ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0461 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0463 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0462 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 462 : คำสาปที่พังทลาย

ในเมื่อเซี่ยอู๋เฟิงมายังนครโบราณยุทธ์เต๋าเพื่อเข้าร่วมงานท้าประลองจ้าวสังเวียน ชัดเจนว่าเขามีเป้าหมายเพื่อเข้าสวนโบราณ

ฉินหยุนกระซิบเบา “หากพี่ใหญ่เซี่ยอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่สามแล้ว ด้วยกำลังของเขา การได้เป็นจ้าวสังเวียนไม่ใช่เรื่องยาก!”

“แน่นอน เขาย่อมต้องชนะ!” มู่หรงต้าเหรินยิ้มตอบ

เมื่อเริ่มการต่อสู้ ผู้เข้าร่วมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธ อาวุธดังกล่าว หมายความถึงวัตถุกายภาพที่ขัดเกลาสร้างขึ้นมา

หากเป็นผู้ฝึกตนดาบอย่างเซี่ยอู๋เฟิงที่ฝนฝนดาบต้นกำเนิด เขาย่อมสามารถใช้ดาบต้นกำเนิดในการแข่งขันได้

เช่นนี้มันจะสร้างประโยชน์ในการประลองยุทธ์แก่เซี่ยอู๋เฟิง และทำให้เขาเป็นฝ่ายมีเปรียบตั้งแต่เริ่ม

พอฉินหยุนและคณะพบเห็นเซี่ยอู๋เฟิงเดินลงจากเวที พวกเขาเร่งรีบบุกฝ่าฝูงชนเข้าไป

เซี่ยอู๋เฟิงก็ยังเป็นเช่นเดิม สวมใส่ชุดขาวเรียบง่าย ใบหน้าหล่อเหลานั้นแทบไม่เผยสีหน้าออก แขนเสื้อข้างหนึ่งพบเห็นเด่นชัดว่าว่างเปล่า และแม้เขาสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง มันก็หาได้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งไม่

เซี่ยอู๋เฟิงพอได้เห็นฉินหยุนและมู่หรงต้าเหริน เขาจึงยิ้มบางกล่าวคำ “ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา!”

ความจริงแล้ว เมื่อครู่เขาได้ยินว่าฉินหยุนมีข้อพิพาทกับจ้าวจิงอวี้ ดังนั้นเมื่อขึ้นเวที เขาจึงมองหาพวกฉินหยุนไปด้วย

ตอนฉินหยุนขึ้นไปจ่ายเหรียญม่วงก่อนหน้านี้เขาก็พบเห็น ทว่าไม่มั่นใจนักเพราะเป็นร่างทางด้านหลังซึ่งอยู่ไกลออกไป อย่างไรแล้ว เขาก็ไม่ได้พบฉินหยุนมาเป็นเวลานาน

“พี่ใหญ่เซี่ยเลื่อนระดับเร็วนัก ท่านถึงกับอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่สามแล้ว!” มู่หรงต้าเหรินกล่าวอย่างอิจฉา

“เพราะโชคน่ะ!” เซี่ยอู๋เฟิงยิ้ม ขณะนี้หันมองทางฉินหยุน เขาเอ่ยถาม “น้องหยหุน ยังคิดเสนอราคาต่อหรือไม่?”

ฉินหยุนยิ้มตอบ “เป้าหมายข้าคือจ้าวจิงอวี้ หวังว่าเจ้านั่นจะปกป้องสังเวียนตัวเองสำเร็จ ข้าจะได้มีโอกาสจัดการมันภายหน้า!”

เซี่ยอู๋เฟิงหัวเราะ “ยังคงเป็นเช่นเดิม ดูเหมือนว่าคนที่ตกเป็นเป้าหมายเจ้าจะมีชะตาไม่ดีนัก!”

เซี่ยอู๋เฟิงไม่เคยสงสัยในพละกำลังของฉินหยุน

ข่าวลือว่าฉินหยุนต้องติดอยู่ที่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่สองไปตลอดกาล เขาจะไม่มีทางทำลายคำสาปวิญญาณยุทธ์สีดำ ทว่าเซี่ยอู๋เฟิงเลือกที่จะเชื่อ ว่าเขาไม่ควรเอาเหตุผลที่คนทั่วไปพบเจอมาตัดสินฉินหยุน

ขณะพวกเขาคิดออกไป ฉับพลันนี้จึงได้ยินเสียงผู้อาวุโสด้านบนเวทีประกาศดัง “สองร้อยเจ็ดสิบล้านเหรียญม่วง เชี่ยวเย่ว์หลานได้สิทธิ์การท้าประลองสังเวียนที่ห้า!”

มู่หรงต้าเหรินขณะนี้แตกตื่น หันควับมองไปยังทิศทางต้นเสียง

ได้ยินชื่ออันคุ้นเคย หงเหยียนมองตามและเอ่ยถาม “เป็นนางแม่มดเชี่ยวเย่ว์เหม่ยนั่นหรือ?”

“ย่อมไม่ใช่ แต่เป็นหญิงสาวที่น่าสะพรึงกว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยนัก!” เซี่ยอู๋เฟิงยิ้มพลางมองทางฉินหยุน เขากล่าวต่อ “ผู้ฝึกตนสังเวียนที่ห้าแข็งแกร่งกว่าสังเวียนที่หกและเจ็ด นางถึงขั้นกล้าท้าทายคนเหล่านั้น!”

ไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าของนาง กระนั้นล้วนบอกกล่าวได้ว่านางเป็นหญิงสาว นอกจากนี้ นางยังเป็นศิษย์ของหุบเขาลึกล้ำจันทรา เป็นหนึ่งในเจ็ดโฉมงามจันทรา!

หงเหยียนมองทางฉินหยุนและคณะ อดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “รู้จักผู้หญิงคนนั้นหรือ?”

มู่หรงต้าเหรินและเซี่ยอู๋เฟิงต่างมองกันเองพลางยิ้ม

“ไก่ตาแดงเอ๋ย หากเจ้าพบเจอหญิงสาวผู้นั้น อยู่ให้ห่างจากนาง! น้องหยุนยังไหวหรือไม่? อย่างไรแล้วภายหน้าเจ้าได้ถูกนางกลืนกินอย่างแน่นอน อย่าได้คิดอื่นใดให้มากความแล้ว!” มู่หรงต้าเหรินหัวเราะดัง

เซี่ยอู๋เฟิงกล่าวออก “น้องหยุน คิดเข้าไปทักทายนางหรือไม่?”

“พวกเราต่างคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ย่อมไม่เข้าไป!” ฉินหยุนมองเชี่ยวเย่ว์หลานอยู่ไกลออกไป เขาไม่อาจสัมผัสได้ว่านางฝึกฝนถึงระดับใดแล้ว

เขามั่นใจ ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานครอบครองวิญญาณยุทธ์สีดำ มันทำให้เขาสงสัย ว่านางจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่สามได้หรือยัง

เมื่อเชี่ยวเย่ว์หลานหันกลับมา นางเองก็พบเห็นฉินหยุน ดวงตาสุกสว่างนั้นเปี่ยมด้วยความยินดีราวกับเป็นการทักทาย

ฉินหยุนพอได้เห็นสายตาของเชี่ยวเย่ว์หลาน เขาถึงกับอ้ำอึ้งเล็กน้อย

รอยยิ้ม นี่คือสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากภายในใจของเชี่ยวเย่ว์หลาน เพราะตั้งแต่ที่แยกจากกันมานาน ในที่สุดพวกเขาค่อยได้พบกันอีกครั้งก็วันนี้***

“ไปดื่มกันดีกว่า ให้ข้าเลี้ยงเอง!” มู่หรงต้าเหรินขณะนี้อารมณ์ดียิ่ง ครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้ตนจะได้รับเงินมากมายเพียงใด

ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในการท้าประลอง จะสามารถท้าประลองจ้าวสังเวียนได้ภายในห้าวัน แน่นอนว่าหากเจรจากับจ้าวสังเวียนและเห็นพ้องต้องกัน ย่อมสามารถเลื่อนการท้าประลองก่อนกำหนดห้าวันได้

เซี่ยอู๋เฟิงเป็นผู้ฝึกตนดาบ ดังนั้นในสำนักดาบสวรรค์ เขาจึงได้รับการคาดหวังเอาไว้สูง ทำให้สามารถได้รับทรัพยากรการฝึกฝนปริมาณมหาศาลได้

“หากข้าต้องการทรัพยากร ก็มีแต่ต้องหามาด้วยตนเอง!”

“เป็ดมู่หรง ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่สู้แข็งขันเพื่อตนเองกัน ในสำนักมีการแข่งขันดุเดือดมากมาย เป็นเจ้าที่ไม่เข้าร่วมเลยสักครั้ง เพียงแต่เอาเวลาที่มีมาเอ้อระเหยอยู่ภายนอก!” หงเหยียนกระตุกริมฝีปากขณะพูดกล่าวออกมา เขามาจากสำนักเดียวกับมู่หรงต้าเหริน

“นี่ถือเป็นความผิดเจ้าแล้วไก่ตาแดง เจ้าพาข้าเที่ยวเตร่ไปเรื่อยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เจ้านั้นเป็นองค์ชาย กลับล่อลวงคนเช่นข้าให้หลงผิดตาม!” มู่หรงต้าเหรินเผยน้ำเสียงไม่ยินดี

“เป็นเจ้าเลือกออกมากับข้าเพราะเห็นข้าครอบครองเหรียญม่วงมากมาย และเช่นกัน เพราะเจ้าทำให้ข้าต้องสูญเสียเหรียญม่วงไปมหาศาล!” หงเหยียนขณะนี้กลายเป็นมีโทสะ

เซี่ยอู๋เฟิงและฉินหยุนล้วนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้กันออกมา

พวกเขาร่วมดื่มกินในห้องส่วนตัว ดังนั้นจึงกล้าส่งเสียงอึกทึกเช่นนี้

มู่หรงต้าเหรินและหงเหยียน เถียงกันไปแข่งดื่มกันไป จนกระทั่งสิ้นฤทธิ์เพราะเมามาย

ชั่วขณะนี้เอง มีบุคคลด้านนอกเคาะประตูห้อง

สองคนที่เข้ามาเป็นหญิงสาวสวมหน้ากาก หนึ่งชุดดำ หนึ่งชุดขาว

หงเหยียนและมู่หรงต้าเหรินถึงกับหยุดชะงักยามได้เห็นสองหญิงสาว

หนึ่งเปรียบดั่งต้นไม้ตระหง่าน สีหน้าเย็นเยือกและอหังการ เป็นความงามไร้ผู้ใดเทียบ อีกหนึ่งเป็นรอยยิ้มอ่อนจางเปรียบดั่งบุปผาบานสะพรั่งในโลกที่หนาวเหน็บ

ดวงตาของนางเต็มด้วยความอ่อนโยนขณะมองที่ฉินหยุน นางแค่นเสียงเบาพลางกล่าว “เจ้ามาดื่มกินกันแต่กลับไม่ชวนข้า!”

นางนั่งลงเก้าอี้อย่างไม่รอให้ผู้ใดเชื้อเชิญ

ทางด้านหญิงสาวอีกคนหนึ่ง นางขณะนี้ถอดหน้ากากออก เป็นโฉมงามล่มเมืองอีกคนหนึ่ง ด้วยใบหน้ารูปไข่เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ รอยยิ้มอ่อนจางพร้อมลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง มันยิ่งขับเน้นให้นางสง่างามและสุกสว่างจนทำให้ผู้คนลุ่มหลง

หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่หยางฉีเย่ว์ ฉินหยุนยืนยันตัวตนได้หลังนางถอดหน้ากาก

“ฉินหยุน พี่สาวผู้นี้งดงามหรือไม่?” เชี่ยวเย่ว์หลานมองทางฉินหยุนพร้อมยิ้มถาม

ฉินหยุนพยักหน้ารับและยิ้มตอบ “งดงาม! นี่เป็นหนึ่งในเจ็ดโฉมงามจันทราหรือ?”

อีกทางหนึ่ง มู่หรงต้าเหรินไม่กล้ามองที่นาง เป็นเขาทราบ ว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่อาจยั่วยุด้วยได้

ฉินหยุนขณะนี้ขมวดคิ้ว “ออร่าของพี่สาวท่านนี้คล้ายจะเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ!”

เซี่ยอู๋เฟิงกล่าวต่อคำ “เป็นออร่าของขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ กระนั้น กลับสะกดระดับการฝึกฝนเอาไว้ กลายเป็นขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้าเพื่อเข้าเมืองแห่งนี้!”

เชี่ยวเย่ว์หลานหัวเราะ “ไม่นึกว่ามองออกรวดเร็วเพียงนี้! นางเป็นศิษย์จากตำหนักจันทราทมิฬของแดนวิญญาณอ้างว้าง นามว่าไค่เซียงจิ้ง!”

แท้จริงแล้วเป็นศิษย์ของแดนวิญญาณอ้างว้าง ฉินหยุนและคณะเผยความตระหนก สำหรับพวกเขา แดนวิญญาณอ้างว้างทั้งลึกลับและแกร่งกล้า ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความลี้ลับ

“เย่ว์หลาน พานางมาที่นี่ทำไมกันหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“นางต้องการให้เจ้าช่วยขัดเกลายันต์ไล่ล่าอสูร!” เชี่ยวเย่ว์หลานเอ่ยถาม “สะดวกขัดเกลาตอนนี้เลยหรือไม่?”

ฉินหยุนนำเอายันต์ไล่ล่าอสูรออกมา ส่งต่อออกไป เขายิ้มกล่าว “ข้ามีอยู่แล้ว!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ ไค่เซียงจิ้งเผยสีหน้าแปลกใจระคนยินดี รับเอายันต์ไล่ล่าอสูรไว้ในมือพร้อมกล่าวถาม “นี่คิดค่าใช้จ่ายกี่เหรียญม่วง?”

“อืม... เหรียญม่วงออกจะธรรมดาเกินไป เหตุใดท่านไม่มอบของพิเศษจากแดนวิญญาณอ้างว้างแทนเล่า!” ฉินหยุนไม่ได้ขาดแคลนเหรียญม่วง ที่เขาขาดแคลนคือสิ่งที่เหรียญม่วงไม่อาจซื้อหา

ไค่เซียงจิ้งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนำเอากระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง “สิ่งนี้คืออักขระดวงดาว ข้าได้รับมาโดยบังเอิญ และข้าก็ไม่ทราบวิธีใช้งานด้วย! เป็นข้าอยากทราบด้วย ว่านี่คืออักขระดวงดาวชนิดใด!”

ฉินหยุนรับมาชื่นชม จากนั้นจึงเก็บไปรวดเร็ว แม้เขาไม่ทราบว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร แต่ต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน

ยันต์เพียงหนึ่งแผ่นสำหรับอักขระดวงดาวที่ลึกลับ นี่นับเป็นผลกำไรชิ้นใหญ่

“พวกเจ้าดื่มกินกันต่อ พวกเราไม่คิดรบกวนแล้ว!” กล่าวคำจบ นางจึงใส่หน้ากากและจากไปพร้อมไค่เซียงจิ้ง

แม้ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์หลานไม่ได้สนทนากันมาก พวกเขาต่างเข้าใจเรื่องราวของกันและกันดี พวกเขาต่างก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่สาม หมายความว่าทั้งสองทำลายคำสาปวิญญาณยุทธ์สีดำได้!

เพราะมีผู้คนอยู่มากเกินไป ทั้งสองจึงไม่คิดสอบถามเรื่องอีกฝ่ายในขณะนี้

ฉินหยุนไม่ทราบว่าหยางฉีเย่ว์อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ หากนางอยู่ ย่อมต้องคิดท้าประลองจ้าวสังเวียนสักคนหนึ่งอย่างแน่นอน

ดื่มกินกันจนพอใจ พวกเขาค่อยกลับโรงเตี๊ยม

เช้าวันถัดมา พวกเขาค่อยเร่งรีบไปยังลานกว้างตรงหน้าตำหนักจารึกเทวะ

เมื่อวานฉินหยุนสูญเสียเหรียญม่วงไปมาก ดังนั้นจึงคิดต้องให้ตำหนักจารึกเทวะต้องหลั่งเลือดบ้าง

หลายคนขณะนี้ต่างคาดเดาผลของการเล่นพนันวันนี้ แต่สิ่งที่ทำพวกเขาประหลาดใจที่สุด ก็คือจ้าวสังเวียนวัยเยาว์จากแดนวิญญาณอ้างว้างก็อยู่ที่นี่ด้วย

พวกเขาล้วนเชื่อ ว่าพวกตนเองต้องป้องกันสังเวียนเอาไว้ได้สำเร็จ เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะได้รับเหรียญม่วง ดังนั้นคิดใช้จ่ายเล่นหาความสนุกตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลว

ขณะเดินทางมา ฉินหยุนเลือกสวมใส่หน้ากาก เขาเพียงให้มู่หรงต้าเหรินกับหงเหยียนออกไปวางเดิมพันให้

“จ้าวจิงอวี้ก็มา ชายคนนี้วางมาดยิ่งนัก เหมือนคิดว่าชนะแล้วอย่างไรอย่างนั้น!”

แน่นอนว่า ในเมื่อเป็นจ้าวสังเวียนวัยเยาว์ ย่อมต้องมาวางเดิมพันแสดงพลังอำนาจ พวกเขาล้วนซื้อหากันอย่างน้อยก็สี่หรือห้าหมายเลข มูลค่ารวมการซื้อทั้งหมดเป็นเงินมากถึงสี่สิบล้านเหรียญม่วง

จ้าวสังเวียนทั้งหมดห้าสังเวียน ต่างมาที่นี่เล่นวางเงินเดิมพัน รวมเข้ากับศิษย์ผู้อื่นจากแดนวิญญาณอ้างว้าง และสำนักอื่น รวมถึงตระกูลชนชั้นสูง เงินวางเดิมพันรอบแรกขณะนี้พุ่งสูงถึงหกร้อยล้านเหรียญม่วงแทบในพริบตา

ฉินหยุนมองทางฝูงชน พบเห็นเชี่ยวเย่ว์หลานและไค่เซียงจิ้งที่สวมใส่หน้ากาก เขาเร่งรีบส่งเสียงสื่อสารบอกต่อพวกนาง “เย่ว์หลาน ซื้อไหหมายเลขหนึ่ง ซื้อสักคนละสิบล้านเหรียญม่วงได้เลย!”

ถัดจากนั้น เขาส่งเซี่ยอู๋เฟิงออกไปซื้อเช่นเดียวกัน เมื่อมู่หรงต้าเหรินและหงเหยียนได้ยินเสียงสื่อสารจากฉินหยุน พวกเขาเร่งรีบซื้อตามอย่างไม่สงสัยอันใด

หมายเลขหนึ่งขณะนี้มีผู้ซื้อน้อยนิด ดังนั้นจำนวนเงินเดิมพันของหมายเลขนี้จึงน้อย

มากสุดวางเงินได้แค่สิบล้าน หากต้องการชนะหกร้อยล้านในคราวเดียว ก็ต้องใช้ตัวแทนถึงหกคน!

เชี่ยวเย่ว์หลานคาดเดาได้นานแล้ว ว่าลูกพี่ลูกน้องของสื่อชิงเฉิงสมควรเป็นฉินหยุน

ดังนั้น นางจึงมาที่นี่แต่เช้าเพื่อรออีกฝ่าย อย่างไรแล้ว เมื่อคืนนางเพิ่งซื้อสิทธิ์การท้าประลอง ทำให้ต้องจ่ายออกไปมากถึงสามร้อยล้านเหรียญม่วง

ช่วงเวลาวางเดิมพันหมดลงแล้ว ขณะนี้ค่ายอาคมใหญ่ภายในตำหนักจารึกเทวะทำงาน เมื่อทำงานอยู่ชั่วครู่ มันค่อยหยุดลง และเผยผลลัพธ์ของรอบแรกออกให้เป็นที่ประจักษ์!

หุ่นเชิดนกบินออกจากไหหมายเลขหนึ่ง!

ทั้งมู่หรงต้าเหรินและหงเหยียน ล้วนเผยความยินดีจากใจแสดงออก พร้อมเข้าไปรับเงินรางวัล

เชี่ยวเย่ว์หลานและไค่เซียงจิง ทั้งสองเร่งรีบเข้าไปรับหนึ่งร้อยล้านเหรียญม่วงเช่นกัน เงินเช่นนี้ออกจะได้มาง่ายดายเกินไปแล้ว

คนสุดท้ายที่เข้าไปรับคือฉินหยุน ขณะเดินกลับออกมา จ้าวจิงอวี้คล้ายจดจำเขาได้

“ฉินหยุน เจ้าทำลายหุ่นเชิดสัตว์ของข้า! หุ่นเชิดสัตว์ตัวนั้นมูลค่านับพันล้านเหรียญม่วง จงรีบชดใช้ค่าเสียหายแก่ข้า!” จ้าวจิงอวี้ขณะนี้ตะโกนกราดเกรี้ยวเสียงดัง

ฉินหยุนถอดหน้ากากออก รอยยิ้มอ่อนจางปรากฏอย่างไม่ยี่หระ “เจ้ามีหลักฐานหรือว่าข้าทำลายมัน? เมื่อวานกลับเป็นผู้คนมากมายได้เห็น ว่าเจ้าทำลายผลไม้วิญญาณของข้า ดังนั้นจึงเป็นเจ้าที่ติดหนี้สองหมื่นเหรียญม่วงต่อข้า!”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด