ตอนที่แล้วGE341 ส่งลู่หวู่ [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE343 สตรีตระกูลเป่ย กล่าวถึงคนเดียวกัน [ฟรี]

GE342 คืนสู่ทะเลส่วนนอก [ฟรี]


ตัวอักษรที่ปรากฏบนตำราค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ กระดาษแผ่นนั้น กลับคืนสู่กระดาษใบขาวอีกครั้ง

หนิงฝานยังคงจมอยู่กับอักษรที่ปรากฏเมื่อครู่ ปากกล่าวพึมพัม

“คนตายก็เหมือนตะเกียงที่มอดดับ… พลังแห่งชีวิตคือเปลวเพลิงที่จุดตะเกียงขึ้นใหม่… ข้าไม่เข้าใจ”

บางทีประโยคนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เทพเซียนสื่อเซ่าเข้าใจในพลังแห่งชีวิต

แต่เหตุที่หนิงฝานไม่เข้าใจ บางทีอาจเป็นเพราะเขายังไม่แข็งแกร่งพอ

ดูราวกับหนิงฝานยืนอยู่ชายฝั่งมหาสมุทร เบื้องหน้ามีเกาะแห่งหนึ่งที่ปกคลุมด้วยหมอก แม้จะเห็นเป็นเกาะ แต่ไม่อาจมองเห็นภายในได้ชัด

เก็บตำราเข้ากระเป๋า สงบใจ จ้องมองโถงหลักขนาดยักษ์ที่ว่างเปล่าพลางถอนหายใจ ยามนี้ หนิงฝานได้เติมเต็มคำสัญญาให้ลุล่วงแล้ว

“ผู้อาวุโสลู่ตู้เฉิน ข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านลุล่วงแล้ว!”

ดูราวกับสิ่งที่หนิงฝานคิด จะสื่อเข้าไปถึงจิตใจของลู่ตู้เฉิน ยามนี้ ชายชราที่อยู่ในแดนสองเหม่อมองท้องนภาอันไพศาล หยาดน้ำตาไหลริน

“ท่านผู้นำ เหตุใดท่านหลั่งน้ำตา!” นายกองอสูรที่อยู่ใกล้ๆถามขึ้น

“ข้าคิดถึงคนผู้หนึ่ง… เจ้ากลับไปก่อนเถอะ...”

ทันทีที่ชายชรากล่าวจบ พลังที่ลู่หวู่เคยมอบให้ที่ดวงตาซ้ายได้หายไป แม้ก่อนหน้าชายชราจะใช้มันไปเมื่อยามที่ต่อสู้กับหมาป่าโลหิต แต่เมื่อได้โอสถผันแปรที่ 6 จากหนิงฝานมา พลังก็ฟื้นฟูกลับคืนเก่า

แต่ถึงจะเสียพลังนี้ไป ชายชรากลับไม่เสียใจ กลับกัน ชายชรามีความสุขเสียมากกว่า เพราะการที่พลังหายไปนั้น แสดงว่าลู่หวู่หลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว

น้ำตาไหลรินเป็นสาย ทั้งเศร้าโศก ทั้งดีใจปะปน

หนิงฝานเติมเต็มคำสัญญาที่ให้ไว้ได้สำเร็จ

“ลู่เป่ย… ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยนายท่านลู่”

สายลมพัดพา ชายชราเช็ดน้ำตาที่ไหลริน พลางก้มศีรษะคำนับ 2 ครั้ง

ครั้งแรกเพื่อความเมตตาที่ลู่หวู่ได้มอบให้… ครั้งที่สองเพื่อคำนับหนิงฝานที่เติมเต็มคำสัญญาจนสำเร็จ...

หลังจากที่ยืนสงบใจและหวนนึกถึงสิ่งต่างอยู่นาน หนิงฝานก็เดินออกมานอกวัง

แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าพ้นวัง เสียงร้องแห่งความโศกเศร้าดังขึ้น เหล่าสตรีที่เฝ้ารอต่างกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายกับหนิงฝาน เพราะนี่ก็ 100 วันแล้วที่เขาไม่ยอมออกมา

แต่เมื่อเห็นหนิงฝานกลับออกมาอย่างปลอดภัย พวกนางก็คลายกังวล ซีหลานที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังของหนิงฝาน อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“พี่ลู่เป่ย กลิ่นอายของท่านทรงพลังมาก ตอนนี้ท่านอยู่ขอบเขตไหน บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงหรือยัง?”

ซีหลานอยู่ในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง กลิ่นอายที่นางสัมผัสได้จากหนิงฝาน ไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลยแม้แต่น้อย นางจึงประหลาดใจ

“ยังหรอก… ข้ายังอยู่ขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง แต่ข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก...”

แต่คำกล่าวของหนิงฝานกลับทำให้พวกนางเงียบ พวกนางราวกับนึกได้ถึงบางสิ่ง ซีหลานหุบยิ้ม วู่หยานเบือนหน้าหนี เป่ยเหยาขบริมฝีปาก บรรยากาศอึมครึมลงมาก

“ข้าต้องไปจากที่นี่แล้ว...” หนิงฝานกล่าวอย่างสงบ แม้พวกนางจะรู้ แต่พวกนางก็อดเสียใจไม่ได้

มีพบย่อมมีจาก ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองต้องทำ หนิงฝานต้องยกระดับพลังให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องครอบครัวของตน เป่ยเหยาต้องกลับแดนสวรรค์เหนือ วู่หลานและซีหลานต้องกลับวังราชาอสูร

วังดาราแห่งนี้อันตราย ทั้งหมดข้ามผ่านชีวิตและความตายร่วมกันหลายหน เหตุการณ์เหล่านั้นพวกนางจะไม่มีวันลืม

วู่หยานยืนนิ่ง แต่ไม่อาจเก็บซ่อนความเศร้าในแววตา นางหวนนึกถึงวันที่ถูกม่านฉานตามล่า หากหนิงฝานไม่ปรากฏตัวยามนั้น นางคงตายไปแล้ว

อีกสิ่งที่หนิงฝานทำให้ คือการช่วยนางให้พ้นจากการจองจำหมื่นปี ทั้งยังทำให้สนมอสูรจื่อและผู้ติดตามกลายเป็นกระถางขัดเกลา เรื่องนี้สลักลึกลงไปในใจนางยากจะลืม

ทำให้วู่หยานไม่อยากจากหนิงฝาน...

ซีหลานโศกเศร้า ปลายจมูกของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลริ นางช่วยให้หนิงฝานพลัง ช่วยให้เขาได้ครอบครองจิตวิญญาณสมุนไพร ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าการแยกจากเป็นเรื่องปกติ ไม่สมควรเป็นเรื่องที่ต้องโศกเศร้า แต่ยามนี้ นางกลับโศกเศร้าจนไม่อาจกลั้นน้ำตา นางอยากอยู่ข้างกายหนิงฝาน อยากอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง

นางหวนนึกถึงยามที่หนิงฝานกอดนาง พานางทำสงครามไปทั่วดาราสมุทร

ในระหว่างนั้น มีผู้ลอบจู่โจมนางด้วยพิษ แต่หนิงฝานกลับใช้ร่างกายตนเองขวางเอาไว้

ทั้งหมดนั้น ซีหลานจะไม่มีวันลืม...

เป่ยเหยาหลับตา แม้นางจะแข็งแกร่งสูงส่ง แต่สิ่งที่หนิงฝานทำให้ ทำให้นางอบอุ่นในหัวใจ

สำหรับนาง นางแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดปกป้อง แต่เมื่อยามที่นางอ่อนแอจนแทบเอาชีวิตไม่รอด หนิงฝานได้ยื่นมือเข้าช่วยโดยไม่สนใจอันตรายที่จะตามมา

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พึ่งพิงบุรุษ

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้นางไม่อาจบอกชื่อที่แท้จริงของนางกับหนิงฝานได้

นางไม่อยากแยกจากหนิงฝาน…

*เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ!*

เสียงบางอย่างดังขึ้น ซีหลานอุทานด้วยความตกใจ วู่หยานลนลานทำตัวไม่ถูก เป่ยเหยาขุ่นเคืองไม่พอใจ

พวกนางเร่งเอามือปิดก้นพลางหันมองที่ด้านหลัง เห็นหนิงฝานยืนยิ้มอย่างชั่วร้าย

หนิงฝานตีก้นพวกนาง!

“พี่ลู่เป่ย ท่านลวนลามข้า!” ซีหลานกำหมัดทำท่าจะต่อยหนิงฝาน

“เจ้าโจรน้อย!” วู่หยานหน้าแดงระเรื่อ นางเป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่เคยร่วมรักกับหนิงฝาน การที่ถูกเขาตีก้น จึงทำให้นางตื่นเต้นเล็กน้อย

“เจ้านี่มัน...” เป่ยเหยาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับหนิงฝาน

แต่การกระทำของหนิงฝานได้เปลี่ยนบรรยากาศที่อึมครึมเป็นอีกอารมณ์

“มือไวจริงๆนะเจ้าแตงกวาน้อย!” เยว่หลิงคงจ้องมองหนิงฝาน

ศพนางสวรรค์เอียงศีรษะด้วยความสงสัยพลางพึมพัม “ตี?” นางอยากจะถามว่าทำไมหนิงฝานถึงตีก้นพวกนาง

หนิงฝานยิ้มพลางส่ายหน้า เมื่อบรรยากาศระหว่างทั้งหมดดีขึ้น ก็สมควรแก่เวลาที่ต้องไป

“เหยาเอ๋อร์...” หนิงฝานจ้องมองเป่ยเหยา

นางกล่าวไม่ออกเมื่อถูกหนิงฝานเรียกเช่นนั้น แต่นางรู้ว่าหนิงฝานมักทำอะไรตามที่ตนเห็นสมควร เรื่องร่วมรักกับนางก็เช่นกัน

เหยาเอ๋อร์… เขาเรียกข้าว่าเหยาเอ๋อร์!

ก่อนหน้านี้เขาเรียกขานนางจามใจ แต่ยามนี้พลังของนางฟื้นฟู เขาก็ยังเรียกนางตามใจไม่เปลี่ยน...

ช่างเถอะ… หลังจากนี้ไปคงไม่ได้เจอกันอีก เขาคงไม่ได้เรียกข้าแบบนั้นอีก

“ข้ารับปากว่าจะมอบพลังดาราทมิฬให้ท่าน”

หนิงฝานหุบยิ้ม ยื่นมือไปเบื้องหน้า แสงดาราทมิฬทอประกาย ควบกลั่นเป็นก้อนผลึกสีดำแวววาวก้อนหนึ่ง

“แค่นี้พอหรือเปล่า?”

“เกินไป! นี่เจ้า… เจ้าบรรลุวิชาดาราทมิฬแล้วเหรอ!”

เป่ยเหยาตกตะลึง ผนึกสีดำที่อยู่ในมือหนิงฝาน อัดแน่นด้วยพลังดาราทมิฬถึงพันเกราะ

การที่หนิงฝานมีปราณดารามากขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาบรรลุวิชาดาราทมิฬแล้ว ความสำเร็จของหนิงฝานเป็นประโยชน์กับนางมาก

“ท่านจะเอาหรือเปล่า?” หนิงฝานแกล้งถามเป่ยเหยา

“เอาสิ...” นางเร่งหยิบเอาอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวหนิงฝานจะเปลี่ยนใจ

ระหว่างที่นางเอื้อมมือหยิบ หนิงฝานจงใจสัมผัสมือนางเบาๆ นางจ้องมองเขาและรู้สึกราวกับว่า หากอยู่กับเขาต่อ คงได้ร่วมรักกับเขาอีกแน่นอน

ผลึกดาราทมิฬนี้ มีพลังมากพอให้รักษาเป่ยเซี่ยวเหมิน ในฐานะที่นางเป็นมารดา นางย่อมดีใจ

“ขอบคุณ… ถ้าเจ้าได้ขึ้นไปยังแดนสวรรค์เหนือเมื่อไหร่ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน” นางกล่าวอย่างจริงจัง

“ตอบแทน?” ดวงตาหนิงฝานเป็นประกาย

“ไว้ถึงยามนั้นค่อยว่ากัน...” นางหลบสายตา แต่เมื่อนึกถึงบางสิ่ง นางจึงกล่าวถาม

“เจ้าจะฝึกวิชาแปลงหยินหยางต่อจริงๆเหรอ? ข้ามีวิชาเทพที่ดียิ่งกว่าให้เจ้า...”

“ถ้าตอบท่านไปหลายครั้งแล้วนะ” หนิงฝานส่ายหน้า

“ก็ใช่… เจ้าเป็นคนของโลกพิรุณ การที่เจ้าจะได้ขึ้นไปยังแดนสวรรค์นั้นมีเพียง 2 วิธี หนึ่งคือบรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยกขั้นสูงสุด แล้วข้ามมิติไปยังแดนสวรรค์เหนือ… อย่างที่สองคือเจ้าต้องได้รับตำแหน่งเป็นตัวแทนของสี่ขุมกำลังใหญ่ในแดนสวรรค์ วิธีนี้ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเจ้า และจะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้ามากกว่า”

“ท่านจะให้ข้าเป็นตัวแทนของวิหารสาบสูญงั้นเหรอ?” หนิงฝานขมวดคิ้ว

“ไม่...คือ ข้า… ข้ามีน้องสาวชื่อเป่ยเซี่ยวเหมิน นางอยู่ที่วิหารสาบสูญในทะเลไร้สิ้นสุด หากข้ากลับแดนสวรรค์เหนือ ข้าจะบอกนางว่าเจ้าชื่อลู่เป่ย หากเจ้าอยากไปแดนสวรรค์ นางจะช่วยเตรียมเส้นทางผ่านให้เจ้า”

“ข้าจะลองคิดดูอีกที” หนิงฝานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ ตัวเขาและเป่ยเซี่ยวเหมินมีความแค้นต่อกัน หากจะให้นางช่วยเตรียมทางผ่าน สงสัยนางคงจะทำลายเส้นทางและทิ้งเขาให้ตายในมิติแน่นอน

ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าไปพบเป่ยเซี่ยวเหมิน

หนิงฝานยังไม่อยากขึ้นไปแดนสวรรค์ยามนี้ อย่างน้อย เขาต้องสังหารเทพกษัตริย์เนี่ยก่อน จึงคิดอยากขึ้นไป

“อืม… บางทีหลังจากนี้เราคงไม่ได้พบกันอีก ข้าขอให้เจ้าแข็งแกร่งอย่างที่เจ้าต้องการ”

นางทำลายผนึกกลางหน้าผาก แรงกดดันเพิ่มพูนจนถึงขอบเขตหลีกหนีความจริง

น้องกำลังจะจากไป สำหรับนางและหนิงฝานแล้ว...คงเป็นได้เพียงสหาย เพราะยามที่นางเกิด...หนิงฝานยังไม่เกิด ยามที่หนิงฝานยิ่งใหญ่ทัดเทียมนาง...นางคงแก่ชราแล้ว

“พี่เป่ยเหยา ท่านจะไปแล้วเหรอ?”

เหล่าสตรีจ้องมองนางด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ซีหลานน้ำตาไหลริน แต่สุดท้ายพวกนางก็ยิ้มให้กัน… การได้อยู่ร่วมกันนับเป็นความทรงจำที่ดี

เป่ยเหยาโชคดีที่ได้พบกับซีหลาน วู่หยาน เป่ยเซี่ยวเหมิน และศพนางสวรรค์ แม้จะคนละเผ่าพันธุ์ แต่พวกนางก็รักใคร่กันราวกับเป็นพี่น้อง

“หากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีก… ลาก่อน” นางถอนหายใจ ความรู้สึกหลากหลายท่วมท้น นางขยับมือเป็นท่าทาง ปราณจำนวนมหาศาลปะทุออกจากร่าง สร้างประตูขนาดยักษ์

นางขบฟันอดกลั้น ก้าวผ่านประตูมิติบานนั้นไป

แม้นางจะแข็งแกร่งแต่ก็มีหัวใจ การที่นางมาเยือนวังดาราครั้งนี้ ทำให้นางได้ประสบกับความรู้สึกอันหลากหลายจนไม่อาจลืม

วู่หยาน เยว่หลิงคงถอนหาย ซีหลานดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลริน “พี่เป่ยเหยาไปแล้ว...”

“เด็กน้อย! มีพบก็ต้องมีพราก แต่อย่างน้อย เจ้าก็ยังมีข้าอยู่ข้างกาย” วู่หยานไม่รู้ว่าจะปลอบซีหลานยังไง

นางเงยหน้ามองหนิงฝานพลางกล่าว “ลู่เป่ย พวกข้าจะกลับแดนสองเพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆให้ลู่ตู้เฉินฟัง จากนั้นจึงจะกลับวังราชาอสูร… หลังจากนั้น วังอสูรคงออกคำสั่งให้เคลื่อนย้ายแดนสองขึ้นไปยังแดนสวรรค์...”

“งั้นเหรอ? ถ้างั้น… ข้าฝากท่านดูแลว่านเอ๋อร์และเผ่าลั่วหยุนด้วย”

“เจ้าจะไม่กลับแดนสองกับพวกข้าเหรอ? ข้าว่า… ว่านเอ๋อร์คงรอพบเจ้าอยู่” ซีหลานอยากให้หนิงฝานกลับไปด้วยกัน

“ต่อให้ข้ากลับไป ข้าก็ต้องเดินทางต่อทันที แบบนั้นจะยิ่งทำให้ว่านเอ๋อร์เศร้าใจ… บางที หากข้าสะสางความแค้นที่มี ไร้ซึ่งศัตรูให้ข้าต้องกังวล ข้าอยากไปหาพวกเจ้า และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับพวกเจ้า… ข้าคิดว่า ว่านเอ๋อร์คงจะเฝ้ารอให้ถึงยามนั้น ยามที่ข้าปล่อยวางได้ทุกสิ่ง...”

หนิงฝานเฝ้าฝันที่อยากจะมีชีวิตที่สงบ ชีวิตที่ดำเนินเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนทั่วไป

เส้นทางแห่งการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังนั้นโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งความสุขและสงบอย่างแท้จริง

หากยามนี้เขาหยุดทุกสิ่ง หยุดที่จะก้าวเดินต่อ สักวัน...ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นย่อมมาเหยียบย่ำตัวเขาและจากไป

“หยานเอ๋อร์… หลานเอ๋อร์… ข้าไม่มีสิ่งใดมอบให้พวกเจ้า มีเพียงกระบี่สองเล่มนี้ อย่างน้อย มันจะช่วยปกป้องชีวิตพวกเจ้าได้...”

หนิงฝานนำกระบี่ผลึกที่ได้จากซื่อฉวนออกมา

“มันล้ำค่าเกินไปข้า...” ซีหลานเป็นเพียงสนมอสูร สิ่งล้ำค่าอย่างกระบี่ที่หนิงฝานมอบให้ ล้ำค่าเกิดไปสำหรับนาง

“ของขวัญของข้า...” ดวงตาซีหลานเป็นประกาย นางคือองค์หญิงน้อยแห่งเผ่าพันธุ์ของนาง นางมีสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่ที่นางให้ความสำคัญกับกระบี่ผลึกเล่มนี้ เป็นเพราะมันคือสิ่งที่หนิงฝานมอบให้

“กระบี่เล่มนี้มีาคาประมาณ 50 ล้านหยกสวรรค์… พี่ลู่เป่ย ท่านยังติดข้าอยู่ 900 ล้านหยกสวรรค์ ครั้งหน้าที่พบกัน ท่านต้องชดใช้ให้ข้าด้วย!”

นางไม่ลืมว่าหนิงฝานขโมยหยกสวรรค์นางไปทั้งหมด

แต่ยามนี้ ดูเหมือนจะนึกอะไรออก “พี่วู่หยาน ข้ามีอะไรจะให้พี่ลู่เป่ย แต่ว่าท่านห้ามเอาไปบอกใครนะ” ซีหลานกระซิบวู่หยาน

“อืม… แล้วเจ้าจะมอบอะไรให้เขา?” ท่าทางของซีหลานทำให้หนิงฝานยิ้ม

“ก็แค่… แค่...แผ่นหยก”

ซีหลานนำหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แต่เมื่อนางยื่นให้หนิงฝาน ใบหน้านางกลับแดงก่ำ

“อะไรเหรอ?”

แต่เมื่อหนิงฝานรับหยกมาจากนาง แผ่ปราณกระตุ้นมัน เขาก็ได้ยินเสียงของสตรีดังขึ้น

“พี่ลู่เป่ย… ข้าชอบท่านมาก ท่านคือผู้พิทักษ์ของข้า ข้าแอบบันทึกบางสิ่งที่เป็นความลับลงในแผ่นหยกนี้ มันคือวิชาลับของตระกูลข้า นามว่า ‘ตำราพิสุทธิ์สามประการ’ ถ้าท่านตั้งใจฝึกฝนมัน ท่านจะกลายเป็นนักปรุงโอสถที่เก่งกาจ เมื่อถึงยามนั้น ท่านพ่อคงไม่ห้าม...หากเราจะแต่งงานกัน...”

ซีหลานหน้าแดงก่ำ นางเร่งเอื้อมมือกระตุ้นปิดเสียงที่อยู่ในแผ่นหยก พลางมองหนิงฝานด้วยความอาย

“คนบ้า! ใครบอกให้เปิดตรงนี้!”

นางบันทึกความลับทั้งหมดของตระกูลลงในหยกแผ่นนี้ ทั้งยังบันทึกความรู้สึกที่นางมาให้หนิงฝาน ความรู้สึกที่นางไม่กล้ากล่าวต่อหน้าเขา

“คนบ้า! คนบ้า!” ซีหลานกระทืบเท้าด้วยความเขินอาย เยว่หลิงคงที่อยู่ไม่ไกลอดขำไม่ได้ ซ้ำยังล้อเลียนซีหลานตามที่นางได้ยินจากแผ่นหยก

“พี่ลู่เป่ย… ข้าชอบท่านมาก ท่านคือผู้พิทักษ์ของข้า~~”

“เจ้าจะฝึกฝนมันไม่ได้!”

ในขณะที่ซีหลานและเยว่หลิงคงหยอกล้อ วู่หยานกลับขมวดคิ้วและกล่าวอย่างจริงจัง

“วิชานั้นเป็นวิชาลับของตระกูลซีหลาน หากเรื่องนี้แพร่งพราย ตระกูลของนางย่อมส่งเซียนจำนวนมากมาสังหารลู่เป่ย… เจ้ามอบวิชาให้เขาแบบนี้เท่ากับทำร้ายเขา” วู่หยานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หากท่านไม่พูด… ข้าไม่พูด… พี่ลู่เป่ยไม่พูด… พี่เยว่เอ๋อร์ไม่พูด… เหว่ยเหลียงไม่พูด… แล้วใครหน้าไหนจะรู้?” ซีหลานไม่คิดว่าการที่มอบวิชาลับให้หนิงฝาน จะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

“เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ...” วู่หยานถอนหายใจ นางเข้าใจความรู้สึกของซีหลาน หากนางเป็นซีหลาน นางก็คงทำแบบเดียวกัน

“พี่ลู่เป่ย หากท่านไม่ต้องการ ท่านจะคืนข้าก็ได้นะ!” นางแบมือ แต่หนิงฝานกลับไม่คืนให้

“ข้าอยากได้สิ… ของดีขนาดนี้”

สิ่งที่หนิงฝานได้รับนับเป็นสมบัติล้ำค่า เต๋าแห่งข่ายอาคมมี 9 สำนักที่มีเส้นทางแตกต่างกันไป แต่เต๋าแห่งการปรุงโอสถ มีเพียง 2 สำนักเท่านั้นในแดนสวรรค์ แม้วิชาที่ซีหลานมอบให้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ล้ำค่ามากๆแล้ว

ด้วยความสามารถของหนิงฝาน หากเขาตั้งใจฝึกฝนและทำความเข้าใจ เต๋าแห่งการปรุงโอสถของเขาคงก้าวหน้าไม่น้อย

หากได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ทหารย่อมได้เปรียบในการศึก… หนิงฝานในยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น

“พี่ลู่เป่ย ข้ากับพี่ซีหลานต้องไปแล้ว ท่านต้องคิดถึงพวกข้าด้วยนะ!”

“อืม… พวกเจ้าดูแลตัวเองด้วย” หนิงฝานกล่าว

พวกนางยืนมองหนิงฝานอยู่นาน ก่อนจะนำแผ่นข่ายอาคม เปิดเส้นทางให้พวกนางกลับคืนสู่แดนสอง

“ลู่เป่ย… ไว้พบกันใหม่...”

หนิงฝานถอนหายใจ

“แสง… กลับบ้าน...” ศพนางสวรรค์จับมือหนิงฝานเบาๆ นางรู้ว่าหนิงฝานเศร้าใจ

“อืม… กลับบ้านกันเถอะ ตอนนี้ที่ทะเลส่วนนอกคงผ่านไปได้ 20 ปีแล้ว อาการบาดเจ็บของสู่ฉุ่ยหลิงคงเริ่มแย่ ข้าต้องรักษาให้นางก่อน”

“แตงกวาน้อย เจ้ามีสตรีมากมายขนาดนี้ เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ?” เยว่หลิงคงกล่าวถาม

“เหนื่อยสิ… แต่ก็ดีกว่าอยู่ลำพัง”

คำกล่าวของหนิงฝานทำให้นางพูดไม่ออก แม้เส้นทางที่หนิงฝานก้าวเดินจะยากลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยโดดเดี่ยว ผิดกับนางที่แม้จะเป็นใหญ่ในทะเลส่วนใน แต่นางกลับไร้ซึ่งสหาย มีเพียงผู้ที่ทรยศ

“เราจะไปเกาะมิติเทพเมื่อไหร่...” นางกล่าวถาม

“ไม่นานนักหรอก...” หนิงฝานนำแผ่นข่ายอาคมออกมา แต่ข่ายอาคมนี้ ไม่ได้ไปยังแดนสอง แต่กลับไปยังทะเลส่วนนอก!

ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามายังโลกสาบสูญ เขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม แต่ตอนนี้ เขาคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณที่ไม่มีผู้ใดในขอบเขตตัดวิญญาณสู้ได้

แม้การเดินทางจะยากลำบาก แม้จะต้องสูญเสียทั้งรถเพลิงทองคำ และทาสในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางอีก 2 ตน แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมากลับมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด

ทั้งข่ายอาคม… วิชาปรุงโอสถ… วิชาดาราทมิฬ… โลหิตเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่… เง่าร่างของเทพกษัตริย์แห่งเงา ทาสในขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลง 2 ตน และอีกหลายๆสิ่ง

20 ปีผ่านไปราวกับความฝัน!

“ไปกันเถอะ...” หนิงฝานกระตุ้นข่ายอาคม นำทั้งสามเลือนหายไปจากสถานที่แห่งนี้ช้าๆ

เมื่อหนิงฝานจากไป วังยักษ์และดาราสมุทรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

20 ปีผันผ่าน ทะเลไร้สิ้นสุดส่วนนอกที่เต็มไปด้วยอันตราย ต่างมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก เดินทางมาจากหลายแห่งเพื่อหาประสบการณ์ และเข้าร่วมกับวิหารสาบสูญ

20 ปีผันผ่าน ทะเลส่วนนอกได้ปรากฏขุมกำลังใหม่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือขุมกำลังที่มีนามว่า ‘สมาพันนักฆ่าหมิง’

20 ปีผันผ่าน ดินแดนโลกล่มสลายถูกทำลาย นิกายปีศาจสำราญถูกลบหายไป เหลือเพียงจารึกที่สลักชื่อ ‘ซัวหมิง’ ในฐานะที่เป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง

เมื่อเวลาล่วงเลย ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้ารอจะพบหนิงฝานก็ค่อยๆทยอยจากไป แม้สู่ฉุ่ยหลิงที่กล่าวว่าจะรอหนิงฝาน ยังต้องจากไป เพราะเมื่อ 3 ปีก่อน อาการบาดเจ็บของนางกำเริบ ร่างกายของนางอ่อนแอลงจนไม่อาจเฝ้ารอหนิงฝานได้อีก ดังนั้น ที่แห่งนี้จึงไร้ผู้คน

ใต้ทะเลลึก หนึ่งชายชราหนึ่งผู้เยาว์กำลังเก็บแร่วิญญาณ มหาสมุทรโดยรอบนิกายปีศาจสำราญนั้น อุดมไปด้วยแร่วิญญาณหลากหลาย จึงกลายเป็นสถานที่เสาะหาแร่วิญญาณชั้นเลิศ

แร่ที่ดีสามารถนำมาเป็นทำเป็นอาวุธ และใช้วางข่ายอาคมได้

ชายชราผู้สวมอาภรณ์แดง ระดับพลังอยู่ของเขตแก่นทองคำขั้นสูง ส่วนผู้เยาว์ดูราวกับเพิ่งทะลวงขอบเขตประสานวิญญาณ ระดับพลังยังไม่เสถียร จากลักษณะ ทั้งสองสมควรเป็นศิษย์อาจารย์กัน

บางทีการที่ชายชราผู้นี้นำผู้เยาว์ทั้งสองมา อาจมาเพื่อหาโอกาสได้ต่อสู้เพื่อปรับระดับพลังให้เสถียร

“อาจารย์ อ่อนยังอ่อนแออยู่มาก ยามนี้ข้าเพิ่งทะลวงขอบเขตประสานวิญญาณ ข้าว่าเรามาที่นี่เร็ว...”

“ฮึ่ม! ขี้กลัวไปได้ แบบนี้จะอยู่ในเส้นทางของการฝึกตนได้ยังไง! เจ้ารู้หรือเปล่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีคนผู้หนึ่งในขอบเขตประสานวิญญาณ สังหารอสูรฉลามนับหมื่นเพียงลำพัง แม้จะถูกวังผนึกอสูรตามล่า แต่ก็ยังรอดมาได้… หลังจากนั้นคนผู้นั้นได้เข้าสู่เกาะเผิงไหล เก็บตัวฝึกฝนอยู่ชั่วครู่ ก็ทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม เมื่อคนผู้นั้นปรากฏตัว ก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าล่วงเกินเขาอีก”

“แม้คนผู้นั้นจะเข้าสู่ดินแดนโลกล่มสลายไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ชื่อเสียงของเขายังคงอยู่… ยามนี้คงผู้นั้นยังไม่ตาย สมควรอยู่ที่ไหนสักแห่ง และทำในสิ่งที่ไม่ธรรมดาอยู่… พวกเจ้าจงเอาเป็นตัวอย่าง ก้าวไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น”

เมื่อได้ยินเรื่องที่ชายชราเล่า ผู้เยาว์คนนั้นไม่เชื่อ “อาจารย์แต่งเรื่องมาหลอกพวกข้าหรือเปล่า… จะเป็นไปได้ยังไงที่ขอบเขตประสานวิญญาณจะเก่งกาจขนาดนั้น… อาจารย์ คนผู้นั้นเป็นใคร?”

“ชื่อเหรอ? ชื่อของเขาควรค่าแก่การเถิดทูน และทำให้ขุมกำลังหลายแห่งในทะเลส่วนนอก ยอมร่วมมือเป็นสมาพันนักฆ่าหนิง”

“อะไรนะ! นี่อาจารย์กล่าวถึงท่านหมิงงั้นเหรอ? ท่านกำลังจะบอกว่า เมื่อยามที่ท่านหมิงอยู่ขอบเขตประสานวิญญาณ เขาล่าสังหารอสูรฉลามนับหมื่นเพียงลำพังงั้นเหรอ?”

ผู้เยาว์คนนั้นไม่เชื่อว่าขอบเขตประสานวิญญาณจะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นซัวหมิง ทั้งสองก็เชื่อทันที

“ถ้าหากที่ท่านเล่าเป็นเรื่องจริง ทำไมทุกคนเขาถึงลือกันว่า ซัวหมิงเข้าสู่ทะเลส่วนนอกเมื่อยามที่อยู่ในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม?”

“ข้าก็ไม่รู้… แต่ยามที่เดินทางเข้าสู่ทะเลส่วนนอกด้วยเรือล่องสมุทร ข้าได้นั่งข้างๆซัวหมิง กลิ่นอายปราณของเขายามนั้น คือขอบเขตประสานวิญญาณแน่นอน… เห้อ นอกจากข้าแล้วคงไม่มีใครรู้ว่าซัวหมิงในขอบเขตประสานวิญญาณ สามารถรับมือกับผู้เชี่ยวชาญดวงติคแรกเริ่มได้”

ชายชราจำได้ดี เพราะตนเคยพ่ายให้กับหนิงฝาน เมื่อยามนั้น ชายชราอยู่ขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลาง กว่าจะทะลวงสู่ขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงนับเป็นเรื่องที่ยากลำบาก หากเทียบกับหนิงฝานแล้ว ชายชราไม่ควรค่าให้กล่าวถึง

“อาจารย์ อาจารย์…” ในขณะที่ทั้งสองเสาะหาแร่อยู่นั้น ศิษย์ของมันได้กล่าวขัดชายชราที่กำลังหวนนึกถึงอดีต

“มีอะไร? ไม่รู้เหรอว่าข้ากำลังหวนนึกถึงอดีตอยู่!” ชายชราขุ่นเคือง แต่เมื่อหันไปตามทิศทางที่ศิษย์ของมันชี้ สีหน้ามันกลับแปรเปลี่ยน

พวกมันเห็นผลึกสีแดงก้อนหนึ่ง ขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ

“นั่นมันแร่เพลิง! ใหญ่ขนาดนั้นสมควรขายได้ 1 แสนหยกสวรรค์!” ศิษย์ของมันกล่าว หยกสวรรค์ขนาดนั้น นับว่ามีค่าสำหรับพวกมันมาก

แต่ในขณะที่ศิษย์ของมันกำลังจะไปเอาแร่ก้อนนั้น ชายชรากลับรั้งแขนมันไว้

“ช้าก่อน! มีบางอย่างแปลกไป! ตำแหน่งของแร่ดูผิดปกติ มันวางเด่นอยู่อย่างนั้น แต่กลับไม่มีผู้ใดหยิบไป… บางทีอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ก็ได้”

ชายชราขมวดคิ้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้มีอันตรายซ่อนอยู่

เมื่อชายชราหันมองเห็นหินรูปร่างประหลาดก้อนหนึ่ง ชายชราตกตะลึง พลางเร่งนำศิษย์ของมันถอยหนีด้วยความเร็วสูงสุด

“หนีเร็ว! หินก้อนนั้นคืออสูร!”

ทันทีที่ชายชราพาศิษย์ของมันหนี หินก้อนนั้นเริ่มเคลื่อนไหว เผยกายเป็นอสูรสูงใหญ่กว่า 600 จ้าง ตำแหน่งที่แร่เพลิงอยู่คือบนหลังของมัน!

*โฮก!*

อสูรคำรามลั่น แผ่กลิ่นอายขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ชายชราแตกตื่นสุดขีด ศิษย์ของมันหวาดกลัวแทบสิ้นใจ

“อสูรดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง! จบแล้ว...เราไม่รอดแล้ว!”

ในขณะที่คู่ศิษย์อาจารย์สิ้นหวัง แสงดาราฉายส่อง ก่อนตัวเป็นวังวนขนาดหมื่นจ้างในทะเล

การปรากฏของวังวนนำมาซึ่งเสียงดังสนั่นราวกับอัสนีฟาดผ่า รอบข้างนับแสนลี่เกิดน้ำทะเลแปรปรวน คลื่นยักษ์ซัดสาด ผู้เยาว์ในอาภรณ์ขาวก้าวออกมาจากวังวน ทำให้อสูรจำนวนมากในระแวกนั้นหวาดกลัวจนตัวสั่น

อสูรหินยักษ์ที่กำลังไล่ล่าสองศิษย์อาจารย์ เมื่อมันเห็นผู้เยาว์ในอาภรณ์ขาว มันเร่งขดตัวกลายเป็นหิน ทั่วร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง มันสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจากผู้เยาว์คนนั้น

ชายชราที่เห็นก็ตกตะลึง ผู้เยาว์อาภรณ์ขาวปรากฏตัวอย่างไร้ที่มา ทั้งยังไม่อาจหยั่งระดับพลังได้ แต่หากดูจากปฏิกริยาของอสูรที่หวาดกลัวแล้ว อย่างน้อยๆต้องเหนือกว่าของเจตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง

“คารวะผู้อาวุโส!” ชายชราเร่งป้องมือคารวะ แม้จะเป็นเพียงผู้เยาว์ แต่ชายชรารู้ว่าผู้เยาว์คนนี้แข็งแกร่ง และชายชรายังไม่เคยเจอผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด