ตอนที่แล้วบทที่ 33 - จากวันนี้ฉันเป็นนักสำรวจอย่างเป็นทางการ (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35 - จากวันนี้ฉันเป็นนักสำรวจอย่างเป็นทางการ (5)

บทที่ 34 - จากวันนี้ฉันเป็นนักสำรวจอย่างเป็นทางการ (4)


บทที่ 34 - จากวันนี้ฉันเป็นนักสำรวจอย่างเป็นทางการ (4)

มหาวิทยาลัยที่น่าเบื่อ มันไม่แตกต่างไปจากโรงเรียนมัธยมเลย ฉันไม่ได้คาดหวังมันตั้งแต่แรกแล้ว ฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยน ดังนั้นที่อยู่ขอฉันจึงไม่ใช่มหาวิทยาลัยแต่เป็นดันเจี้ยน

อย่างไรก็ตามในฐานะสมาชิกของสังคมและพลเมืองของเกาหลี ฉันก็จะต้องอยู่ในที่ๆเหมาะสมกับอายุของฉัน แม้ว่าฉันจะมีค่าสติปัญญาแค่ 20 แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ

แม่ของฉันก็รู้ว่าฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนเหมือนกับพ่อ และรู้ว่าฉันอาจจะทำเงินได้มากพอๆกับพ่อ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังคงยืนยันว่าฉันจะต้องเข้ามหาลัยเพราะว่าอายุของฉันถึงเกณแล้ว

ความคิดนี้มันเหมือนกับว่าจะเป็น...ของปลอม มันกำลังจะทำอะไรซักอย่างเพื่อการแสดงออกมา บางทีนี่ก็อาจะเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอยู่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่โลกถูกเปลื่ยนไปด้วยการปรากฏตัวของมอนสเตอร์และผู้ตื่นขึ้น

ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซู เยอึนก็กำลังกลืนเฟรนฟรายลงไป

"ฉันสามารถจะกินมันได้หมดเลยหรอ? มันจริงใช่มั้ย?"

"ใช่แล้ว"

"ทะ เทวดา...ฉันรักนาย"

"อ่อ ไม่อะ"

ความรักที่ยิ่งใหญ่ของเธอมันมีมูลค่าเพียงแค่ 6500 วอน ฉันได้ปฏิเสธความรักที่ร้อนแรงและราคาถูกของเธอและจ้องมองไปที่เธอที่กำลังกินเฟรนฟราย วันนี้มันเป็นวันพฤหัสบดี คลาสได้จบลงในเวลา 5.30 มันเป็นวันที่ชั้นเรียนของฉันซ้อนทับกับของซู เยอึน

ช่วงมิดเทอมกำลังมาแล้ว แต่ว่าซู เยอึนได้ชักจูงให้ฉันไปหาเฟรนฟรายและเบียร์ จุดมุ่งหมายของเธอก็คือเฟรนฟรายอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธขอเสนอของเธอไป

"นายกำลังคิดอะไรอยู่หรอชิน?"

"ไม่มีอะไร"

ซู เยอึนเป็นโรคมอนสเตอร์โฟเบีย มันเป็นเหตุผลที่เธอตัวสั่นไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และตัวแข็งไปเมื่อเจอนกพิราบ

มอนสเตอร์ น่าแปลกใจที่คนที่อยู่ในศัตวรรษที่ 21 จะต้องพบกับมัน มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเหล่านี้ที่มีทั้งขนาดรูปร่างและความสามารถที่ผิดปกติ ผู้คนไม่เพียงแต่หวาดกลัวโดยธรรมชาติเท่านั้น แต่พวกเขายังจะต้องตัวแข็งเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้

โรคมอนสเตอร์โฟเบียมันกลายเป็นคำอธิบายใหม่สำหรับคนที่มีอากาศเช่นนี้ ในความเป็นจริงคนส่วนใหม่ที่ไม่ได้เป็นผู้ตื่นขึ้นมาส่วนใหญ่จะเป็นโรคนี้

อย่างไรก็ตามซู เยอึน เป็นผู้ใช้พลัง แม้ว่าเธอจะถูกพบโดยฉันในทันที ความสามารถในการซ่อนตัวของเธอเป็นความสามารถที่ดีที่สุดในการเอาตัวรอดจากมนอสเตอร์ ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้หวาดกลับมอนสเตอร์

ถึงแม้ว่าฉันจะอยากรู้ แต่ฉันก็ไม่ได้พยายามที่จะค้นหามัน ฉันไม่ต้องการที่จะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเธอขอความช่วยเหลือ ฉันก็จะช่วยเธอในระดับหนึ่ง

...ฉันสงสัยว่าความจริงที่ฉันคิดทั้งหมดนี้มันหมายความว่าฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดี แต่ครู่หนึ่งฉันก็ได้โยนความคิดเหล่านี้ลงถังขยะ เวรเอ้ย จริงๆฉันควรจะได้พบกับคนอื่นที่เป็นเพื่อน ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ในดันเจี้ยนและไม่ได้เข้าร่วมกับสังคมชีวิตภายนอกเลยเมื่อฉันกลับมา

ขณะที่ฉันกำลังคิดถึงสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ก็ได้มีสิ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมา

[นักสำรวจดันเจี้ยนจากโลกได้พิชิตชั้นที่ 50 และได้กลายเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนระดับทอง! ตอนนี้ช่องทางการสื่อสารจะถูกเปิดขึ้นบนโลก! ผู้ที่ต้องการจะพูดคุยจะสามารถทำได้โดยการวางมือซ้ายไว้บนปาก เมื่อคุณไม่ต้องการจะฟังเสียงจกช่องทางการสื่อสาร คุณสามารถปิดได้เพียงแค่พูดว่า 'ปิดช่องทาง']

[นักสำรวจดันเจี้ยนในโลก นายได้ยินใช่มั๊ย? ฉันได้เคลียร์ชั้นที่ 50 แล้ว ทุกคนได้ยินฉันใช่มั๊ย?]

ฉันได้ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง แม้ว่าซู เยอึนจะมองมาที่ฉันอย่างสงสัย แต่ฉันก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสนใจเธอ อย่างแรกเลยฉันได้หยิบโทรศัพท์และส่งข้อความไปถึงพ่อว่า 'อย่าพูดอะไร' จากนั้นฉันก็นั่งลงและพยายามทำตัวให้สงบ ในขณะดียวกัน ฉันก็สามารถจะได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหูของฉัน

[ฉันชื่อฮวาหยา อเลนี่ มัสติฟอร์ด เป็นผู้ใช้พลังระดับ SS และนักสำรวจดันเจี้ยนที่ 2 ฉันมีชื่อเกาหลีว่า เย่ ฮวาหยา ฉันมีสัญญาณอังกฤษดังนั้นโปรดจำมันเอาไว้ด้วย]

ฉันได้เดาะลิ้น ผู้ใช้พลังระดับ SS ได้เป็นนักสำรวจดันเจี้ยน! ทั้งพ่อและฉันรู้ว่านักสำรวจดันเจี้ยนก็อาจจะตื่นขึ้นมาเช่นกัน แต่ว่าพวกเราไม่ได้คิดว่าจะสามารถเป็นความสามารถที่ได้รับการจะอันดับเป็น SS! เธอได้บอกว่าเธอชื่อเย่ ฮวาหยา เธอเป็นผู้หญิงที่ใช้ไฟในทีวี

กำแพงที่ฉันรู้สึกว่าฉันจะสามารถกระโดดผ่านไปได้ในสักวันหนึ่ง ในตอนนี้มันได้สูงไปกว่าร้อยเท่าแล้ว มันอาจจะสูงมากกว่าพันกิโลเมตร ฉันได้กัดลงไปบนริมฝีปาก ฉันได้ให้ความสนใจกับคำพูดของเธอ

[พวกคุณทุกคนควรจะรู้ว่ามีเพียงแค่นักสำรวจดันเจี้ยนแค่ห้าคนในโลกเท่านั้น ฉันต้องการที่จะเก็บมันเอาไว้อย่างนี้ต่อไปสักพัก นั่นคือฉันไม่ต้องการที่จะให้มีนักสำรวจดันเจี้ยนโผล่ขึ้นมาอีก เพราะว่าเราไม่สามารถจะปล่อยให้ทุกๆคนกลายเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนได้]

เสียงของของยังคงดันต่อไปเหมือนกับกระดิ่ง

[พวกเราจะต้องมารวบตัวกัน พวกเรานั้นพิเศษไม่ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นเหมือนกับผู้ใช้พลังคนอื่นๆ? เมื่อพวกเรารวใกัน พวกเราก็จะสามารถสนับสนุนกันได้ แน่นอนตั้งแต่ที่ฉันเป็นผู้ใช้พลังระดับ SS และกลายมาเป็นคนแรกบนโลกที่พิชิตชั้นที่ 50 ฉันก็จะเป็นผู้นำ ฉันต้องการที่จะสร้างองค์กรของนักสำรวจดันเจี้ยนขึ้นและฉันก็ต้องการให้พวกคุณทั้งหมดอยู่ในนั้น]

[...มันเป็นแผนที่น่าสนใจมัสติฟอร์ด]

มันเป็นเสียงลึกของผู้ชาย มันไม่ได้เป็นเสียงของพอ ดังนั้นจะต้องเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนที่ฉันไม่รู้จัก ฉันได้ฟังเสียงขอเขาอย่างใกล้ชิด

[ฉันยอมรับว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราควรจะอยู่ภายได้คำสั่งของเธอ]

[ฉันไม่ได้บอกว่าจะออกคำสั่งกับพวกคุณ แต่ฉันต้องการเพียงแค่ถ้าพวกเรามารวมตัวกัน ผู้นำกลุ่มก็ควรที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่ง]

[ฮา ข้อเสนอของเธอมันไม่น่าดึงดูดและไม่น่าไว้ใข แม้ว่าจะไม่มีการรวมตัวของพวกเรา นักสำรวจก็มีอำนาจที่จะสามารถออกคำสั่งกับผู้ใชพลังคนอื่นๆได้]

[พวกเราสามารถจะแข็งแกร่งขึ้นได้ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน! เสียงของพวกเราก็จะเข็มแข็งเช่นกัน! แถมนอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้บอกว่าพวกเราควรจะมารวมกันด้วยเหตุผลทางการเงิน แล้วคนอื่นๆล่ะ? คุณควรจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่มั๊ย? สิ่งทีเกิดขึ้นกับโลกมันเชื่อมโยงกับดันเจี้ยน]

ฉันรู้ เดม่อนลอร์ดมันกำลังอาละวาดอยู่ในทวีปลูก้าและผู้ลุกลานก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทวิปอีเดียส ชาวทวีปตางๆกำลังต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อกำหนดโชคชะตาของพวกเรา โลกของเราก็ด้วย...มอนสเตอร์ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้น

"ชิน?"

"ชู่วว"

ซู เยอึนที่กังวลเกี่ยวกันฉันได้ถามออกมา ฉันได้โบกมือให้เธอเงียบและเพ่งความสนใจไปที่ช่องทางการสื่อสาร คราวนี้ฉันก็ได้ยินเสียงที่ฟัวดูเหมือนจะเป็นเสียงของเด็กสาวคนหนึ่ง

[ฉะ ฉันสุ...สุมิเระ วีโอเร็ท มินามิ แล้วที่คุณมัสติฟอร์ดบอกว่า...ถ้าพวกเรารวมกัน พวกเราจะสามารถเอาชนะมอนสเตอร์ทั้งหมดในโลกได้หรอ?]

[โอ้ ใช่แล้ว พวกเราสามารถที่จะเติบโตไปก่อนที่จะถึงจุดจบ เมื่อพวกเรามารวบตัวกัน ไม่ว่าประเทศหรือองค์กรใดๆก็ไม่สามารถจะยุ่งกับพวกเราได้ นอกจากนี้ตราบเท่าที่เรามีอำนาจในการแต่งตั้งกลุ่มนักสำรวจ พวกเราก็จะสามารถใช้พลังนี้ในการขยายองค์กรของเราได้อีกด้วย]

[ตะ ตั้งแต่งหรอ? พวกเราสามารถจะแต่งตั้งนักสำรวจดันเจี้ยนคนอื่นๆได้หรอ?]

[...มันดูเหมือนน้องสาวตัวเล็กคนนี้จะยังเป็นแค่นักสำรวจฝึกหัดสินะ]

ชายคนนั้นได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง ผู้หญิงคนนั้นฉันรู้ตั้งแต่ตอนที่เธอเปิดเผยชื่อของเธอ แต่ว่าเธอไม่ได้ฉลาด เธอควรที่จะแกล้งทำเป็นรู้

[คุณจะกลายเป็นระดับเงินเมื่อคุณผ่านชั้นที่ 20 สุมิเระจากนั้นคุณก็จะได้รับสิทธิ์ในการแต่งตั้งนักสำรวจดันเจี้ยนคนหนึ่ง เมื่อคุณกลายมาเป็นระดับทอง คุณก็สามารถจะแต่งตั้งคนอื่นได้อีก]

[อา เข้าใจแล้ว หนูยังอยู่ที่ชั้นที่ 18 มันเป็นเวลาเพียงแค่ 2 ปี นับตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาในดันเจี้ยนนี้]

18 ชั้นใน 2 ปี? ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ในดันเจี้ยนไหน ถ้าฉันมีมานา ฉันก็สามารถจะทำมันได้เช่นกัน...ไม่สิ อย่าคิดถึงมัน ใจเย็น ใจเย็น

[ฮุฮุ สุมิเระ คุณไม่ควรที่จะให้ข้อมูลของตัวเองแก่คนอื่นนะพี่สาวเป็นห่วง]

มันดูเหมือนว่ามัสติฟอร์ดจะชอบเด็กสาวที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่เดี๋ยวก่อนนะ เธอก็เปิดเผยว่าเธอมาจากดันเจี้ยนที่สองเช่นกัน ทำไมคุณไม่กังกลเกี่ยวกับตัวล่ะ?

มินามิได้หัวเราะและตอบออกมา

[พวกเราไม่ใช่พวกเดียวกันหรอ? หนูไม่คิดว่าพวกเราจำเป็นจะต้องซ่อนตัวกันนะ]

เธอคน เธอจะบอกให้ฉันและพ่ออกมาใช่มั้ย? เธอเลเวล 18! พ่ออ่อนแอต่อสิ่งเหล่านี้!

[เธอพูดถูกแล้วสาวน้อย ขอโทษนะสำหรับการฟังเงียบๆ ฉันแค่อย่าจะฟังเสียงที่สวยงามสักหน่อยนะ]

ตามที่คาดไว้ พ่อได้ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับเรื่องที่ไร้สาระ เสียงที่สุดงามกับก้นฉันสิ เพลงคลาสสิกมันทำให้พ่อหลับไปในเวลาไม่ถึง 5 วินาทีนะ

[ถ้างั้นก็เหลืออีกแค่คนเดียว อย่าบอกนะว่านายจะเงียบอยู่ต่อไป?]

มันเป็นเสียงลึกของผู้ชาย ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นฉันก็ตัดสินใจ ฉันได้เอามือซ้ายมาบนปาก และพูดออกไป

[ฉันไม่ต้องการที่จะตัดบทสนทนาของพวกนาย องค์กรของนักสำรวจดันเจี้ยนมันฟังดูน่าสนใจและมีประสิทธิภาพ แต่ว่าฉันไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากพวกผู้พิทักษ์หรือพวกปีกแห่งเสรีเลย]

[มันจะแตกต่างกัน! นักสำรวจดันเจี้ยนจะต่างออกไป เป้าหมายขององค์กรของพวกเราคือการค้นหาเหตุผลว่าทำไมมอนสเตอร์ถึงเกิดขึ้นและแก้ปัญหานี้]

[คุณมัสติฟอร์ด ทุกๆองค์กรเริ่มต้นด้วยเหตุผลอันชอบธรรมพวกผู้พิทักษ์ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งและดูผลที่ออกมาสิ]

[ดื้อด้านอะไรแบบนี้]

มันดูเหมือนมัสติฟอร์ดจะไม่มีความสุขกับคำพูดของฉัน คำใบ้ก็คือน้ำเสียงของเธอที่มีความโกรธเจือปนมา ฉันสามารถจะรู้สึกถึงถึงมันได้ในหูของฉัน

[ด้วยความสัตย์จริง ฉันค่อนข้างที่จะสนใจในองค์กรที่เธอกำลังวางแผนที่จะทำและเป้าหมายของมัน ฉันยอมรับว่าถ้าพวกเราไม่ได้จัดกับกับวิกฤตมอนสเตอร์นี้โลกของเราก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายเหมือนกับในโลกอื่นๆ]

[ถ้างั้นทำไมก่อนหน้านี้นายถึงพูดแบบนั้น?]

[ฉันจะบอกตามตรง ฉันอ่อนแอกว่าเธอ แต่ว่าฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะคลานไปมาใต้หว่างขาของใคร ดังนั้นเราจะสามารถคุยกันได้อีกครั้งเมื่อฉันแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเธอ ฉันจะมีส่วนร่วมกับองค์กรได้อย่างมีความสุขก็ต่อเมื่อฉันได้เป็นบอสของที่นั้น ฉันไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับการที่องค์กรจะสูญเสียเป้าหมายที่มันมีอยู่ไป]

[หึ]

[นี้แหละลูกผู้ชาย! แต่ว่าฉันก็จะเป็นคนที่จะเป็นบอส ดังนั้น...อะแฮ่ม ไอหนุ่ม!]

ชายเสียงลึกได้เปล่งเสียงหึออกมาในขณะที่พ่อของฉันได้แสดงความเห็นออกมาแบบเด็กๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาก็เกือยจะเปิดเผยว่าเราเป็นพ่อลูกกัน จากนั้นมัสติฟอร์ดก็ตอบกลับมา

[หึ นายน่ะหรอ? นายต้องการที่จะแกร่งกว่าฉัน? คนที่มีระดับทองในดันเจี้ยนที่ 2? ผู้ใช้พลังระดับ SS?"

[อืม นี่คือสิ่งแรกที่เธอพูด ถ้าเธอเป็นห่วงเรื่องโลกจริงๆ นี่มันจะไม่ใช่เรื่องแรกในใจของเธอ มันไม่สำคัญว่าใครจะเป็นหัวหน้าองค์กรถูกมั๊ย?]

แน่นอนว่า ฉันรู้ฉันได้เลือกหยิบเอาคำพูดบ่งส่วนของเธอ ฉันได้ขุดลึกลงไปในจิตใจเธอและทำให้เธอเสียความคิด มัสติฟอร์ดได้สูญเสียความคิดไปอย่างสมบูรณ์

[แต่มันเห็นได้ชัดว่าฉันจะกลายเป็นหัวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุด! นายไม่ใช่คนที่คิดมากเกินไปงั้นหรอ? นายจะก้าวข้ามฉันไปได้ยังไงล่ะ? นอกจากนี้ ฉันกำลังติดถึงอนาคตของพวกเรานักสำรวจดันเจี้ยนนะ]

[ไม่ ฉันเห็นด้วยกับเด็กหนุ่มนั้น มัสติฟอร์ด ฉันสามารถจะเห็นได้ชัดว่าว่าองค์กรของเธอมันจะดำเนินการไปยังไงในขณะที่เธอควบคุม โชคดีนะ ฉันไม่เอาด้วย]

[อืม ฉันยังอ่อนแอกว่าแอกว่าสาวน้อยคนนั้นอีกด้วย ฉันยังไม่ต้องการที่จะทำงานภายใต้คนอื่น ขอให้โชคดีนะ]

คำพูดของฉันมันได้นำไปสู่ผลลัพธิ์นี้งั้นหรอ? ไม่ใช่ ไม่ว่ายังไงพ่ออาจจะไม่เข้าร่วม แต่ว่าเขาได้ออกไปด้วยกันกับชาวเสียงลึก การออกนี้มันได้ทำให้มัสดิฟอร์ดเหมือนกับคนโง่ ทำได้ดีมากพ่อ!

[อะ อะไรกัน? ฉันคิดว่าพี่สาวพูดถูกนะ เธอเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ และเธอก็ยังเป็นคนที่คิดไอเดียในการสร้างองค์กรขึ้นมานะ]

[มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกสาวน้อย มันเป็นเพียงแค่ว่ามัสติฟอร์ดไม่น่าเชื่อถือ]

เด็กสาวคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป เธอไม่รู้จักการสงสัยใคร แน่นอนว่าฉันไม่ได้ไร้เดียงสาแบบนั้นที่จะตอบรับใครก็ไม่รู้ที่มาชวนฉันเข้าองค์กร

[ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมินามิ แต่ฉันเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นฉันจะไม่ทำงานภายใต้คนอื่นๆแบบเธอ]

ในความจริงฉันก็ไม่คิดว่ามัสติฟอร์ดจะมีเจตนาที่ไม่ดี เธอได้แสดงให้เห็นอย่างรวดเร็วว่าเธอชอบมินามิและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเธอเองทั้งทีเธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เธออาจจะเป็นคนเลือดร้อนและซื่อตรงเหมือนกับพลังของเธอก็ได้

อย่างไรก็ตามเธอมีความถือตัวเองและต้องการที่จะอยู่เหนือคนอื่นๆ ฉันไม่มีแผนที่จะทำงานภายใต้คนแบบนั้น แม้ว่ามันจะมีบางอย่างที่จะได้รับ แต่นั่นมันก็จะทำให้ปวดหัวมากกว่าสบายใจ

[นายกำลังจะบอกว่านายจะละเลยวิกฤตของโลกเพียงเพราะแค่ความภาคภูมิใจของตัวนายเอง]

[วิกฤตของโลกที่เธอพูดถึงน่ะ ถ้างั้นฉันจะขอถามเธอหน่อยนะ คุณมินามิและพวกเราจะทำงานร่วมกันยังไง? พวกเราจะสามารถทำงานร่วมกันได้ยังไงเมื่อพวกเราอยู่ห่างกัน?]

[นะ นั่น...แต่การอยู่ด้วยกันมันจะทำให้ดีขึ้น...!]

[ฉันคิดว่าฉันพูดจบแล้วนะ คุณมัสติฟอร์ด ฉันคิดว่าเธอก็พูดจบแล้วเช่นกัน?]

[ฮึ่ม! ฉันจะไม่ยอมรับคนที่ใจแคบแบบนาย! สุมิเระพวกเราไปคุยกันแค่สองคนเถอะ!]

[คะ ค่ะ พี่สาว....]

ผู้หญิงเป็นสิ่งที่ลึกลับอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถพูดคุยกันจนสนิทได้เพียงแค่ในไม่กี่นาที ขณะที่ผมกำลังจะตะโกนว่า 'ปิดช่องทาง' ก็ได้มีเสียงลึกของผู้ชายตัดเข้ามา

[ฉันเอ็ดเวิร์ด วอร์คเกอร์ เป็นคนอังกฤษ อายุ 26 ปี เจ้าหนุ่ม บางทีฉันอาจจะรู้จักชื่อของนาย?]

[ชาวอังกฤษ? นายบอกว่าเป็นชาวอังกฤษ! ถ้านั้นนายสามารรถจะคุยกับฉันได้ยังไง?]

สองในห้าของนักสำรวจเป็นชาวอังกฤษ จาก 7 ผู้ใช้พลังระดับ SS มีผู้ใช้พลังอีกคนหนึ่งที่นอกเหนือไปจากมัสติฟอร์ด

มันไม่เหมือนกับที่สหราชอาณาจักรที่มาก ดังนั้นแล้วมันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? เอาล่ะ มันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก อย่างที่พูดมันดูเหมือนว่าสหราชอาณาจักรจะมีอำนาจกว่าประเทศอื่นๆ มันน่าแค้นใจ แม้ว่าฉันจะไม่ใช่คนที่รักชาติมากนัก แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับประเทศใดประเทศหนึ่งที่จะมีผู้ใช้พลังที่มีประสิทธิภาพมากมาย

ไม่สิ ด้วยฉันกับพ่อ เกาหลีจะเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!

หลังจากที่ได้ยินคำแนะนำตัวของเอ็ดเวิร์ด วอร์คเกอร์ ฉันก็คิดว่าฉันควรจะเปิดเผยชื่อฉันออกไปดีมั๊ย จากนั้นฉันก็ตัดสินใจ

[ฉันยวน ฮวาวู ฉันเป็นคนเกาหลีอายุ 23 ปี]

ฉันโกหก

[นะ นายเป็นคนเกาหลี!? ฉันควรจะรู้ได้จากการพูดจาที่ฉุนเฉียวนั่น! นายทำอะไรเกี่ยวกับรัฐบาลและสื่อของนาย! พวกเขาได้เรียกร้องให้ฉันเป็นผู้ใช้พลังของเกาหลี! ฉันเป็นชาวอังกฤษนะ ขุนนางของชาวอังกฤษที่มีความภาคภูมิใจ!]

[อา ขุนนางในวันนี้และอายุ...โทษทีนะมัสติฟอร์ด แต่ฉันไม่ได้รู้ว่าเธอเป็นลูกครึ่งมาก่อนจนถึงวันนี้ นอกจากนี้ฉันก็ไม่สามารถจะให้การยอมรับได้แม้ว่าเธอจะมาจากเกาหลี อังกฟษ หรือแอตแลนติก]

[แอตแลนติก]

[ลาก่อนฉันจะไม่จดจำเธอ]

[อ๊ากกกกก!]

[อืม ยวน ฮวาวู ฉันจะจำชื่อนี้ไว้ มันดูเหมือนว่านายจะมีค่าที่จะจับตามอง]

[ตามสบาย]

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงปิดช่องทางการสื่อสารไป ฉันได้รับข้อความจากพ่อทันทีหลังจากนั้น

[เมื่อไหร่ที่แกมีลิ้นที่คมคายแบบนั้นไอลูกชาย?]

นั่นมันไม่ใช่ธุระอะไรของพ่อ! เอาล่ะ บางทีมันอาจจะเป็น

"นายจะต้องเครียดมากจากการสอบทั้งหมดที่กำลังจะมาแน่ๆเลย นายต้องการจะให้ฉันพานายไปหาหมอปะ?"

"เธอมันคิดแต่กับธุระของเธอเถอะ เธอมันปีศาจมันฝรั่ง"

ทำไมถึงไม่มีคนที่ปกติอยู่รอบๆตัวฉันเลย!?

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด