ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 96 ซูบผอม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 98 ส่วนแบ่งกำไร

Re-new ตอนที่ 97 ลาป่วย


ตอนที่ 97 ลาป่วย

ตลาดวัวม้าตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเมือง เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ ตลาดวัวม้าในเวลานี้กำลังคึกคักจอแจ ผู้คนที่ขายวัว ม้า และล่อต่างมารวมตัวกันที่นี่ ในอากาศมีกลิ่นของเสียสัตว์เหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

“ขายลูกวัวจ้า ! ลูกวัวอายุ 2 เดือน แข็งแรงมากนะ พี่ชาย ถ้าอยากได้ข้าขายให้ถูก ๆ เลย”

“น้องชายดูล่อของข้าสิ อายุเพียงแค่ 2 ปีเองนะ เหมาะมากที่จะใช้เริ่มทำงาน...”

“ดูเหมือนขาของล่อจะมีปัญหานะ มันจะเดินมิได้เยี่ยงนี้จะเอาไปทำอะไรล่ะ ?”

“ลูกวัวนี่ตัวเล็กเกินไป ข้าอยากได้ลูกวัวที่สามารถทำงานได้ตอนเริ่มฤดูใบไม้ผลิ...”

“ท่านลุง ดูนี่ก่อน...”

................

หูของนางเต็มไปด้วยเสียงของเหล่าบรรดาพ่อค้าตะโกนขายของและเสียงของลูกค้าบางคนกำลังต่อรอง แต่เสี่ยวเฉาก็รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงเหล่านั้นเป็นอย่างดี ระหว่างทางนางถามราคาวัวกับล่อของคนสองสามคน แต่ราคาที่พวกเขาตั้งไว้สูงทั้งหมดทุกร้าน เหมือนกับที่พ่อของนางได้เอ่ยเอาไว้ ถ้าพวกเขาไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียนให้ฉีโตว พวกเขาก็คงซื้อได้สักตัว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีเงินเหลือมากพอจะซื้อเกวียนได้อยู่ดี

ไม่รู้ว่าสวรรค์จงใจต่อต้านเสี่ยวเฉาหรือไม่ แต่หลังจากเดินวนตลาดอยู่รอบหนึ่ง นางก็เห็นคนขายลาอยู่ไม่มากนัก พอเจอคนที่ขายลาเข้า พวกเขาก็จะเรียกราคาที่ไม่สมเหตุสมผล ราคาที่พวกเขาขอนั้นสูงกว่าราคาวัวเสียอีก

“ตรงนั้นเอะอะอะไรกัน ไปดูกันเถอะ...” หยูไห่เองก็รู้ว่าการตกลงซื้อขายสัตว์มิใช่เรื่องง่าย เขาจึงไม่ได้ทำหน้าหม่นหมองเหมือนเสี่ยวเฉา พอเห็นว่ามีฝูงชนอยู่ด้านหน้าเขาก็ดึงมือลูกสาวเบียดคนเข้าไปทันที

ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “นี่เจ้าหนูบัณฑิต ลาเจ้าป่วยใกล้ตายถึงเพียงนี้ยังจะเรียกราคาสูงลิ่ว แล้วใครจะซื้อของเจ้าเล่า ? ช่างเถิด ลืมมันเสีย ข้าคือคนใจดี จะยอมจ่าย 800 อีแปะซื้อเกวียนเจ้าไว้ก็แล้วกัน ถือเสียว่าข้าสงสาร !” ชายวัยกลางคนมองลาที่ผอมจนเหมือนไม้ฟืน

เสี่ยวเฉาที่เบียดคนเข้ามาได้เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหน้าลา เขาอายุราว 16 - 17 ปี สวมชุดคลุมยาวที่เป็นเครื่องแบบของโรงเรียนหรงซวน ลาตัวนั้นผอมจนเหลือแต่กระดูก มันนอนอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่มีแม้แต่กำลังจะลุกขึ้นยืน ถ้าท้องของมันไม่ได้ขยับขึ้นลงอยู่ล่ะก็ นางคงคิดว่ามันตายแล้วเป็นแน่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาส่ายหัวแล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า “ไม่ ไม่ ! สร้างเกวียนคันหนึ่งก็ต้องใช้เงิน 1 ตำลึงแล้ว ท่านพ่อของข้ากำลังรอเงินจากการขายเกวียนลาไปช่วยชีวิตเขา ! 800 อีแปะมิพอซื้อยา 2 ห่อด้วยซ้ำ...”

ชายวัยกลางคนถามอย่างหงุดหงิด “แล้วเจ้าอยากขายลาใกล้ตายตัวนี้เท่าใดล่ะ ?”

“3... 3 ตำลึง ! ท่านพ่อของข้าป่วยหนักมากยิ่งนัก เขาต้องการเงินเพื่อไปหาหมอ...”  บัณฑิตน้อยเข้าใจดีว่าราคาที่เขาเรียกร้องนั้นมากเกินไป เสียงของเขาจึงฟังแทบไม่ได้ยิน

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ของมีค่าทั้งหมดในครอบครัวถูกขายไปหมดเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนของเขาแล้ว พวกเขาอาศัยเกวียนเทียมลานี้หารายได้จากการช่วยคนขนของหรือไปส่งคนรอบ ๆ เมืองเพื่อเป็นการอยู่รอด แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อ 5 วันที่แล้ว ลาของเขาก็เริ่มอาเจียนและท้องร่วง มันป่วยหนักเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงพามันไปหาหมอรักษาสัตว์ แต่ไม่มีหมอคนไหนสามารถช่วยมันได้เลย ท่านพ่อของเขาจึงกังวลเป็นอย่างมากและมีอาการร้อนจากภายในมากเกินไป สุดท้ายก็เป็นหวัด ตอนนี้ท่านพ่อของเขาไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว

ที่บ้านไม่มีเงินเชิญหมอมารักษา เขาจึงเอาลาป่วยตัวนี้มาตลาดเพื่อลองเสี่ยงโชคดู...

ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะเขาแล้วเอ่ยว่า “จะให้ข้าจ่าย 3 ตำลึงเพื่อลาป่วย ๆ ตัวนั้นเนี่ยนะ ? เจ้าหนู เจ้าต้องรู้ก่อนนะว่าลาตัวผู้ที่แข็งแรงดีและตัวใหญ่จะถูกขายด้วยราคาเพียงแค่ 5 ตำลึงเท่านั้น แต่ลาของเจ้า...จุ๊ ๆ ๆ ! ข้ากลัวว่าต่อให้ฆ่ามันเอาเนื้อไปขายก็ยังได้เงินมิถึงตำลึงเลย นี่ข้าเห็นแก่เจ้ามากแล้วนะที่ให้ 800 อีแปะสำหรับลาป่วยตัวนี้ !”

“ใช่ ใช่ ! ใครจะยอมจ่าย 3 ตำลึงให้ลาใกล้ตายกันเล่า ?”

“800 อีแปะก็น้อยเกินไป เงินจำนวนนั้นไม่พอซื้อเกวียนด้วยซ้ำ ถ้าเป็นข้าก็มิอยากขายเช่นกัน...”

“เด็กผู้นี้น่าสงสารมากนะ ดูชุดที่เขาใส่สิ เขาต้องเป็นนักเรียนโรงเรียนหรงซวนเป็นแน่ ถ้ามิต้องใช้เงินเร่งด่วนจริง ๆ เขาก็คงมิมาที่นี่ให้ผู้คนชี้นิ้วนินทาหรอก...”

คนมุงที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเด็กหนุ่มบ้าไปแล้วที่เรียกราคานี้ ส่วนอีกฝ่ายรู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กหนุ่มผู้นี้

นักเรียนหนุ่มหน้าซีดเผือด สายตาของเขาดูบ้าคลั่งขณะที่มองลาซึ่งดิ้นรนอยู่ที่ประตูแห่งความตาย เขาเอ่ยไปเรื่อย ๆ ว่า “ไม่ ไม่...ท่านพ่อกำลังรอเงินจากการขายลาไปช่วยชีวิตเขาอยู่ ท่านพ่อกำลังรอให้ข้าไปช่วย...”

หยูเสี่ยวเฉารู้สึกซาบซึ้งในความกตัญญูของบัณฑิตหนุ่ม นางคิดย้อนไปถึงตอนที่พ่อของนางอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย นางจำได้ว่าพวกเขารู้สึกเศร้าและหมดหนทางมากเพียงใด เสี่ยวเฉาเรียกหินศักดิ์สิทธิ์ในใจ [ เสี่ยวทังหยวน เจ้าช่วยลาตัวนี้ได้หรือไม่ ? ]

ลูกแมวสีทองโผล่หัวออกมาจากเสื้อตรงหน้าอกของเสี่ยวเฉา มันชะโงกหน้ามองไปยังลาตัวนั้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า [ เจ้านายน่ารังเกียจ เจ้าจะเอาข้ามาทำอะไรอีกแล้วรึ ? ใช้เป็นเหยื่อล่อปลาบ้างล่ะ ให้ช่วยคนบ้างล่ะ นี่จะให้ข้าช่วยสัตว์อีกรึ ? ข้ามิยอม ! ท่านพ่อของเจ้าผู้นี้จะมิทำอันใดทั้งสิ้น ! ]

คิดภาพลูกแมวตัวเล็กจ้อยเอาขาไขว้กันแล้วกอดขาหน้าเอาไว้ เอียงคอแล้วเรียกตนเองว่า ‘พ่อ’ มันจะน่ารักมากถึงเพียงใด แต่ก็ดูประหลาดหน่อย ๆ อยู่เช่นกัน

เสี่ยวเฉาเอ่ยอย่างอดทน “เสี่ยวทังหยวน เทพีแห่งวิญญาณโยนเจ้าลงไปที่โลกมนุษย์ก็เพราะท่านอยากให้เจ้าได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์ในโลกมนุษย์ คำกล่าวที่ว่า ‘การช่วยชีวิตได้กุศลยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น’ ถ้าเจ้าทำความดี มันก็จะช่วยให้เจ้ากลับไปอยู่ข้างกายของเจ้าแม่หนี่วาได้เร็วมากยิ่งขึ้นมิใช่รึ !”

หินศักดิ์สิทธิ์จำได้ว่าทุกครั้งที่มันช่วยเสี่ยวเฉาทำอะไรบางอย่าง พลังของมันจะฟื้นกลับคืนมาในระดับที่แตกต่างจากเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มันช่วยหยูไห่  หลังจากช่วยหยูไห่แล้ว หินศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถมีร่างกายจริง ๆ ขึ้นมาได้ มันรู้สึกว่าที่เสี่ยวเฉาเอ่ยก็มีเหตุผล มันจึงเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจว่า [ ก็ถ้าลามันยังไม่หยุดหายใจ  ข้าก็ช่วยมันได้...]

เมื่อหินศักดิ์สิทธิ์รับรองแล้ว เสี่ยวเฉาก็ก้าวเข้าไปเอ่ยกับบัณฑิตหนุ่มว่า “ขอข้าดูลาของท่านหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ?”

สีหน้าเซื่องซึมของบัณฑิตหนุ่มเปลี่ยนเป็นคาดหวังในทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเฉา  ราวกับว่าเขากำลังมองผู้ช่วยชีวิตของเขาอยู่ เขาเอ่ยว่า “แม่หนูน้อย เจ้า...อยากซื้อลาของข้าเยี่ยงนั้นรึ ?”

แต่พอเขาเห็นเสื้อบุฝ้ายที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนที่เสี่ยวเฉาสวมใส่อยู่ สีหน้าของเขาก็หม่นหมองลงอีกครา เขาเอ่ยขึ้นว่า “แม่หนูน้อย ลาของข้าป่วยอยู่ อย่าซื้อมันเลยจะดีกว่านะ...”

เสี่ยวเฉาเห็นว่า ถึงแม้เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่เขาก็ยังมีจิตใจที่ดีและซื่อสัตย์ นางจึงยิ้มให้กับเขา “ท่านพ่อกับข้าเรียนเรื่องการรักษาสัตว์มาบ้าง ถ้าลายังสามารถช่วยได้อยู่ ข้าก็จะซื้อ !”

“ตกลง ดี ! ดูเจ้าลาสิ ลาของข้าเก่งมากเลยนะ อายุก็ยังมิถึง 3 ปี ก่อนที่มันจะป่วยทุกคนต่างก็บอกว่ามันเป็นลาที่ดี” ไฟแห่งความหวังถูกจุดขึ้นในดวงตาของบัณฑิตหนุ่มอีกคราขณะที่มองดูทุกการเคลื่อนไหวของเสี่ยวเฉา

เสี่ยวเฉานั่งลงตรงหน้าลาตัวนั้น นางยื่นมือไปวางระหว่างจมูกกับปากของมัน ลมหายใจร้อน ๆ ตกกระทบกับฝ่ามือของนาง แม้ว่าจะอ่อนแรงแต่ก็ชัดเจน

เป็นการดีที่มันยังหายใจอยู่ ! นางขอยืมชามแตกที่สัตว์เลี้ยงใช้ดื่มน้ำมาหนึ่งใบ แล้วให้หยูไห่นำถุงน้ำที่ผูกไว้ข้างเอวของเขาออกมา และได้เทน้ำหินศักดิ์สิทธิ์จากถุงน้ำลงไปในชาม

เจ้าลาดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณจากน้ำ มันยกหัวขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วค่อย ๆ ดื่มน้ำจากชามในมือของเสี่ยวเฉา หลังจากดื่มเสร็จมันก็นอนบนพื้นอย่างหมดแรง  แม้ว่ามันจะไม่มีแรงลุกขึ้น แต่ดวงตาของมันก็สดใสมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม

“ลาของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ยังสามารถช่วยได้อยู่หรือไม่ ?” เมื่อนักเรียนคนนั้นเห็นลาที่ไม่ดื่มน้ำหรือกินหญ้ามานานเงยหน้าขึ้นมาดื่มน้ำ ไฟแห่งความหวังในใจของเขาก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ชายวัยกลางคนที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมก็ได้กล่าวเหยียดหยามอยู่ด้านข้าง “หมอสัตว์จากตลาดวัวม้าต่างก็เอ่ยเหมือนกันหมดว่าลาตัวนี้รักษามิหายแล้ว เจ้าเด็กโง่นี่จะไปทำอันใดได้ ? ข้าแนะนำให้เจ้ารีบขายลาก่อนที่มันจะตายเสียดีกว่า มิเยี่ยงนั้นเจ้าก็คงจะมิมีหนทางอื่นแล้ว ถ้ามันตายข้าก็ไม่เสียเงิน 800 อีแปะซื้อมันเป็นแน่”

นักเรียนหนุ่มทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ชายวัยกลางคนเอ่ยเยาะเย้ยเขา เขามองเสี่ยวเฉาราวกับนางเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิต เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกำมือเสียแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของตนเองแล้ว

คนที่มุงดูอยู่ต่างก็คิดว่าเสี่ยวเฉาสงสารลาขณะที่นางลูบตัวที่เหลือแต่กระดูกของมัน แต่ความจริงแล้วนางกำลังใช้หินศักดิ์สิทธิ์บนข้อมือช่วยรักษาเจ้าลาจากอาการป่วยในร่างกายต่างหาก แสงสีทองอ่อน ๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมันทันที ไม่นานเจ้าลาก็สามารถยกหัวขึ้นมาได้และดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง

เสี่ยวเฉายิ้มและพยักหน้าให้บัณฑิตคนนั้น “ลาของเจ้ามิได้ป่วยมากนัก ข้าตกลงซื้อ ! 3 ตำลึงใช่หรือไม่ ?”

“ชะ...ใช่ !” บัณฑิตหนุ่มมองก้อนเงินที่เสี่ยวเฉาส่งให้เขาอย่างมึนงง ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าลาที่ป่วยจนใกล้ขึ้นสวรรค์จะทำเงินให้เขาได้ถึง 3 ตำลึงจริง ๆ เขายืนมึนงงอยู่ตรงนั้นเสียเนิ่นนานเพราะไม่แน่ใจว่าจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี

เสี่ยวเฉาเห็นว่าเขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย นางก็คิดว่าเขาอยากกลับคำพูด จึงกระซิบกับเขาว่า “มีอันใดรึเจ้าคะ ? ท่านบอกว่าท่านพ่อกำลังรอเงินไปช่วยชีวิตอยู่มิใช่รึ ? เหตุใดถึงยังมิรีบไปอีก ?”

“ไอหยา ! ใช่...ขอบคุณเจ้ามากยิ่งนัก แม่หนูน้อย เจ้าคือผู้มีพระคุณของข้า โปรดบอกชื่อให้ข้ารู้ด้วยเถิด วันข้างหน้าข้าอยากตอบแทนความเมตตาของเจ้า” นักเรียนหนุ่มโค้งคำนับอย่างต่ำให้เสี่ยวเฉากับพ่อของนาง

เสี่ยวเฉาตอบกลับว่า “ความเมตตาอะไรกันเจ้าคะ ? ท่านขายของ ข้าก็แค่ซื้อไว้ เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม มิจำเป็นต้องตอบแทนอะไรทั้งนั้น เร็วเข้า อาการป่วยของท่านพ่อของท่านจะชักช้ามิได้เป็นอันขาด !”

ฟางซือโม่คิดถึงพ่อที่ป่วยอยู่ของเขา เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองไม่อยากบอกชื่อ เขาจึงคำนับพวกเขาอีกคราและไปจากตลาดพร้อมกับกำเงินเอาไว้แน่น

ชายวัยกลางคนไม่สามารถเอาเปรียบนักเรียนคนนั้นได้จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองว่า  “แม่หนูน้อย เจ้ายังเด็ก ในโลกนี้มีคนอยู่ทุกประเภท คนที่แกล้งป่วยเพื่อให้ผู้อื่นสงสารก็มีอยู่มากโข เจ้าถูกหลอกแล้วยังมิรู้ตัวอีก”

“ขอบคุณที่เตือนนะเจ้าคะ ! แต่บัณฑิตผู้นั้นใส่ชุดคลุมยาวของโรงเรียนหรงซวนอยู่  โรงเรียนหรงซวนรับนักเรียนจากความประพฤติ เพราะเยี่ยงนั้นข้าเชื่อว่าเขามิใช่คนโกหกหลอกลวงหรอกเจ้าค่ะ” เสี่ยวเฉาไม่ใช่เด็ก 8 ขวบที่จะถูกหลอกได้ง่าย ๆ นางใช้เงิน 3 ตำลึงซื้อได้ทั้งลาทั้งเกวียน นี่ถูกกว่าการซื้อลาหนึ่งตัวแล้วขอให้ใครบางคนช่วยสร้างเกวียนให้นางเสียอีก

ชายวัยกลางคนเหลือบมองเกวียนที่ค่อนข้างใหม่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วตะคอกว่า “ทำหูหนวกใส่ผู้ใหญ่ระวังจะเจอแต่ความสูญเสีย ที่ข้าเตือนก็เพราะเชื่อว่ากว่าเจ้าจะเก็บเงินได้ 3 ตำลึงคงใช้เวลานานเป็นอย่างมาก ข้ามิอยากให้เจ้าโง่จนสุดท้ายก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งหรอกนะ” เอ่ยจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที

เสี่ยวเฉาเลิกคิ้วแล้วเหยียดยิ้มมุมปากอย่างดูถูก เขาเอาเปรียบนักเรียนคนนั้นมิได้ก็เลยได้แต่พูดจาน่าเกลียดใส่ผู้อื่น คนเยี่ยงนี้นี่มัน...

แต่หยูไห่รู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย เขาเอ่ยถามว่า “เฉาเอ้อร์ ลาตัวนี้อ่อนแอมากนะ มันยืนมิไหวด้วยซ้ำ แล้วพวกเราจะเอามันกลับบ้านได้เยี่ยงไร ? จะเอามันขึ้นเกวียนวัวของปู่จางก็มิได้...”

เสี่ยวเฉาตอบกลับอย่างมั่นใจว่า “มิต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ข้ามีความรู้สึกว่าตอนเรากลับบ้านช่วงบ่าย ลาตัวนี้จะสามารถเดินเองได้ ! ท่านพ่อเจ้าคะ ที่บ้านเหลือเครื่องเทศไม่มากแล้ว มีร้านหนึ่งในตลาดอาหารที่ขายเครื่องเทศถูก ๆ อยู่ ไปดูกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด