ตอนที่แล้วGE382 ถานไท่เว่ยหยู [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE384 สุราน้ำเต้าโลหิต [ฟรี]

GE383 ชีวิตและความตาย ถูกและผิด กรรมและวัฏ [ฟรี]


ภายในกระท่อมไม้ไผ่ที่งดงามหลังหนึ่ง มีเตาไฟถูกจุดเอาไว้

หนิงฝานร่ำสุราเลิศรส แม้สุราที่ดื่มจะไม่มีสมุนไพรผสม แต่รสชาติของมันก็ทำให้วางไม่ลง

เบื้องหน้ามีสตรี 3 คน... ถานไท่เว่ยหยูดื่มสุราอย่างละเมียดละไม เพื่อให้ลิ้มรสสัมผัสให้ได้มากที่สุด ส่วนสตรีอีก 2 นางสีหน้าเรียบเฉย

ชิงฉูฉู่หวาดกลัวหนิงฝาน เหตุที่นางต้องมาดื่มด้วย ก็เพราะจำยอมต้องมา

นี่หรือซัวหมิงผู้โหดเหี้ยมและเก่งกาจ?

นางคาดไม่ถึงว่าการยั่วยุซัวหมิงผู้นี้ จะเป็นเหตุให้ต้องถูกทำลายล้างสิ้น

ลี่ชูเองก็กลัวหนิงฝาน นางทั้งดื่มสุราทั้งมองหน้าหนิงราวกับจะกลืนกิน

“มองข้าขนาดนั้นระวังตาจะถลนออกจากเบ้านะ” หนิงฝานยิ้มพลางกล่าว

“ซัวหมิง ระวังตัวไว้เถอะ!” นางทุบโต๊ะด้วยโทสะ แต่ถานไท่เว่ยหยูปรามนางไว้ด้วยสายตา

“น้องลี่ชู เจ้าลืมสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนแล้วเหรอ?”

“ข้าไม่กล้า...”

“อาจารย์บอกว่าตำหนักม่วงของเราคือนิกายฝ่ายธรรมะ แม้อีกฝ่ายจะเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย ตราบใดที่ไม่กระทำเกินเลยกับเรา เราจะละเว้นชีวิต… ท่านอาจารย์จักรพรรดิเซียนโชคชะตากล่าวไว้”

ถานไท่เว่ยหยูกล่าวกระทบหนิงฝาน

หนิงฝานโคจรวิชาคารม ทำให้นางเผลอพูดชื่ออาจารย์ของตนออกมา

“อาจารย์ของนางคือจักรพรรดิเซียนโชคชะตา… จักรพรรดิเซียนโชคชะตา? ที่ข้าได้ดูดกลืนอัสนีโลหิตและเพลิงสีเงินมาอาจเป็นเพราะมัน… ตอนนี้ข้าต้องการอัสนีโลหิต หากขึ้นไปแดนสวรรค์ใต้ ไม่รู้จะขอให้มันสร้างอัสนีโลหิตเพื่อนำมายกระดับแส้ของข้าได้หรือเปล่า”

หนิงฝานขบคิด และหวังจะหาผลประโยชน์จากอาจารย์ของถานไท่เว่ยหยู

นับว่าโชคดีที่หนิงฝานมีวิชาคารม เขาโคจรวิชาตลอดเวลายามที่พูดคุยกับพวกนาง เพื่อหวังจะล่วงรู้สิ่งที่พวกนางปิดบังไว้

ตำหนักม่วงในแดนสวรรค์กุมความลับไว้มากมาย และตอนนี้ คนจากที่นั่นก็มาเพราะชู่ซวนเชียนสื่อ

“คุณชายช่างใจร้าย ข้าชวนท่านดื่มมาร่วมสองชั่วยาม แต่ท่านไม่เห็นจะถามถึงชู่ซวนเชียนสื่อ… นางเป็นภรรยาท่าน ท่านไม่ห่วงนางบ้างเหรอ?”

แม้ถานไท่เว่ยหยูจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่คำกล่าวของนางกลับคมราวกับมีดกรีดใจ เพราะนางตำหนิว่าหนิงฝานไม่เป็นห่วงสตรีของตน

“ข้ารู้เรื่องของนางแล้ว และข้ารู้ว่าเจ้าเคยช่วยตัวเองมาแล้ว 3 ครั้ง...”

หนิงฝานกล่าวคำเย้าหยอกนาง แต่ก็ทำให้ลี่ชูไม่พอใจตามคาด

“ซัวหมิง! เจ้ามันไร้ยางอาย พี่เว่ยหยูยังไม่ทันตำหนิเจ้า แต่เจ้ากลับพูดจาใส่ความนาง… ร่างกายของพี่เว่ยหยูบริสุทธิ์ราวกับหิมะ แตกต่างจากสตรีทั่วไป ไม่มีทางที่จะช่วยตัวเองแน่นอน!”

“โอ้? ที่แม่นางลี่ชูกล่าวแบบนี้ แสดงว่าสตรีทั่วไปอย่างแม่นางช่วยตัวเองบ่อยๆเลยงั้นเหรอ?”

“เจ้า!” ลี่ชูโกรธจนหน้าแดง คำกล่าวของนางทำให้หนิงฝานย้อนกลับมาล้อเลียนได้

ช่วยตัวเอง...

มนุษย์ที่ยังมีความต้องการเป็นพื้นฐาน ต่อให้ช่วยตัวเองแล้วมันผิดอะไร!

นางอยากจะตอบโต้หนิงฝาน แต่ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งแย่ นางจึงไม่สนใจหนิงฝานอีก

ลี่ชูเงียบไม่กล่าว ถานไท่เว่ยหยูหน้าแดง

นางฝึกฝนและเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานกว่า 1700 ปี จนยามนี้บรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยกขั้น 1 และนาง...ก็เคยช่วยตัวเองมา 3 ครั้งเหมือนอย่างที่หนิงฝานกล่าว

เรื่องนี้เป็นความลับที่มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่รู้ เหตุใดหนิงฝานถึงรู้! หรือจะเป็นวิชาลับ!

“วิชาคารม!” นางขบฟัน

“เป็นวิชาคมราจริงๆ! ข่าวลือว่าผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนวิชาแปลงหยินหยาง สามารถบรรลุวิชาคารมที่ใช้ล้วงความลับของสตรีได้… ซัวหมิง ท่านนับเป็นผู้มีพรสวรรค์ ตั้งแต่จักรพรรดิสวรรค์ผู้นั้นตาย ดูเหมือนท่านจะเป็นคนที่สองที่ใช้วิชานี้ได้ ข้าอยากรู้จริงๆว่าท่านทำยังไงถึงบรรลุวิชาแปลงหยินหยางที่คนอื่นไม่อาจบรรลุได้!”

นางแค่รู้จักวิชาแปลงหยินหยางอย่างผิวเผิน ในโลกทุกใบ แม้ผู้คนจะรู้จักวิชาแปลงหยินหยาง แต่มีเพียงหนิงฝานที่ครอบครองสร้อยหยินหยางเท่านั้นที่รู้จักวิชานี้ดีที่สุด

แม้วิชาแปลงหยินหยางจะเป็นวิชาที่ชั่วร้ายและไร้ยางอาย แต่มันก็เป็นวิชาล้ำค่าที่ไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้ครอบครอง

“แม่นางเว่ยหยู… ดูท่านจะรู้จักวิชาแปลงหยินหยางของข้าอยู่ไม่น้อย” แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา นอกจากหลั่วโยว่แล้ว เท่าที่เขารู้จัก ไม่มีใครรู้จักวิชาแปลงหยินหยาง แต่ยามนี้...ถานไท่เว่ยหยูเป็นคนที่สองที่รู้มากขนาดนี้

“ข้าไม่ได้รู้มากอย่างที่ท่านคิดหรอก… หากคนเราป่วยก็ต้องหาโอสถ… หากไม่ป่วยย่อมไม่จำเป็นต้องหาโอสถ… ข้าจึงรู้เรื่องของท่านอยู่บ้าง”

“คุณชายซัวเป็นคนฉลาดหลักแหลม… ตระกูลถานไท่ของข้ายึดถือเส้นทางธรรมะ เพราะฉะนั้นตัวท่านเองก็ควรระวังอย่างได้พลาดท่าให้ข้า ไม่อย่างนั้น...” นางยิ้มอย่างมั่นใจ ราวกับไม่ได้หวาดกลัวหนิงฝานแม้แต่น้อย

ร่างกายของนางราวกับเป็นปฏิปักษ์กับบุรุษ ผู้ใดสัมผัสนาง ผู้นั้นตาย!

“เว่ยหยู… เมฆาที่บดบังแสงตะวัน แม้จะดูดซับแสงตะวันได้ แต่ก็ต้องเร้นกายเพราะแสงตะวันรุนแรงเกินไป ดูเหมือนเจ้าจะใช้ชีวิตยากลำบากไม่น้อย” หนิงฝานดื่มสุราพลางกล่าวถึงความลับเกี่ยวกับร่างกายนาง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้านางแปรเปลี่ยนเย็นชา นอกจากหนิงฝานแล้วไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความลับนาง แต่นางไม่อาจทำอันใดได้ เพียงยกถ้วยสุราจิบเท่านั้น

ยามนี้จิตใจของนางปั่นป่วน คำกล่าวของหนิงฝานแสดงให้เห็นว่าเขารู้ความลับของนาง

ลี่ชู ชิงฉูฉู่ ไม่รู้ว่าหนิงฝานและเว่ยหยูพูดคุยอะไรกัน

วิชาคารมถือเป็นความลับ แต่ตระกูลถานไท่รู้ความลับ เช่นนั้นแล้ว...ขุมกำลังอื่นก็สมควรรู้ด้วย

ร่างดูดกลืนหยางของเว่ยหยูเองก็เป็นความลับ แม้เป็นลี่ชูที่อยู่ใกล้ ยังรู้เพียงว่าเว่ยหยูไม่อาจเข้าใกล้บุรุษได้

แต่หนิงฝานกลับรู้ความลับของนางโดยไม่ใช้วิชาคารมกล่าวถาม

“คุณชายซัว… ถึงท่านจะมีวิชาคารม แต่ท่านไม่ห่วงชู่ซวนเชียนสื่อบ้างเหรอ? ตอนนี้ตำหนักม่วงของข้าหมายตานาง หากนางตอบรับและเข้าร่วมกับเรา นางจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายธรรมะ ส่วนท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรม เมื่อถึงยามนั้น ท่านและนางจะรักกันไม่ได้อีก”

“ตอบรับ… แม่นางเว่ยหยู เชียนสื่อในยามนี้มีจุดยืนที่เหมือนข้า ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นธรรมะหรืออธรรม เกี่ยวแค่เพียงชีวิตและความตาย” หนิงฝานส่ายหน้า หากเขาไม่ใช้วิชาคารม คงไม่รู้ความลับและเจตนาของพวกนาง

คาดไม่ถึงว่าชู่ซวนเชียนสื่อจะเป็นที่ต้องตาของขุมกำลังแนวหน้าในแดนสวรรค์อย่างตำหนักม่วง

บางทีนั่นอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับนางแล้ว เพราะนางก้าวเดินในเส้นทางของฝ่ายธรรมะเสมอมา เขาจึงไม่อยากก้าวก่ายการตัดสินใจของนาง

หนิงฝานไม่เชื่อว่าหากนางเข้าร่วมนิกายฝ่ายธรรมะ จะตัดความสัมพันธ์และความรู้สึกที่มีต่อเขาได้

แม้ถานไท่เว่ยหยูและลี่ชูจะมีพรสวรรค์และเก่งกาจกว่าชู่ซวนเชียนสื่อ แต่พวกนางก็ไม่เข้าใจความต่างระหว่างธรรมะและอธรรม ผิดกับเชียนสื่อที่เข้าใจความต่างของแต่ละเส้นทางเป็นอย่างดี

แม้นางจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักม่วง เป็นเทพธิดาผู้สูงศักดิ์ แต่หนิงฝานเชื่อว่าหากวันใดเขาแข็งแกร่งมากพอ ถึงจะต่างเส้นทางที่ก้าวเดิน แต่จักรพรรดิเซียนโชคชะตาต้องต้อนรับเขาแน่

สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ต้องแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ

จะเทพ… อสูร… หรือปีศาจ… ทั้งสามสิ่งที่ผู้คนยึดถือรวมอยู่ในร่างหนิงฝาน ทำให้เขาแตกต่างจากคนทั่วไป ดูเหมือนการมาเยือนวังไผ่ฟ้าจะทำให้เขาได้ประโยชน์ไม่น้อย

แม้ถานไท่เว่ยหยูจะเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก แต่ด้วยความต่างที่ผสานเป็นหนึ่ง นางไม่มีทางเข้าใจหนิงฝานโดยสมบูรณ์

นางคิดว่าที่หนิงฝานกล่าวมาก็ไม่ผิด เพราะไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน แต่เชียนสื่อจะไม่มีวันลืมเขา เหตุผลที่จะทำให้ทั้งสองลืมนั้นมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือต้องตายพรากจากกัน

“คุณชายซัว ข้าดูเหมือนจะเข้าใจท่าน แต่กลับไม่เข้าใจ… ท่านไม่ห่วงที่นางจะต้องขึ้นไปยังแดนสวรรค์บ้างเหรอ? อีกไม่นานนางจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณสำเร็จ หลังจากนั้น...”

“ต้องขึ้นไปแดนสวรรค์? คาดไม่ถึงว่าในบรรดาสตรีของข้า นางจะได้ขึ้นไปแดนสวรรค์เป็นคนแรก นางช่างโชคดีจริงๆ นับว่าข้าตาถึงไม่น้อย”

หนิงฝานภูมิใจ การที่สตรีของตนมีอนาคตก้าวไกล ตัวเขาก็ยิ่งมีความสุข

ราวกับบิดาและมารดาที่ชื่นชม มีความสุขกับบุตรของตน

หนิงฝานเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่นๆ

“หากจะห่วง ข้าก็ห่วงอยู่เพียง 2 เรื่อง… เรื่องแรกข้ากลัวว่านางจะสร้างปัญหาให้เจ้าโดยการปฏิเสธที่จะขึ้นไปยังแดนสวรรค์...”

ลี่ชูกล่าวขัด “เป็นไปไม่ได้! โอกาสที่แดนสวรรค์มอบให้คือสิ่งที่ล้ำค่า เป็นไปไม่ได้ที่ชู่ซวนเชียนสื่อจะยอมเสียโอกาสเพียงเพราะความรักที่มีให้กับบุรุษ!”

“เจ้ายังไม่รู้จักนาง” หนิงฝานกล่าว

“แล้วเรื่องที่สองหล่ะ?” ถานไท่เว่ยหยูยิ้มพลางกล่าวถาม

“เรื่องที่สอง... ข้าได้ยินมาว่าตำหนักม่วงมีกฏการรับสตรีเข้าเป็นศิษย์ที่เข้มงวดมาก ไม่อนุญาติให้สตรีมีความสัมพันธ์กับบุรุษ ไม่อนุญาติให้แต่งงาน ร่างกายยังต้องคงพรหมจรรย์เอาไว้ และในอีกหลายๆข้อ… เชียนสื่อเป็นสตรีของข้า แม้ข้าจะยังไม่เคยพรากพรหมจรรย์ของนาง ทั้งข้ายังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายธรรมะ จึงกลัวว่าอาจทำให้นางได้รับผลกระทบหลังจากขึ้นไปแดนสวรรค์”

“ฮ่าฮ่า...” จู่ๆถานไท่เว่ยหยูก็หัวเราะขึ้น

นางหัวเราะในความกังวลของหนิงฝาน และหัวเราะที่เขายังไม่เคยมีอะไรกับเชียนสื่อ

“เช่นนั้นข้าขอตัว...” หนิงฝานลุกยืนโดยไม่สนใจ

เขาไม่ได้ถามรายละเอียดต่างๆ เพราะคงมีอีกหลายเรื่องที่เป็นความลับ ถานไท่เว่ยหยูเองก็คงไม่รู้

แต่หนิงฝานเชื่อว่า การที่เชียนสื่อได้ขึ้นไปยังแดนสวรรค์ใต้ ได้เข้าร่วมกับตำหนักม่วงจะทำให้นางปลอดภัย

แม้ตำหนักม่วงจะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำผิดกฏ อีกอย่าง เชียนสื่อสมควรไม่ยึดติดกับคำว่าธรรมะหรืออธรรม เพราะนางเห็นสัจจะธรรมของมันแล้ว

เขาเชื่อในตัวสตรีของตน...

หลังจากกล่าวลา หนิงฝานก็เดินจากไป ลี่ซูและชิงฉูฉู่คาดเดาหนิงฝานไม่ออก รู้เพียงว่าเขาแตกต่างจากคนทั่วไป

แค่สายตาของเขา ทำให้พวกนางหวาดกลัวกระทั่งไม่กล้าสบตา

“ช้าก่อน! ท่านจะประลองกับข้าสักหน่อยได้หรือเปล่า?” จู่ๆถานไท่เว่ยหยูก้กล่าวขึ้น

“ประลอง? ยังไง?” หนิงฝานประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่านางมีเจตนาอะไร

“ประลองด้วยความรู้แจ้ง… ข้าเห็นท่านชอบร่ำสุรา ดูราวกับท่านได้ทราบบางสิ่งจากมัน… ท่านพอจะบอกข้าได้หรือเปล่าว่าท่านรับรู้อะไรจากสุรา?”

“สุราหมักขึ้นจากข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ผสมกับน้ำและกิ่งต้นพิภพเดือนสิบ จึงกลายเป็นสุรา” หนิงฝานกล่าวตอบส่งๆ

“นั่นมันวิธีหมักสุรา… ข้าอยากทราบอีกอย่างที่ท่านได้”

“สุราคือสิ่งมอมเมา… แต่สตรี เงินทอง ลาภยศ อำนาจ... หากผู้คนได้เสพสม ย่อมมอมเมาไม่แพ้กัน” หนิงฝานกล่าว

“คมคายยิ่งนัก… ท่านเองก็มีสตรีมากมาย ท่านเสพและมอมเมาพวกนางเหมือนสุราหรือเปล่า?”

หนิงฝานไม่ตอบ

“เช่นนั้นข้าขอถามใหม่… การร่ำสุราคืออะไร?”

“ตายเพราะสุราคือการร่ำสุรา… หากตื่นรู้เพราะสุราคือการรู้แจ้ง… ในสุราจึงแฝงด้วยความรู้แจ้งแห่งชีวิตและความตาย” คำกล่าวของหนิงฝานทำให้พวกนางตกตะลึง

ชิงฉูฉู่เป็นถึงประมุขวังไผ่ฟ้า นางต้มสุรามาทั้งชีวิต แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดจะรู้แจ้งเพราะสุรา

ลี่ชูเป็นหนึ่งในศิษย์คนสำคัญของตำหนักม่วง นางได้ศึกษาวิชาต่างๆมากมายกระทั่งรู้แจ้งวิชาเหล่านั้น ที่สำคัญ ในตำหนักม่วงมักจะมีการประลองเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ประลองด้วยกำลัง แต่ประลองด้วยความรู้แจ้ง

การต่อสู้ด้วยความรู้แจ้งนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าเจตจำนงค์เทพของผู้ใดทรงพลังกว่า

การที่ได้ฟังคำกล่าวของหนิงฝาน ทำให้นางรู้ว่าความรู้แจ้งของเขาสูงส่ง แม้เป็นผู้อาวุโสในตำหนักม่วง ก็ยังไม่มีใครเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เหมือนหนิงฝาน

มีเพียงคำกล่าวเดียวที่จะนิยามสิ่งที่หนิงฝานกล่าวได้คือ...พรสวรรค์ เป็นพรสวรรค์ที่ลึกล้ำจนทำให้พวกนางรู้สึกอาย

ถานไท่เว่ยหยูอับอายจนหน้าแดง นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะเก่งขนาดนี้

แม้เป็นเพียงสุราทั่วไป แต่กลับแฝงด้วยเต๋าอันยิ่งใหญ่อย่างชีวิตและความตาย

“เขาเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง...” ถานไท่เว่ยหยูสั่นสะท้าน นางไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

เป็นความรู้สึกตกตะลึงที่มีให้กับบุรุษ

“ขอบคุณคุณชายที่ทำให้ข้ากระจ่างในเต๋าแห่งความเป็นและความตาย ข้าต้องขอบคุณท่านจริงๆ” นางลุกขึ้นและคารวะหนิงฝานอย่างงดงาม และเตรียมจะนำบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า

“ข้าลืมบอกบางสิ่ง...”

“ในสุรายังมีความรู้แจ้งอย่างคำว่าผิดและถูกอยู่ด้วย… เมาคือขาดสติ… หากมีสติย่อมไม่ใช่เมา นั่นคือความหมายของถูกและผิด ในเมื่อแม่นางเข้าใจความเป็นและความตาย ก็สมควรเข้าใจถูกและผิดได้ไม่ยาก มันจะช่วยให้แม่นางบรรลุเซียนได้ง่ายขึ้นด้วย”

“ถูกและผิด!” นางนิ่งเงียบขบคิด

หากกล่าวว่านางเป็นเซียน...ย่อมผิด หากกล่าวว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ...ย่อมถูก

แม้หนิงฝานจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ แต่กลับเข้าใจในเต๋ามากมาย ยากที่จะหาคนเทียบเคียง

นางคิดว่า หนิงฝานจะกลายเป็นผู้บรรลุวิชาแปลงหยินหยางที่แข็งแกร่งที่สุด

หนิงฝานฉลาด แม้จะไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ความไม่พิเศษของเขาก็ทำให้บรรลุความเข้าใจหลายๆสิ่ง

นางไม่รู้ว่ายามนี้ควรจะกล่าวอะไร นางรู้แค่เพียงว่า หากนางได้มีโอกาสบรรลุเซียน ผู้ที่นางต้องกล่าวขอบคุณคือหนิงฝาน

“ในสุราเองยังมีเต๋าที่ยิ่งใหญ่กว่าถูกหรือผิดอยู่ด้วย… เจ้าอยากฟังหรือเปล่า?”

“แน่นอน! หากคุณชายอนุเคราะห์ ข้าสัญญาว่าหากเชียนสื่อขึ้นไปยังแดนสวรรค์ ข้าจะเป็นคนปกป้องนางเอง!” ถานไท่เว่ยหยูกล่าว

หนิงฝานพยักหน้าให้ เขาพึงพอใจที่นางกล่าวเช่นนั้น

“เมื่อข้าพบความเป็นและความตาย… ข้าก็พบถูกและผิด… และหลังจากนั้นข้ายังได้พบ ‘กรรม’... หากร่ำสุราหนักเกินไปก็เมา… หากไม่ร่ำสุราก็ไม่เมา นี่คือกรรม ผลของการกระทำ...”

“ผลของการกระทำ...” นางขบคิด หากไม่มีเหตุผู้คนคงไม่ร่ำสุรา

“นอกจากกรรมแล้ว… ข้ายังคิดว่าข้าเห็นบางอย่างที่เหนือกว่านั้น...” หนิงฝานถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ได้อยากจะกล่าวมากนัก แต่เมื่อเห็นแววตาของเว่ยหยู เขากลับใจอ่อน

“เหนือกว่ากรรม… ยังมีอีกเหรอ?” นางเริ่มสับสน ไม่เข้าใจในสิ่งที่หนิงฝานกล่าว

“ผู้ที่ลุ่มหลงในสุราจะดื่มจนตนเองเมา เมื่อสร่างเมาคนผู้นั้นก็จะกลับมาดื่มใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนั้นไม่รู้จักจบสิ้น นั่นคือ ‘วัฏ’... โลกของเราเต็มไปด้วยความเร้นลับ แม้จะทราบถึงวัฏแต่ก็ยากจะหลุดพ้น”

เมื่อกล่าวจบหนิงฝานก็ป้องมือแล้วจากไป

เขาเข้าใจในความคิดนาง รู้ว่ากำลังจะทำอะไรต่อไป นางตั้งใจจะมอบวิชาเทพนามว่า ‘พลิกสมุทร’ ให้ วิชานี้เป็นวิชาที่ใช้เสริมพลังหยางในร่างบุรุษ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากการถูกสตรีดูดซับพลังหยางที่มากเกินไป

เป็นเหมือนวิชาที่เป็นอีกด้านของวิชาแปลงหยินหยาง เป็นวิชาลับของตระกูลถานไท่ที่ไม่อนุญาติให้เผยแพร่กับคนภายนอก หากนางมอบให้และหนิงฝานรับมา นางจะถูกลงโทษ

เหตุที่นางคิดอยากจะมอบวิชาให้ เพราะนางอยากให้หนิงฝานก้าวเดินในเส้นทางของฝ่ายธรรมะ

แต่สำหรับหนิงฝานแล้ว จะธรรมะหรืออธรรมก็ไม่ต่างกัน เหตุใดต้องแบ่งแยก?

วิชาแปลงหยินหยางไม่ได้ผิดอะไร แต่ผู้ที่ใช้มันในทางที่ผิดสมควรถูกกล่าวโทษมากกว่า ดังนั้นหนิงฝานจึงเลือกที่จะปฏิเสธถานไท่เว่ยหยู

“เขารู้แจ้งทั้งหมด...” นางยิ้มเจื่อนพลางถอนหายใจ

หากหนิงฝานตั้งใจจะกลับตัวเข้าสู่เส้นทางฝ่ายธรรมะ นางสามารถช่วยให้หนิงฝานมีอนาคตก้าวไกลได้

แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธ นางเสียยดายหนิงฝานมาก

เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่ายอมสยบให้บุรุษ

“ไว้พบบกันใหม่...” นางถอนหายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หากเรื่องที่นางยอมสยบให้กับหนิงฝานแพร่ออกไป น่าจะข่าวเป็นข่าวใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องที่หนิงฝานเอาชนะซีเหมินเย่ได้

เมื่อกลับออกมาจากบ้านไม้ไผ่ หนิงฝานไปหาเช่าคง มอบโอสถให้แล้วกล่าวลา จากนั้นก็หายตัวไปจากวังไผ่ฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

หนิงฝานปรากฏตัวเหนือท้องสมุทรที่ว่างเปล่า ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น 3 วัน 3 คืน

แต่จู่ๆก็มีบุรุษในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏตัว สีหน้าเรียบเฉย เพ่งมองหนิงฝานอย่างจริงจัง

“เต๋าของเจ้าสูงส่ง จิตใจเข้มแข็ง”

บุรุษผู้นี้ราวกับจะได้ยินสิ่งที่หนิงฝานพูดคุยกับถานไท่เว่ยหยู

อีกหนึ่งในสาเหตุที่บุรุษผู้นี้กล่าวชม คือการที่หนิงฝานยังคงสงบใจได้แม้ตนเองจะปรากฏตัว

“ท่านเป็นใคร?”

“หยุน” คำกล่าวเพียงคำเดียว แต่กลับทำให้สีหน้าหนิงฝานแปรเปลี่ยน

เขาไม่อาจหยั่งสัมผัสของคนผู้นี้ได้ ที่สำคัญ คนผู้นี้ยังให้ความรู้สึกว่ามันไม่ได้ด้อยไปกว่าหานเนี่ยเทียน

คำว่าหยุนคือคำที่หนิงฝานนึกขึ้นได้หลังออกจากวิหารสาบสูญ

“หากผ่านการทดสอบของข้า… จึงจะได้เป็นผู้อาวุโส… หยุน”

แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา

บุรุษผู้นี้คือผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกที่วิหารวิรุณส่งมาทดสอบตน!

หนิงฝานขยับมือ นำกระเป๋าโบราณใบหนึ่งออกมาจากแหวน

กระเป๋าใบนี้ถูกเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของแหวน คงอยู่ ณ ที่แห่งนั้นมานานแสนนาน

ของสิ่งนี้เป็นไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขา… ผู้ไม่อาจบรรลุเซียนปีศาจ!

หนิงฝานคิดว่าพลังของเขาในยามนี้สามารถควบคุมผู้ไม่อาจบรรลุเซียนปีศาจที่หลับไหลอยู่ในถุงใบนี้ได้ แต่เขาเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ นับเป็นการเสี่ยงดวง

หากเขาควบคุมได้สำเร็จ เขาจะทรงพลังจนวิหารพิรุณต้องหวั่นเกรง

แต่หากล้มเหลว เขาจะตายและหายไปจากโลกใบนี้อย่างถาวร

เหตุที่เขาคิดจะเสี่ยง ก็เพราะมีโอกาสสำเร็จ

หากบุรุษผู้นี้คิดร้าย เขาจะนำมันออกมารับมือทันที! ต่อให้ตาย...ก็ต้องตายไปด้วยกัน

“ในกระเป๋าใบนั้นมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาอยู่” บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า

“ถ้าข้าจะสังหารเจ้าจริง เจ้าคงตายไปนานแล้ว… ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ข้าไปวิหารสาบสูญและทิ้งข้อความไว้ให้เจ้า… เจ้าน่าจะเข้าใจดี”

ก่อนหน้านี้หนิงฝานหมดสติและพักอยู่ในวิหารสาบสูญ เขาไร้การป้องกันโดยสมบูรณ์ หากบุรุษผู้นี้คิดสังหารเขาจริง คงง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ

หนิงฝานเก็บถุงใบนั้นไป หันหน้ากลับไปมองบุรุษผู้นั้นแล้วป้องมือพลางกล่าวถาม “ท่านจะทดสอบข้ายังไง?”

“เจ้าเข้าใจในสุรามากใช่หรือเปล่า?”

“พอเข้าใจอยู่บ้าง” หนิงฝานกล่าวตอบ

“เท่าที่ข้าได้ฟังสิ่งที่เจ้ากล่าว เจ้าเข้าใจสิ่งต่างๆมากมาย... แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะสนใจเรื่องราวเล็กน้อยเหล่านั้น… มาดื่มกันเถอะ!”

หยุนเทียนเฉวนำเรือออกมาจากกระเป๋า จากนั้นร่อนลงนั่งบนเรือ พลางนำสุราที่ได้จากวังไผ่ฟ้าออกมา

“นี่คือการทดสอบของท่านหรือเปล่า?”

“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”

หนิงฝานร่อนลงบนเรือ ยกจอกสุราดื่มกับหยุนเทียนเฉว แต่ทั้งสองไม่ได้พูดคุยสิ่งใด

ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ระยะห่างไม่มาก แต่หนิงฝานกลับดื่มสุราได้อย่างเรียบเฉย

หยุนเทียนเฉวขมวดคิ้ว เหตุใดผู้เยาว์เบื้องหน้าถึงดื่มสุรากับตนโดยไม่สะทกสะท้าน

“หากเจ้าเมา ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ” หยุนเทียนเฉวกล่าวอย่างเย็นชา

“ข้าไม่เมาหรอก!” หนิงฝานยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้หยุนเทียนเฉวตกตะลึง เพราะรอยยิ้มนี้คล้ายกับรอยยิ้มของสตรีผู้หนึ่งที่มันรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

แต่นางเป็นใคร...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด