ตอนที่แล้วSM:บทที่ 2 พลังและทักษะวรยุทธ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSM:บทที่ 4 บททดสอบของกองทัพ

SM:บทที่ 3 มหาวิทยาลัยฉินอู่


SM:บทที่ 3 มหาวิทยาลัยฉินอู่

ในตอนเช้าตรู่ที่ดวงตะวันส่องแสงบนพื้นโลก เมืองฐานทัพของเมืองหนานจงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวช้า ๆ แม้เซี่ยเย่จะฝึกวิชาเก้าดาราตลอดทั้งคืน เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไปนัก ค่าพลังของเขาตอนนี้มีค่าถึง 1 และเขาก็ได้กลายมาเป็นนักรบ พลังชีพนักรบและการทำงานทางสรีรวิทยาของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาอยู่มาก และเขาต้องการเพียงการนอนหลับสั้น ๆ เพื่อยังชีพให้คงอยู่ตามปกติเท่านั้น

เซี่ยเย่ตื่นแต่เช้าตรู่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ต่อให้ความเป็นจริงแล้วเขาจะดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญตัวเอ้ในสองปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ยังเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยฉินอู่อันมีชื่อเสียงของเมืองฐานทัพแห่งนี้

มหาวิทยาลัยฉินอู่เป็นโรงเรียนวิทยายุทธ เนื้อหาที่สอนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปทางด้านการฝึกวิทยายุทธ์ ในยุคใหม่นี้ สถานะของวิทยายุทธ์นั้นสูงส่งกว่าบุคคลทั่วไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าโรงเรียนฝึกวิทยายุทธ์และรับการฝึกฝนได้

ในฐานะของตระกูลสายตรงของตระกูลเซี่ย แน่นอนว่าเซี่ยเย่เข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่เล็ก แต่เนื่องเพราะคุณสมบัติธรรมดาของเขา เขาจึงไม่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยตอนอายุสิบเเปด และทางมหาวิทยาลัยมีกฎอยู่ว่าถ้านักเรียนล้มเหลวต่อการเป็นจอมยุทธ์ก่อนอายุสิบแปด พวกเขาจะไม่มีคุณสมบัติในการอยู่ต่อภายในมหาวิทยาลัยนี้ ดังนั้นเซี่ยเย่ที่ตอนนี้อายุสิบแปดและอีกหนึ่งวันจึงไม่ใช่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกต่อไป

ทันทีที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย เซี่ยเย่ก็รู้สึกถึงบรรยากาศแตกต่างออกไปจากที่เคยเป็น และนักศึกษาทั้งหมดต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด

ในตอนนี้เซี่ยเย่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการประเมินวิทยายุทธ์ปีที่สามกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกเดือนข้างหน้า มันเป็นโอกาสที่ปลาไนจะได้กระโดดข้ามประตูมังกร

ในอดีต เซี่ยเย่ไม่มีพลังใด ๆ และต้องเล่นบทบาทเป็นคนเจ้าสำราญ ทำให้เขาไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้เกือบครึ่งเดือน และไม่ต้องพูดถึงการประเมินวิทยายุทธ์เลย เรื่องนี้ช่างห่างไกลตัวเขายิ่งนัก

แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ค่าพลังของเขาได้ทะยานถึง 1 แล้วเขาก็ฝึกปรือวิชาพิศวง เก้าดาราแห่งหลิงซู เซี่ยเย่ก็เชื่อว่าเขามีคุณสมบัติเต็มเปี่ยมที่จะได้รับการประเมินนี้

นักรบที่ได้รับการคัดเลือกโดยกองทัพจะได้รับการปรนนิบัติที่ไม่ธรรมดาจากทั่วโลกหลังจากที่เขามีฐานะเป็นนักรบแล้ว ดังนั้นเซี่ยเย่จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้ารับการประเมินนี้

เซี่ยเย่รู้ว่าการเข้ารับการประเมินอันดับเเรกเขาต้องลงชื่อก่อน มันมีหลายวิธีในการลงชื่อ แต่มันก็สามารถทำได้โดยการถ่ายโอนชื่อหรือเข้าไปในกองทัพโดยตรง แต่เพื่อปกป้องเขาจากปัญหา เซี่ยเย่ก็ตัดสินใจลงชื่อผ่านทางมหาวิทยาลัย

มันไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงตำแหน่งของหอลงทะเบียน เพราะเซี่ยเย่มีความคุ้นเคยกับมัน จึงใช้เวลาไม่นานนักในการเข้าไปที่หอลงทะเบียนที่อยู่ในตึกของเจ้าหน้าที่การศึกษา

หน้าที่การลงทะเบียนเป็นของอาจารย์ประจำ เซี่ยเย่ก็เข้าไปหาโดยตรง

“นักศึกษาคนนี้มาที่นี่เพราะต้องการลงสมัครการคัดเลือกวรยุทธ์หรือ?” อาจารย์ถาม

เซี่ยเย่พยักหน้า จากนั้นก็หยิบบัตรประจำตัวออกมาจากกระเป๋า ผู้เป็นอาจารย์มองบัตรและเริ่มใส่ข้อมูลประจำตัวของเซี่ยเย่

แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที รอยยิ้มบนใบหน้าอาจารย์ผู้นั้นก็หายไป และใบหน้าของเขาก็เเปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม “นักศึกษา บัตรประจำตัวของคุณถูกยกเลิกไปแล้ว ให้พูดก็คือคุณไม่ใช่นักศึกษาของโรงเรียนเราในตอนนี้เเล้ว ดังนั้นคุณไม่อาจสมัครการประเมินได้ที่นี่”

เซี่ยเย่อึ้งไป จากนั้นก็คิดถึงความจริงว่าเขามาช้าเกินกำหนดไปวันหนึ่ง และทางโรงเรียนก็ไม่รับรู้ว่าค่าพลังของเขาเท่ากับหนึ่ง ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะถูกไล่ออก แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมันเลย

ในเมื่อทางโรงเรียนไม่อาจลงชื่อเขาได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เซี่ยเย่จะอยู่ต่อ ยังมีวิธีอีกหลายทาง เมื่อเซี่ยเย่กำลังจะเดินออกจากหอลงทะเบียน กลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในหอลงทะเบียนพอดี

เมื่อเห็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ดวงตาของเซี่ยเย่ก็อดไม่ได้ที่จะเขม่นเล็กน้อย

จางเทียนเฉิงจากตระกูลจางคือทายาทสายตรงของตระกูลจาง ตระกูลจางกับตระกูลเซี่ยเป็นศัตรูกัน ทั้งสองตระกูลมักหาโอกาสโจมตีอีกฝ่ายอยู่เสมอ สำหรับเรื่องการเป็นหนุ่มเจ้าสำราญของตระกูลเซี่ยแล้ว เซี่ยเย่ก็กลายเป็นจุดอ่อนของตระกูลเซี่ยไปในทันที และตระกูลจางก็ไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป

จางเทียนเฉิงที่อยู่ปีเดียวกับเซี่ยเย่มักหาเรื่องเขาโดยไม่มีเหตุผลขณะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยและมักถูกเขาอัดกลับมาหลายหน กล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่เซี่ยเย่เกลียดเข้ากระดูกดำ

แต่เซี่ยเย่ไม่มีแผนต่อสู้กับเขาในที่สาธารณะ ตอนนี้เขายังต้องซ่อนตัวไปครู่หนึ่ง พลังของเขายังอ่อนแอเกินไป

ขณะที่เซี่ยเย่กำลังจะเดินออกไป จางเทียนเฉิงก็ไม่ปล่อยให้เขาไปง่าย ๆ เขาเดินมาขวางทางไว้และเอ่ยคำดูถูก “เฮ้ นี่มันสวะตระกูลเซี่ยไม่ใช่หรือไง? ทำไมแกถึงมามหาวิทยาลัยวันนี้ล่ะ? แกคงไม่อยากมีส่วนร่วมในการประเมินวรยุทธ์หรอก ดูจากพลังของเเกแล้วแกน่าจะตายถ้าต้องไปจริง ๆ ไม่สู้ฆ่าตัวตายไปเร็ว ๆ ซะล่ะ?”

เผชิญกับการท้าทายจากจางเทียนเฉิง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเซี่ยเย่ก็คงจะโต้กลับไปบ้างและได้รับการล้อเลียนกลับมา แต่ตอนนี้เซี่ยเย่ต่างจากเดิมแล้ว เขาทำเพียงเหลือบมองครู่หนึ่งและเอ่ยเบา ๆ “ไสหัวไป”

จางเทียนเฉิงพลันมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมเป็นการตอบสนองเซี่ยเย่ จากนั้นพลังฝ่ามือก็ซัดเข้าหาเซี่ยเย่ “ไอ้หนุ่ม แกอยากตายงั้นหรือ? แกไม่เข็ดใช่ไหม?”

พลังฝ่ามือแข็งแกร่งทำให้เซี่ยเย่ขนลุกชัน เซี่ยเย่สัมผัสได้ว่าพลังของฝ่ามือนี้ไม่เล็กน้อย และค่าพลังของจางเทียนเฉิงต้องมีค่ามากกว่าหนึ่งแน่

ชั่วพริบตาเดียว ดวงดาวที่เท้าของเซี่ยเย่ก็ส่องประกาย ทันทีที่เขาเตรียมจะใช้วิชาเก้าดาราสู้กลับ เสียงหนึ่งราวกับน้ำเย็นสาดลงมาก็ดังข้างหู “งดการต่อสู้กันในตึกบริการการศึกษา ไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออกทุกคน”

คำขู่เช่นนี้ไม่มีผลกับเซี่ยเย่ที่ถูกไล่ออกไปแล้ว แต่จางเทียนเฉิงไม่อยากเสียอนาคตเพียงเพราะสวะชิ้นหนึ่ง

ลดฝ่ามือลงแล้ว จางเทียนเฉิงก็แค่นเสียง “ครั้งนี้แกโชคดี ถ้าเเกมีความกล้าพอ เเกก็เข้าร่วมการประเมินวรยุทธ์ซะ ฉันขอให้แกมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ตายเสียก่อน”

“แกโชคดีมากนะ” รอยยิ้มเย็นผุดขึ้น เซี่ยเย่เดินออกจากฝ่ายลงทะเบียนและทิ้งจางเทียนเฉิงผู้มีใบหน้าแดงสลับเขียวไป

เมื่อเซี่ยเย่จากไปแล้ว ดวงตาคู่หนึ่งก็จ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด เป็นอาจารย์ที่มีหน้าที่ควบคุมสำนักทะเบียนนั่นเอง

หลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว เซี่ยเย่ก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังส่วนกองทัพเพื่อลงทะเบียน แม้จะมีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับพิธีรีตองอันเป็นทางการ แต่ก็ดีกว่าการใช้เส้นสายเข้าแบบนั้น

ขณะเดียวกันในมหาวิทยาลัย จางเทียนเฉิงก็มีงานเลี้ยงอาหารเย็นกับพรรคพวกในโรงแรมหรูหลังรายงานชื่อของเขาไปแล้ว

“มา ท่านพี่จาง ท่านต้องการอะไร? มาดื่มกันเถอะ” ชายหนุ่มผมเหลืองคนหนึ่งเย้าจางเทียนเฉิง

จางเทียนเฉิงมีท่าทางเบื่อหน่าย เขาชนเเก้วในทันทีและดื่มสุราชั้นยอดจนหมดแก้ว

เห็นการปรากฏตัวของจางเทียนเฉิงแล้ว หวงเหมาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่จาง คุณคงอารมณ์ไม่ดีเพราะไอ้สวะนั่นเมื่อตอนกลางวันสินะ”

“อือ แม้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นไอ้สวะ แต่มันก็กล้ามาท้าฉันต่อหน้า ฉันล่ะอยากฆ่ามันทิ้งจริง ๆ” จางเทียนเฉิงไม่เก็บรังสีสังหารไว้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้าง

หวงเหมาสั่นเเก้วในมือจนไวน์แดงสว่างสะท้อนในดวงตาที่ดูโหดร้ายกระหายเลือด “ความจริงแล้วมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ เรื่องหนึ่ง ท่านพี่จางไม่ต้องลงมือทำเองหรอก ตราบใดที่เขาส่งสมุนไป มันก็จะถูกฆ่าโดยไม่รู้ตัวด้วยวิญญาณที่ไหนไม่รู้ ใครจะรู้ล่ะว่าท่านเป็นคนทำ?”

“นอกจากนี้ ไอ้เด็กนั่นก็พูดว่ามันเป็นแค่ผู้อาศัยในตระกูลเซี่ย เป็นไปไม่ได้หรอกที่ตระกูลเซี่ยจะเอาเรื่องเราเพราะเรื่องของมัน”

ได้ยินคำแนะนำของหวงเหมาแล้ว จางเทียนเฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาและหัวเราะ “เป็นเรื่องดีกว่านะที่นายยังเป็นเด็กอยู่ แต่นายควรจะมีเหตุผลมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหา ต่อให้ตอนนั้นนายไม่กลัวอะไรเลย”

“ฮ่า ๆ ถ้าท่านพี่จางวางใจ ฉันก็จะจัดการเรื่องนี้เอง และมั่นใจว่าจะทำมันอย่างเรียบร้อยด้วย”

“แต่หลังจากการประเมินวรยุทธ์ประจำเดือน ท่านพี่จางต้องช่วยฉันนะ” หวงเหมาเอ่ย