข้าเป็นคนของตำหนักจารึกตะวันออก ที่มาที่นี่ก็เพื่อพัดโหมเปลวเพลิงให้ร้อนแรง ให้พวกมันสู้กันจนตาย บาดเจ็บเสียหายทั้งสองฝ่าย เมื่อนั้นตำหนักจารึกตะวันออกของพวกเรา จะได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่!” มู่เฟิงกล่าวพลางยิ้มกว้างเผยออก

ภายในตำหนักจารึกเทวะ ย่อมต้องมีข้อพิพาทภายใน ฉินหยุนหาได้ประหลาดใจใดไม่ ขั้วอำนาจใหญ่เช่นนี้ย่อมมีคนมากมาย ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อฟังคำสั่ง หากไม่มีเรื่องเบาะแว้งภายในคงแปลกจนเกินไป

“ข้ามาพบจ้าวสำนักหอขุนเขาดาบกระบี่ ไม่มั่นใจนักว่าจะได้พบเจอที่นี่หรือไม่” ฉินหยุนกล่าวตอบ

“จ้าวสำนักของเจ้า เหมือนจะเป็นแขกอาวุโสของตำหนักจารึกทิศใต้ หากได้พบที่นี่ไม่ถือว่าแปลก ดูเหมือนจ้าวสำนักของเจ้า คิดให้ตัวเจ้าสู้กับขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่แข็งแกร่งสามคนเพื่อเรียกหน้าตากระมัง” มู่เฟิงหัวเราะพลางส่ายศีรษะ “ชัดเจนว่าตำหนักจารึกทิศใต้อ่อนแอกว่าตำหนักจารึกตะวันตก คิดสู้กัน พวกเขามีแต่เสียกับเสีย”

ฉินหยุนได้ยินเช่นนี้ จึงค่อยทราบ ว่าจ้าวสำนักขอให้พวกเขามาที่นี่ก็เพราะเหตุผลอื่น หาได้ใช่การพบปะพูดคุยกันไม่

“ก็นะ ใครบอกให้พวกเราเป็นศิษย์หอขุนเขาดาบกระบี่กัน? จ้าวสำนักคิดให้พวกเราช่วยเหลือ พวกเราก็ได้แต่ต้องช่วยแล้ว”

ตราบเท่าที่ไม่ใช่สถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ฉินหยุนย่อมไม่คิดอื่นใดให้มากความ

“ฉินหยุน ข้าเพิ่งได้รับข่าวคราวมา เป็นเรื่องของจารึกวิญญาณนั่น”

มู่เฟิงคิดอยากพูดคุยเรื่องนี้กับฉินหยุนอยู่พอดี

“ว่าอย่างไรบ้าง?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“นามของจารึกวิญญาณนั้นคือ ‘จ้าวดวงดาว’ ตราบเท่าที่ได้รับ เจ้าจะสามารถแกะสลักผังจารึกดวงดาวอย่างง่ายดาย” มู่เฟิงเผยยิ้ม “และมันยังมีวิญญาณจันทรา ที่ทำการดูดกลืนพลังของดวงดาวมาเป็นเวลานานนับ”

“จารึกวิญญาณดังกล่าวร่วงหล่นสู่เทือกเขานิราศจันทรา ทว่า... เป็นหยางฉีเย่ว์ได้รับไปครอบครอง ขณะนี้หลายขั้วอำนาจกำลังออกค้นหาทั้งเทือกเขาเพื่อหาตัวหยางฉีเย่ว์” มู่เฟิงกล่าวจบ ฉินหยุนลุกพรวดขึ้นด้วยอาการตื่นเต้นยินดี

หยางฉีเย่ว์ได้รับจารึกวิญญาณแล้ว ทว่าสถานการณ์คล้ายไม่ดีนัก

“หยางฉีเย่ว์ยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ ถือเป็นเรื่องวิเศษนักที่นางได้รับจารึกวิญญาณดังกล่าว” มู่เฟิงถอนหายใจ “เรื่องราวเช่นนี้สำคัญต่อพวกเราอาจารย์จารึก แต่กลับเป็นนางที่ได้รับไปครอง”

“แล้วสถานการณ์ในเทือกเขานิราศจันทราเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ฉินหยุนเร่งร้อนเอ่ยถาม

“เทือกเขานิราศจันทราค่อนข้างห่างไกล และยังอันตรายยิ่ง มันประกอบด้วยภูเขาสูงใหญ่มากมาย กว่าครึ่งของภูเขาสูงใหญ่เหล่านั้นจมอยู่ใต้น้ำ ราวกับมันเป็นสถานที่ซึ่งภูเขาและสายน้ำผสานรวมอยู่ด้วยกัน สัตว์ภูเขาทั้งหลายต่างทรงพลัง และยังมีสัตว์น้ำที่แข็งแกร่งอยู่เช่นกัน” มู่เฟิงถอนหายใจ “หากเจ้าคิดอยากไป อาจยังไม่ถึงเวลา”

ฉินหยุนนั่งลง ภายในเกิดความกังวลขณะเอ่ยถาม “เพราะอะไรกัน?”

“หยางฉีเย่ว์ซ่อนตัวได้ดียิ่ง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงนางไป นอกจากนี้ นางยังเป็นศิษย์ของตำหนักจันทราทมิฬ” มู่เฟิงส่งแก้วไวน์แก่ฉินหยุนพร้อมกล่าวต่อ “ที่สำคัญต่อเจ้าขณะนี้ คือการเข้าร่วมสำนักเซียน”

“เข้าสำนักเซียนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแก่ตัวเจ้า มันจะช่วยให้เจ้าก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณอย่างรวดเร็ว เจ้าจดจำเหลียวฉงเจิ้งได้หรือไม่? ตัวเขาขณะนี้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณเรียบร้อยแล้ว และยังได้เป็นศิษย์หลักของสำนัก”

“ข้าทราบความสำคัญของการเข้าร่วมสำนักเซียนเป็นอย่างดี ทว่าเรื่องราวไม่อาจง่ายดาย” ฉินหยุนทราบ ว่าคิดเข้าร่วมสำนักเซียนเป็นความยากลำบากเพียงใด

“ฉินหยุน ตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดี นครเซียนยุทธภัณฑ์ไม่เหมือนที่อื่น บางครั้งก็จะมีการเปิดคัดกรองผู้ฝึกตนให้เข้าร่วมเป็นศิษย์”

มู่เฟิงใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากก่อนจะกล่าวต่อ “ห้าสำนักเซียนยิ่งใหญ่ ขณะนี้ผนึกรวมกำลังกับตำหนักจารึกเทวะของพวกเรา กำลังเตรียมเปิดเขตแดนอ้างว้างแห่งใหม่”

“เขตแดนอ้างว้างแห่งนี้พิเศษ มีแต่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจึงสามารถเข้าไปได้”

“ได้ยินมาว่าเป็นรังของสัตว์สวรรค์บรรพกาล ภายในมีสัตว์ดังเช่นราชสีห์สวรรค์ มังกร วิหคอมตะ กิเลน และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง นอกจากนี้ ยังต้องมีสมบัติที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เหล่านั้นคงอยู่ด้วย”

ฉินหยุนเผยดวงตาเบิกกว้างขณะมองที่มู่เฟิง

มู่เฟิงกล่าวต่อ “สำนักเซียนต้องการสมบัติเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องการส่งขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่แกร่งกล้าสู่ภายใน”

“หากจ้าวสำนักของเจ้าแนะนำตัวเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถได้รับสิ่งดี ๆ จากนครเซียนยุทธภัณฑ์ บางทีเจ้าอาจได้ตรงเข้าเป็นศิษย์สำนักเซียนเลยก็เป็นได้”

“จ้าวสำนักของเจ้า เป็นแขกอาวุโสของตำหนักเซียนดาบ รวมถึงตำหนักจารึกทิศใต้ในนครเซียนยุทธภัณฑ์ เขาย่อมต้องมีหนทางส่งตัวเจ้าเข้าเป็นศิษย์สำนักเซียน”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีจริง

มู่เฟิงและฉินหยุนร่วมกินดื่มในห้องส่วนตัวอีกพักใหญ่ ขณะที่ห้องโถงยังคงจอแจ

มู่เฟิงเดิมคิดอยากเห็นตำหนักทั้งสองฉีกกระชากกันเอง ขณะนี้คล้ายลืมเลือนเรื่องราวไปแล้ว

เจี้ยนหลางยืนข้างเทียนรั่วเหลิงและเย่ว์อู่หลัน เขากล่าวกระซิบ “มีวิธีติดต่อน้องชายพวกเจ้าหรือไม่?”

พวกนางส่ายศีรษะ

“จ้าวสำนักอยู่ที่นี่แล้ว” เจี้ยนหลางกล่าว ขณะเดินนำไปยังชายชราชุดขาว

ชายชราชุดขาวร่างค่อนข้างสูง ใบหน้าชวนยำเกรง และยังมีฝักดาบห้อยประดับไว้ข้างเอว

ชายชราผู้นี้ เป็นจ้าวสำนักของหอขุนเขาดาบกระบี่ ฉู่ปินอวี้

เย่ว์อู่หลันและเทียนรั่วเหลิง เร่งรีบเดินเข้ามากล่าวทักทายอย่างมีมารยาท

ฉู่ปินอวี้พยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม

“ฉู่ปินอวี้ เห็นเจ้าอยูที่นี่ เจ้าได้นำฉินหยุนจากหอขุนเขาดาบกระบี่ของเจ้ามาด้วยหรือไม่?” ชายชราในชุดสีทองโพล่งถามออก น้ำเสียงนี้คล้ายโกรธเกรี้ยวอะไรบางอย่าง

“เจ้าคือผู้ใด และเหตุใดต้องการพบเขา?” ฉู่ปินอวี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าใคร่สงสัย น้ำเสียงนี้หยาบกร้านทว่าก็ยังนุ่มนวล

เย่ว์อู่หลันและเทียนรั่วเหลิงพบว่าเรื่องราวผิดท่า พวกนางไม่คิด ว่าจ้าวสำนักจะเป็นคนที่มารยาทงามเพียงนี้

“ข้าคือหยางเฉียงจินจากสำนักดาบดวงดาว หยางหยานชิงเป็นบุตรชายข้า! ฉินหยุนจับตัวเขาเอาไว้ภายในอุปกรณ์เต๋า ข้ามาเพื่อทวงถามบุตรชายกลับคืน”

หยางเฉียงจินไว้หนวดเคราสีขาว ใบหน้าขณะนี้เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว เปิดเผยท่าทีสะกดข่มอย่างไม่ปิดบัง

ฉู่ปินอวี้ยิ้มตอบ “โชคร้ายหน่อยแล้ว เมื่อใดข้าพบฉินหยุน ข้าจะหารือกับเขาเรื่องนี้ให้!”

“หารืองั้นหรือ? เจ้าต้องบอกให้มันปล่อยตัวบุตรชายข้าจึงถูกต้อง!” หยางเฉียงจินคำราม

“นี่ไม่ถูกต้องนัก! ย้อนกลับไปครานั้น เป็นบุตรชายเจ้าต้องการสังหารฉินหยุนก่อน ฉินหยุนเพียงจับอีกฝ่ายไว้ หาได้มีเจตนาร้ายใดไม่”

“หากข้าบังคับให้ฉินหยุนปลดปล่อยคนที่คิดสังหารตัวเขา เรื่องราวนี้ออกจะไม่เหมาะสมเกินไปบ้างแล้ว” ฉู่ปินอวี้อธิบายอย่างเชื่องช้าและอ่อนนุ่ม

ผู้คนในห้องโถง ต่างหันมองทางฉู่ปินอวี้และคณะ

พวกเขายังได้เห็นเทียนรั่วเหลิงและเย่ว์อู่หลัน สองหญิงงามที่สวมใส่ชุดสีดำ พร้อมกันนี้จึงคาดเดาตัวตนอีกฝ่ายได้

พวกเขาคิดว่าเรื่องราวแปลก ทั้งเทียนรั่วเหลิงและเย่ว์อู่หลันต่างอยู่ที่นี่ ไฉนฉินหยุนจึงไม่อยู่

“ผู้อื่นอย่าได้สร้างปัญหาเพิ่มขึ้นแล้ว วันนี้เป็นการเผชิญหน้าระหว่างตำหนักจารึกตะวันตก และตำหนักจารึกทิศใต้ เรื่องราวพวกเจ้าเอาไว้คุยกันวันหลัง!”

ชายชราศีรษะล้านเลี่ยนพร้อมคิ้วสีเหลือง สวมใส่ชุดเกราะสีดำ ก้าวเดินเข้ามาในห้องโถงกว้างพร้อมกลุ่มคน

ที่ห้องโถงแห่งนี้ มีกันกว่าพันคน กระนั้นก็ยังกว้างขวาง หาได้แออัด

ผู้คนของตำหนักจารึกทิศใต้ ต่างมารวมตัวกันที่นี่แล้ว

พวกเขามองทางกลุ่มคนชุดเกราะสีดำจากตำหนักจารึกตะวันตกมาเยือน สีหน้าเผยความปฏิปักษ์อย่างชัดเจน

หยางเฉียงจินจากตระกูลหยาง ได้ทราบข่าวว่าฉู่ปินอวี้มาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงมาเยือน

เป็นเขาไม่ทราบ ว่าระหว่างตำหนักจารึกทิศใต้และตะวันตกจะมีข้อพิพาทกันอยู่

เมื่อหยางเฉียงจินได้พบ ว่าฉู่ปินอวี้และคนของตำหนักจารึกทิศใต้เป็นพันธมิตรต่อกัน เขาลอบประหลาดใจอยู่ภายใน

เขาไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายดีเยี่ยมเพียงนี้ เมื่อครู่ ที่เขาตะคอกใส่ฉู่ปินอวี้ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่น้อย

ผู้คนล้วนพบเห็น ว่าฉู่ปินอวี้พูดจาด้วยดี หากสอบถามผู้อื่น หยางเฉียงจินย่อมเป็นฝ่ายถูกเตะพ้นจากสถานที่อย่างไม่ต้องสงสัย

“ฉู่ปินอวี้ เจ้ามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือ?” ชายชราศีรษะล้านเลี่ยนจากตำหนักจารึกตะวันตกแค่นเสียงเอ่ยถาม

“ข้าเป็นแขกอาวุโสของตำหนักจารึกทิศใต้ เป็นธรรมดาหากคิดยื่นมือช่วยเหลือ เมื่อถึงเวลา รบกวนชี้แนะด้วยแล้ว!” ฉู่ปินอวี้เผยยิ้มอย่างมีมารยาท

“ไม่ใช่ว่าตำหนักจารึกทิศใต้ไม่มีดีหรือไร? ถึงกับต้องเชิญแขกอาวุโสมาออกหน้า!” ชายชราศีรษะล้านเลี่ยน กล่าววาจายั่วยุอย่างไม่ยำเกรงทั้งยังหัวเราะดัง

ผู้คนของตำหนักจารึกทิศใต้เกิดความกราดเกรี้ยว

“อย่าได้โกรธเกรี้ยวรวดเร็วไปนัก เพราะถัดจากนี้ยังจะมีเรื่องให้พวกเจ้าได้โกรธอีกมาก!”

“ตำหนักจารึกทิศใต้ได้รับพื้นที่กว้างใหญ่ ทว่ากลับไม่อาจนำเสนอยันต์คุณภาพดีออกมาได้”

“พวกเราย่อมไม่ทนต่อเรื่องนี้อีก พวกเราจะทำให้ผู้คนของตำหนักจารึกทิศใต้ได้ทราบ ว่าพวกมันเลวร้ายเพียงใด!”

ชายชราศีรษะล้านเลี่ยนจากตำหนักจารึกตะวันตกตะโกนดัง พวกเขามีคนน้อยกว่าในพื้นที่ส่วนตะวันตกของเมือง กิจการของพวกเขาค่อนข้างเลวร้ายกว่าทางทิศใต้

ทิศใต้ของเมืองค่อนข้างกว้างใหญ่ มีหลายคนมารวมตัวกัน และกิจการค่อนข้างร้อนแรง

ทว่า พละกำลังโดยรวมของตำหนักจารึกทิศใต้ ยังเรียกได้ว่าอ่อนด้อย ดังนั้นจึงตกเป็นเป้าของตำหนักจารึกตะวันตก

“ท่านผู้ศีรษะล้านเลี่ยน กำลังพูดอยู่ใช่หรือไม่ ว่าพวกเราอ่อนด้อยกว่าตำหนักจารึกตะวันตก?” ชายวัยกลางคนเผยสีหน้ากราดเกรี้ยวตอบโต้

“ไม่ใช่เพียงด้อยกว่า แต่ห่างไกลหลายขุมนัก!” ชายศีรษะล้านเผยความมั่นใจมากล้น “หากพวกเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นจงมาแข่งขัน!”

ท่ามกลางคนของตำหนักจารึกทิศใต้ มีเพียงฉู่ปินอวี้ที่ไม่กราดเกรี้ยว เขายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยน “แล้วแข่งขันกันอย่างไรดี?”

“เทียบพื้นฐานสองอย่าง การขัดเกลาวัสดุ และความวิจิตรของยันต์!” ชายศีรษะล้านเลี่ยน กำลังลูบสัมผัสศีรษะตนเองพลางยิ้มภาคภูมิ “เมื่อหลานสาวข้ามาถึง จะเป็นนางลงแข่งขันครั้งนี้!”

“หลานสาวของเจ้างั้นหรือ?” ฉู่ปินอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เด็กสาวที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปี แต่ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณอย่างนั้นน่ะหรือ?”

ถ้อยคำนี้ ทำเอาทั่วทั้งห้องโถงแตกตื่น!

ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปี ย่อมเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ!

ชายศีรษะล้านยิ่งเผยรอยยิ้มภาคภูมิ “ไม่เลวนี่! นางขณะนี้เป็นศิษย์หลักของนครเซียนยุทธภัณฑ์แล้ว”

“หมายความว่า เหลียวจิงเหมิงผู้นั้นเป็นหลานสาวของเขางั้นสินะ!”

“ชายชราศีรษะล้านเลี่ยนผู้นี้ เหตุใดจึงมีหลานสาวแกร่งกล้าเพียงนั้น? เก็บนางมาได้หรือไรกัน?”

“ใช่แล้ว ชายศีรษะล้านผู้นี้ จะมีหลานสาวดีเลิศเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”

“หากหลานสาวของนางศีรษะล้านเลี่ยนเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราค่อยยอมรับว่าเป็นผู้สืบสายเลือด!”

“ได้ยินพวกศิษย์คุยกัน ว่าเหลียวจิงเหมิงงดงาม หาได้ศีรษะล้านเลี่ยนไม่!”

ฝูงชนกำลังสนทนากันอย่างออกรส

ใบหน้าของชายศีรษะล้านเลี่ยนกลายเป็นน่าเกลียด เขาคิดอยากคว้าคอคนพูดจาไร้สาระเหล่านี้มาทุบตีสักคราหนึ่ง

“กลุ่มคนสารเลวเช่นพวกเจ้าจงระวังปาก หากยังพูดจาไร้สาระอื่นใดอีก ข้าจะเลาะฟันเจ้าออกจากปากให้สิ้น!” ชายชราศีรษะล้านเลี่ยน คำรามกราดเกรี้ยวใส่ฝูงชน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด