บทที่ 73 ตกลงธุรกิจ
คลื้นน! คลื้นนนน!
ดาบสั้นสีนวลไม่ใช่อาวุธธรรมดา เมื่อผสานกับแก่นแท้พลัง พลังทำลายของตัวดาบก็จะยิ่งทรงพลังยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากการโจมตีของเจียงอี้ ปีศาจปลาหมึกก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะโจมตีอีกต่อไปและทำได้เพียงแค่ฟื้นฟูบาดแผล
ดาบในมือของเจียงอี้ส่องแสงขณะที่แล่เนื้อชิ้นใหญ่ของปีศาจปลาหมึก
ไข่มุก!
นัยน์ตาของเจียงอี้รู้สึกราวกับถูกเผาเมื่อเขาจ้องมองไปยังไข่มุกสีเขียวที่มีขนาดใหญ่เท่ากับดวงตาของมังกร เขารีบผ่าร่างของปีศาจปลาหมึกและใช้มือคว้าไปที่ไข่มุก
เดี๋ยวก่อน! มีบางอย่างผิดปกติ!
ทันทีที่มือของเจียงอี้เกือบจะสัมผัสกับไข่มุก จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่าชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย เขารีบยับยั้งความโลภและถอยกลับโดยไม่ลังเล
ตู้มมมมม!
ทันใดนั้นร่างของสัตว์อสูรก็ระเบิดออก แรงระเบิดมีพลังทำลายล้างเหนือกว่าฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เสียด้วยซ้ำ พลังทำลายของมันรุนแรงมากพอที่จะระเบิดร่างของเจียงอี้เป็นเสี่ยงๆ
โชคดีที่เจียงอี้ไหวตัวทัน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้
“บ้าเอ้ยยย!”
เจียงอี้ดิ้นรนและกระอักเลือด เขาโชคดีมากที่เลือกที่จะหนีแทนที่จะยึดติดกับไข่มุกในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่
“ช่างเป็นวัตถุที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก! ขนาดแรงระเบิดที่รุนแรงเช่นนี้ มันก็ยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!”
เจียงอี้จ้องมองไปยังมุมๆหนึ่งและมองเห็นไข่มุกที่ส่องประกาย เขาลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากและกลืนเม็ดยาฟื้นฟูระดับพิภพอย่างรวดเร็ว เขาละความสนใจจากไข่มุกเป็นการชั่วคราวและมุ่งเน้นไปที่การรักษาตัว
หลังจากที่ปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ด้วยพลังทั้งหมด ร่างกายของเจียงอี้ก็ต้องรับภาระหนักอยู่แล้ว แต่ร่างของเขาก็ยังรับความเสียหายมากขึ้นเนื่องจากแรงระเบิดเมื่อครู่ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนี้แม้แต่เศษขยะขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามก็สามารถสังหารเจียงอี้ได้อย่างง่ายดาย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เม็ดยาระดับพิภพถูกดูดซับจนหมด เจียงอี้นำเม็ดยาอีกเม็ดขึ้นมาและเริ่มดูดซับอีกครั้ง สภาพร่างการของเขาในตอนนี้ฟื้นฟูกลับมาได้บางส่วนแล้ว แม้แต่แก่นแท้พลังเองก็ฟื้นฟูกลับมาแล้วเช่นกัน
อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เจียงอี้ถอนหายใจและนำเสื้อขึ้นมาสวม จากนั้นเขาก็เดินไปหาไข่มุกสีเขียว
“มันเป็นไข่มุกประเภทไหนกันแน่?”
เมื่อเข้าไปใกล้ไข่มุก เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างผิดปกติ เจียงอี้สำรวจมันอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่พบสิ่งพิเศษแต่อย่างใด หลังจากวิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ เขาก็ทำการทดลองถ่ายโอนแก่นแท้พลังเข้าไปแต่ก็ไม่มีการตอบสนอง
เจียงอี้รู้สึกสับสน เขาลองทุกวิถีทางแม้แต่การอมไว้ในปาก แต่ไข่มุกก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ เห็นได้ชัดว่าพลังพิเศษของเจ้าปีศาจปลาหมึกนั่นเกี่ยวข้องกับไข่มุกเม็ดนี้แน่ๆ นอกจากนี้มันยังไม่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด มันจะต้องเป็นของวิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมกัน…?”
เจียงอี้รู้สึกหงุดหงิด ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ครอบครองสมบัติที่ไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงของไร้ประโยชน์ในตอนนี้
หลังจากที่ทำการทดลองเป็นเวลาสิบห้านาที เจียงอี้ก็ได้ข้อสรุปว่าไข้มุกสีเขียวเป็นของไร้ประโยชน์ อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโยนมันใส่กระเป๋าอย่างไม่ใส่ใจและเริ่มออกสำรวจบริเวณรอบๆ
จากนั้นไม่นานดวงตาของเจียงอี้ก็เป็นประกายเมื่อมองเห็นป้ายสัญลักษณ์ที่อยู่ตรงมุมหนึ่งซึ่งกำลังสะท้อนแสงสีทองออกมา
เขารีบก้าวไปข้างหน้าและหยิบมันขึ้นมา เจียงอี้มั่นใจว่ามันคือป้ายสัญลักษณ์สีทองที่หาได้ยากเย็นอันนั้น ตอนนี้เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและรู้สึกยินดีที่การเสี่ยงชีวิตของเขานั้นไม่สูญเปล่า สิ่งนี้ยังพิสูจน์อีกว่าป้ายสีทองจะปรากฏอยู่ในตัวของสัตว์อสูรที่น่ากลัวเป็นพิเศษเท่านั้น
“โอ้ ใช่แล้ว!”
ในขณะที่เจียงอี้เตรียมตัวที่จะจากไป จู่ๆเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าที่นี่มีศพอยู่สี่ศพหรือ? มันคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ครอบครองป้ายสัญลักษณ์เลยสักชิ้น
เจียงอี้เริ่มค้นไปตามร่างของศพที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ศพเหล่านี้ดูเหมือนว่าตอนที่มีชีวิตอยู่จะแข็งแกร่งไม่น้อย ในที่สุดเจียงอี้ก็พบป้ายสัญลักษณ์มากกว่ายี่สิบชิ้นและที่น่าตกใจก็คือมีป้ายสีทองรวมอยู่ในนั้นด้วย
“ขอมากกว่านี้อีกหน่อยละกัน”
สีหน้าของเจียงอี้แสดงออกถึงความพึงพอใจ ในขณะที่เก็บป้ายสัญลักษณ์ทั้งหมดลงไปแล้ว เขาก็พบเม็ดยาและตำลึงทองอีกจำนวนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะปล้นชิงอาวุธของคนตายเหล่านี้ เพราะกลัวว่าคนอื่นอาจจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นฆาตกร
เจียงอี้โค้งคำนับให้กับศพทั้งสี่แต่ก็ไม่ได้ฝังพวกเขาแต่อย่างใด เขารู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ของสำนักจิตอสูรที่คอยออกลาดตระเวนหลังจากการชำระโลหิตจบลง หากเขาฝังศพเหล่านี้ เกรงว่าเหล่าสมาชิกในตระกูลของพวกเขาจะไม่สามารถค้นหาพวกเขาได้อีกต่อไป
หลังจากที่ได้รับป้ายสีทองทั้งสองชิ้นแบบไม่ตั้งใจแล้ว เจียงอี้ก็รู้สึกว่าภาระหน้าที่ของเขาลดลงอย่างมาก เขาปีนขึ้นจากหุบเขาแต่ก็ยังไม่ได้จากไปในทันที เขาเลือกที่จะหลบซ่อนตัวและฟื้นฟูพลัง
อ๊ากกกก!
ฟับบบ!
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงอี้ก็ลืมตาตื่นเพราะเสียงจากภายนอก ตอนนี้สภาพร่างกายของเขาฟื้นกลับมาได้แปดส่วนแล้ว ทางด้านแก่นแท้พลังก็เพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขารีบออกจากที่ซ่อนและมุ่งหน้าไปยังแหล่งที่มาของเสียงในทันที
มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?!
เจียงอี้ตกตะลึงกับฉากตรงหน้า ภาพที่เกิดขึ้นคือการต่อสู้อันแสนวุ่นวายที่มีผู้เข้าร่วมไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคน แต่ละฝ่ายมีคนประมาณห้าสิบคนและไม่มีผู้ใดใช้อาวุธ ถึงอย่างนั้นก็ยังมียี่สิบถึงสามสิบคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“นั้นมัน… จ้านอู๋ซวง! เขาเองก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
เจียงอี้จ้องมองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยทั้งสอง พวกเขาก็คือจ้านอู๋ซวงและหญิงสาวในชุดคลุมดำ พวกเขาเฝ้าสังเกตความวุ่นวายแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อมองไปได้สักพัก เจียงอี้ก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกคนซึ่งไม่ควรอยู่ที่นี่
“อาการบาดเจ็บของเจียงฉีหลินหายดีแล้ว? นี่เพิ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองนะ... หรือว่าเขาจะใช้เม็ดยาฟื้นฟูระดับสวรรค์?”
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงสังเกตบริเวณโดยรอบและพบว่ามีผู้คนจำนวนมากที่กำลังสังเกตการณ์อยู่เช่นกัน
เนื่องจากมีผู้คนอยู่จำนวนมาก เจียงอี้ก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปเพราะกลัวว่าจะบังเอิญเจอกับหญิงสาวที่เขาพบในคืนแรก แต่ในขณะที่เตรียมตัวจะจากไปนั้นเขาก็มองเห็นร่างเงาร่างหนึ่งที่โบกมือให้เขาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! มาทางนี้!”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังออกมา ความจริงแล้วมันเป็นเสียงของเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วน เจียงอี้หยุดชะงักก่อนที่จะเดินเข้าไปหาและกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เฉียนว่านก้วน เจ้าเรียกข้าทำไมรึ?”
“ฮิฮิ คือว่านะพี่ใหญ่! ข้ามีธุรกิจบางอย่างที่อยากจะตกลงกับท่าน”
เฉียนว่านก้วนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสา จากนั้นก็ดึงเจียงอี้เข้ามาใกล้ๆและกล่าว “พี่ใหญ่ ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าจัดการเหล่าลูกสมุนของเจียงฉีหลินสักสิบคน ข้าจะจ่ายให้ท่านหนึ่งพันตำลึงทอง ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“อะไรนะ? เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่หรือยังไง?”
ดวงตาของเจียงอี้เบิกกว้างราวกับกำลังมองดูคนบ้า โดยไม่ต้องคิดให้มากความ เขารีบลุกขึ้นและเตรียมจะจากไปในทันที
“อย่าเพิ่งไปพี่ใหญ่!”
เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนรีบรั้งเจียงอี้ไว้และกล่าวต่อ “สองพันตำลึงทอง! สองพันตำลึงทองเป็นยังไง?!”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเป็นปมขณะที่จ้องมองเจ้าอ้วน “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่ทำไมข้าถึงต้องไปสร้างความบาดหมางกับเจียงฉีหลินอย่างไม่มีเหตุผล? อย่าลืมว่าคนผู้นั้นเป็นถึงนายน้อยของตระกูลเจียง!”
“ฮิฮิ!”
ไขมันของเจ้าอ้วนเฉียนว่านกวงกระเพื่อมไปมาขณะที่หัวเราะ “เป็นนายน้อยของตระกูลเจียงแล้วมันยังไง? แม้ว่าท่านจะเอาชนะเขาได้ จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกก็จะไม่มาสร้างความลำบากให้กับท่าน”
“นอกจากนี้ยังมีอีกอย่างน้อยห้าคนที่มีสถานะสูงกว่าเขา ความจริงคนผู้นั้นเป็นเพียงแค่ลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆเท่านั้น… เอาเป็นว่าหากท่านช่วยข้าตอนนี้ ข้าจะให้ป้ายสีทองกับท่านชิ้นหนึ่ง!”
“ป้ายสีทอง?”
เจียงอี้ถูกล่อลวงในทันที เป็นความจริงที่เขากำลังขาดป้ายสีทองอยู่หนึ่งชิ้น ด้วยการต่อสู้ที่วุ่นวายขนาดนี้ เขาสามารถหาโอกาสในการจัดการสมุนของเจียงฉีหลินได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เขากังวลเพียงแค่ว่านายน้อยผู้หยิ่งยโสคนนั้นจะกลับมาแก้แค้นเขาภายหลัง
บ้าเอ้ย! เป็นไงเป็นกัน!
เจียงอี้เคยยั่วยุเจียงฉีหลินมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะทำอีกสักครั้งมันก็ไม่ต่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาทางช่วยเจียงเสี่ยวนู๋ หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความเย็นชาและเอ่ย “เอาป้ายสัญลักษณ์สีทองมาให้ข้าก่อนและข้าจะยอมช่วยเจ้า… ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าสามารถจัดการพวกมันได้แทนที่จะไปว่าจ้างผู้อื่น?”
“ฮิฮิ”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจียงอี้ มุมปากของเจ้าอ้วนก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็กล่าว “กลิ่นอายสังหารของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้ มีเพียงท่านและจ้านอู๋ซวงเท่านั้นที่มีกลิ่นอายรุนแรงที่สุด”
“จ้านอู๋ซวงไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงต้องมาหาท่าน แล้วอีกอย่างข้าคิดว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของท่านต้องไม่ใช่แค่ที่เห็นเป็นแน่ ท่านไม่ต้องกังวล ตราบเท่าที่ท่านสามารถเข้าร่วมกับสำนักจิตอสูรได้ เจียงฉีหลินจะไม่สามารถแตะต้องท่านได้ง่ายๆอย่างแน่นอน”