ตอนที่แล้วบทที่ 20.1 เผยความดุร้าย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 ข้อตกลง

บทที่ 20.2 พรสวรรค์อันลึกลับ


หลังจากกลับไปรายงานหัวหน้าหรง เจียงอี้ก็กลับไปที่ลานบ้านเล็กๆของตนเองแล้วส่งเจียงเสี่ยวนู๋ออกไปตามหาชุนหยาและไปเก็บข้อมูลเจียงหยูหู่

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงเสี่ยวนู๋ก็กลับมาที่บ้านพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับเจียงหยูหู่และลูกน้องของเขา

ได้ความว่า สภาพร่างกายที่เลวร้ายของเจียงหยูหู่หลังจบการต่อสู้ เมื่อถูกหามกลับไปถึงตำหนักก็ได้เกิดความโกลาหลในตระกูลเจียง

อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินว่าเป็นฝีมือของสมาชิกตระกูลหม่า ทุกคนในตระกูลเจียงก็หยุดพูดเรื่องการบาดเจ็บของเจียงหยูหู่ แต่พวกเขากลับดุด่าว่าเจียงหยูหู่และกลุ่มของลูกหลานของตระกูลเจียงที่ทำตัวไร้ประโยชน์และเป็นการเสียหน้าต่อตระกูลเจียง

ในเมืองเทียนอวี่ ตระกูลจีนั้นเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาจากตระกูลจีก็มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่อีกสี่กตระกูล ได้แก่ ตระกูลหลิ่ว ตระกูลหม่า ตระกูลเจียงและตระกูลเหลิ่ง

ส่วนที่เหลือเป็นตระกูลขนาดเล็ก เช่นตระกูลอี้ซึ่งแม่นางอี้หลิงเสวี่ยก็มาจากตระกูลนี้ และตระกูลหยาง อย่างไรก็ตามตระกูลตระกูลเล็กๆเหล่านี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลใหญ่ทั้งห้าได้เลย

วัฒนธรรมและสังคมของอาณาจักรเสินหวู่ขึ้นอยู่กับศิลปะการต่อสู้ ผู้ที่ปกครองเรื่องเมืองล้วนเป็นจอมยุทธที่ทรงพลัง นายพลที่มีความสำเร็จทางการทหารจะได้รับมอบดินแดนเล็กๆในฐานะผู้ครอบครองดินแดน

ภายในเมืองเทียนอวี่ ตระกูลจีเปรียบเสมือนราชวงศ์ ไม่มีตระกูลอื่นที่กล้าที่จะยั่วตระกูลจี สำหรับพวกเขา ลูกหลานตระกูลจีนั้นมีวินัยและไม่ค่อยกลั่นแกล้งหรือกดขี่ข่มเหงตระกูลอื่นๆ ส่วนตระกูลอื่นๆนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ละตระกูลต่อสู้กันอย่างเปิดเผยเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง

ครอบครัวใหญ่ทั้งสี่ ลึกๆแล้วมีความขุ่นเคืองต่อกันมายาวนานกว่าศตวรรษและการต่อสู้ระหว่างทายาทของตระกูลแต่ละตระกูลนั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ผิดปกติ

ศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นที่นิยมในทวีปเทียนชิง มีเพียงไม่กี่คนที่ห่วงใยลูกหลานตระกูลที่ต่อสู้กันภายในตระกูลของพวกเขา ยังไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ระหว่างตระกูลอื่นๆเลย ตราบใดที่ไม่มีใครถูกฆ่าตาย การต่อสู้ทั้งหมดก็จะถูกเพิกเฉย และยิ่งกว่าคือถ้ามีใครในตระกูลชนะคู่ต่อสู้ตระกูลอื่น เขาอาจได้รับการยกย่องหรือตบรางวัลให้อย่างงาม

เช่นนั้น เมื่อได้ยินว่าสมาชิกของตระกูลหม่าได้โจมตีเจียงหยูหู่ ตระกูลเจียงก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องราวนั้น แต่ในทางกลับกัน หัวหน้าเจียงหยุนเฉอกลับเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

แม้ว่าเจียงหยูหู่จะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและถูกทำให้เสียโฉมจากการต่อสู้จนแทบจะจำหน้าไม่ได้ แต่เจียงหยุนเฉอยังคงดุ เจียงหยูหู่อย่างดุเดือดและสั่งให้ลูกน้องของเจียงหยูหู่ทั้งหมดกลับไปอยู่ที่บ้าน เขาลงโทษกักบริเวณและหากใครก็ตามออกจากบ้านอีกครั้งและสร้างความอับอายขายหน้าให้กับตระกูล จะได้รับการลงโทษขั้นรุนแรง

เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงอี้ก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขารู้ว่าอย่างน้อยที่สุดเขาก็จะปลอดภัยก่อนที่เจียงหยูหลงจะออกจากโถงวรยุทธ

เขาสามารถบ่มเพาะพลังของเขาอย่างไม่ต้องเร่งรีบและค่อยๆทำลายตราประทับของเขาทีละนิดและในที่สุดก็จะเพิ่มระดับพลังของขอบเขตฉูติ่งได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

แก่นแท้พลังสีดำสามารถเพิ่มพลังของเขาได้สองเท่า ด้วยขอบเขตของระดับพลังขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่งเมื่อผสานกับแก่นแท้พลังสีดำ พลังของเขาสามารถโจมตีผู้ที่อยู่ขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งได้

เจียงหยูหลงมีระดับพลังขั้นที่เจ็ดของขอบเขตฉูติ่ง หากเจียงอี้สามารถเพิ่มระดับพลังของเขาขึ้นไปถึงขั้นที่สามหรือสี่ของขอบเขตฉูติ่งได้ก่อนที่เจียงหยูหลงจะออกมาจากโถงวรยุทธ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีพลังพอๆกับเจียงหยูหลง

"ข้าจะต้องฝึกฝนต่อไปและทำลายสถิติของข้าขึ้นไปอีก! พรุ่งนี้หลังจากที่ข้านับสมุนไพรเสร็จ ข้าจะไปเดินเล่นรอบเมืองและดูว่ามีวิธีอื่นอีกไหมที่จะหาเงินเพื่อชำระหนี้ของข้าได้"

เจียงอี้พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะไม่คิดมากและเริ่มกลั่นแก่นแท้พลังสีดำเพิ่มในทันทีเพื่อทำลายผนึกของเขาแทน

ในปัจจุบันเขาสามารถลบอักขระได้ประมาณสิบตัวในทุกๆวัน เวลาที่เหลือก็ใช้ไปกับการบ่มเพาะพลัง และความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันถึงเจ็ดหรือแปดเท่าของความเร็วเดิมของเขา แม้ว่าความเร็วนี้จะค่อนข้างช้า แต่ เจียงอี้ก็พึงพอใจกับผลลัพธ์ดังกล่าวมาก

ก่อนรุ่งสางของวันถัดมา เจียงอี้ก็ตื่นแล้วและต้องมุ่งหน้าไปยังเขาซีชานเพื่อนับสมุนไพร และเจียงเสี่ยวนู๋ก็เซ้าซี้เขาอีกครั้งและร้องขอออกไปทำงาน แต่หลังจากที่เขาดุนางอย่างโหดร้าย นางก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย

เมื่อเขากลับมาจากเขาซีชานและรายงานต่อหัวหน้าหรงเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็แอบหลบออกจากตำหนักเจียงและเริ่มเดินไปรอบๆเมืองเพื่อหาวิธีหาเงินได้มากขึ้น

หลังจากเดินเล่นไปรอบๆตลอดทั้งวัน เจียงอี้ก็นั่งลงบนก้อนหินตรงกลางจัตุรัสเมือง เขาไม่รู้ว่าจะหาเงินได้อย่างไรนอกจากเขาจะได้รับการจ้างงานในฐานะกรรมกร ซึ่งเป็นงานที่มีรายได้น้อยมาก ซึ่งได้เงินเพียงไม่กี่อีแปะ

เหลือเวลาอีกเพียงสิบแปดวันก่อนถึงกำหนดเส้นตายหนึ่งเดือนในข้อตกลงการชำระหนี้กับหอนางโลมเฟิงเยว่ แต่ทว่าในขณะนี้เจียงอี้มีเงินเพียงสิบตำลึงเงิน เขาพยายามคิดหลายอย่าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามหาจีทิงยวี่และยืมเงินจากนาง

เมื่อครุ่นคิดอยู่นาน เจียงอี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า "ใช่แล้ว...โถงวรยุทธ! ข้าควรไปที่โถงวรยุทธและเป็นคู่ซ้อม! เช่นนั้นไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถหาเงินได้เท่านั้น แต่ข้าอาจจะได้พบกับคุณหนูจีก็ได้!"

เจียงอี้สวมเสื้อคลุมเช่นเคยและเดินไปในทิศทางของโถงวรยุทธโดยไม่สนใจอาหารกลางวัน

ที่โถงวรยุทธยังคงประกาศหาคู่ซ้อมนอกอาคารมากขึ้น แต่ผู้ชมโดยรอบกลับน้อยลง เจียงอี้เดินเข้าไปใกล้ประตูด้านใน ทันใดนั้นทหารยามในชุดเกราะสีดำก็เรียกเขาทันทีและพูดอย่างอบอุ่นว่า "เฮ้เจ้าหนูตัวน้อย ในที่สุดเจ้าก็กลับมา! ผู้ดูแลหยางถามหาเจ้าอยู่หลายครั้งเลย"

เจียงอี้ยิ้มด้วยความเขินอาย เขาเดินเข้าโถงวรยุทธไปโดยไม่ต้องการทหารยามที่สวมชุดเกราะสีดำนำทางแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปในโถงวรยุทธและเดินตรงไปที่ห้องซ้อมประลองทันที

"ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!"

เมื่อเจียงอี้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของห้องซ้อมประลอง สายตาของคนกลุ่มใหญ่กวาดตามองเขาทันที ใบหน้าที่แก่ชราของผู้ดูแลหยางเต็มไปด้วยริ้วรอยและยิ้มอย่างสดใสและเรียกเจียงอี้จากระยะไกลโดยพูดว่า “หมาป่าเดียวดาย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาที่นี่! แล้วเจ้าจะอยู่เป็นคู่ซ้อมตลอดช่วงบ่ายเลยหรือไม่?” “ข้าจะจ่ายเป็นค่าแรงทั้งวันให้กับเจ้าเป็นสิบตำลึงเงิน ดีหรือไม่?”

เจียงอี้เกาจมูกและพยักหน้าตอบว่า "ขอรับ!"

ผู้ดูแลหยางรีบส่งหน้ากากหมาป่าที่เจียงอี้เคยสวมใส่คราวก่อน ก่อนส่งสัญญาณให้กับคนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างเขา คนรับใช้ผู้นั้นก็รีบออกไปทันที

ตึกตัก ตึกตัก!

เจียงอี้เพิ่งเริ่มนั่งขัดสมาธิในห้องโถงขนาดใหญ่ได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าก้าวดังมาจากทางเดิน ร่างสีแดงเพลิงและดวงตาคู่โตของนางก็เพ่งไปที่เจียงอี้และกล่าวอย่างตื่นเต้นทันใด "ผู้ดูแลหยาง ข้าต้องการให้หมาป่าเดียวดายเข้าร่วมในการซ้อมประลองของข้า"

เจียงอี้เกาหัวของเขาในขณะที่พูดพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัยว่าผู้หญิงนางนี้ที่มีร่างกายเย้ายวน นางชอบที่จะต่อสู้เช่นนั้นใช่หรือไม่ วันนั้นนางโจมตีเขาอยู่นาน แต่นางก็ไม่สามารถแตะแม้แต่ชายเสื้อของเขาได้..นางชอบคู่ซ้อมแบบนั้นหรือ?

"หมาป่าเดียวดาย เตรียมเข้าสู่การต่อสู้!" ผู้ดูแลหยางยิ้มกว้างและโบกมือเรียกเจียงอี้ เขาเป็นคนที่แจ้งเรื่องนี้ให้กับอี้หลิงเสวี่ย มิฉะนั้นนางจะมาถึงไวขนาดนี้ได้เช่นไร?

เนื่องจากมีคนที่สั่งให้เขาสู้อย่างเจาะจง เจียงอี้ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นและเตรียมไปต่อสู้ เขาตามอี้หลิงเสวี่ยเข้าไปในห้องซ้อมประลอง ไม่นานก่อนที่ประตูห้องจะปิดผนึกและผนังของห้องก็ส่องสว่าง แก่นแท้พลังของทั้งสองคนเริ่มถูกปิดการใช้งาน

สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ประหลาดใจคือ คุณหนูอี้ผู้มีร่างที่น่าเย้ายวนไม่ได้เริ่มโจมตีทันทีที่เข้ามาถึง แต่กลับยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ นางป้องกำปั้นและโค้งคำนับ นางกล่าว "เจ้ามีนามว่า หมาป่าเดียวดายใช่หรือไม่ ข้าขอบคุณมากสำหรับการฝึกซ้อมรบกับข้าอีกครั้ง! ข้าหวังว่าวันนี้เจ้าจะไม่ออมมือเช่นคราวก่อน"

การได้รับความเคารพเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาจากหญิงสาวที่น่ารัก เขาคำนับแล้วตอบว่า "คุณหนู ท่านชมเกินไปแล้ว ข้าจะไม่ออมมือเลยขอรับ"

ระดับพลังของคุณหนูอี้อยู่เพียงขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง เมื่อวันก่อนระดับพลังของเขาอยู่เพียงขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่ง เมื่อเขาพึ่งพาแก่นแท้พลังสีดำ นางก็ยังไม่สามารถแตะชายเสื้อของเขาได้ วันนี้ด้วยพลังของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนางคงไม่สามารถโจมตีโดนเขาได้เช่นกัน

เอาล่ะ น่าจะเพียงพอแล้ว…!

จากนั้น อี้หลิงเสวี่ยก็เริ่มโจมตีเจียงอี้ และเริ่มเคลื่อนไหวเป็นวงกลมรอบๆห้องซ้อมประลอง ไม่ว่าคุณหนูอี้จะโจมตีไปในทิศทางใด ก็ดูเหมือนเจียงอี้จะคาดเดาได้ตลอด

"ฮู่! รับหมัดวายุขั้นบรรลุของข้าไป! หมาป่าเดียวดาย จงระวังไว้!"

หลังจากต่อสู้เป็นเวลาห้านาที ร่างกายของอี้หลิงเสวี่ยก็ถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อ ทำให้สรีระร่างกายของนางเย้ายวนมากขึ้น อย่างไรก็ตามนางก็ยังไม่รู้ตัวเลย นางปล่อยหมัดทั้งสองของนางพุ่งมาราวกับพายุ โดยปล่อยอากาศที่เต็มไปด้วยเงาหมัดเป็นสิบหมัดภายในเสี้ยววินาที

เอ๊ะ? นางมีการปรับปรุงที่ดีขึ้นอย่างมาก หมัดวายุเห็นได้ชัดว่าทรงพลังกว่าวันนั้นมาก

เจียงอี้ถอนหายใจอย่างเงียบๆกับตัวเองอย่างเสียใจ อย่างไรก็ตามการใช้กำปั้นนั้นไม่ได้ผลกับเขาอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เขาเห็นได้ชัดเจนว่าหมัดไหนเป็นหมัดที่แท้จริงของคู่ต่อสู้ มันจะเป็นผลลัพธ์เดียวกันแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาจะสร้างเงาขึ้นมาหนึ่งร้อยหมัด

เขาใช้กระบวนท่าจิตลวงแทนที่จะถอย เขากลับวิ่งไปข้างหน้าเป็นระยะเกือบหนึ่งเมตรก่อนที่จะงอเข่าและก้มไปข้างหลัง สิ่งนี้ทำให้ร่างกายทั้งหมดของเขาเลื่อนไปในทางซ้ายและเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เขาหลีกเลี่ยงการโจมตีของอี้หลิงเสวี่ยได้อย่างง่ายดาย

"เห้อ เห้อ ข้าสู้ต่อไม่ไหวแล้ว เจ้าแข็งแกร่งเกินไป!"

เจียงอี้ตบเสื้อคลุมของเขาก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อย เขากล่าวว่า "คุณหนู เจ้ามีพลังมากมาย ระดับพลังของเจ้าอยู่ในขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังเด็กอยู่ หากไม่ใช่เพราะแก่นแท้พลังของเจ้าถูกผนึกไว้จากการใช้งาน ข้าคงหมดท่าไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกแล้วขอรับ"

เสื้อคลุมของอี้หลิงเสวี่ยเปียกโชกอย่างสมบูรณ์ ในขณะนี้นางหอบและสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด หน้าอกเล็กน้อยของนางขยับขึ้นและลง ในขณะที่นางโกรธนางก็ดูมีเสน่ห์อย่างไม่มีใครเทียบ เมื่อนางได้ฟังสิ่งที่เจียงอี้พูด หน้าของนางก็แดงขึ้นมา

เมื่อมองไปที่เจียงอี้ นางยิ้มแล้วตอบว่า "เจ้ารู้วิธีพูดได้ดี! วันนี้ข้ารู้สึกยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ งั้นข้าจะมาหาเจ้าในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง แต่เจ้าช่วยสู้กลับบ้างได้หรือไม่ โปรดอย่าพยายามหนีเพียงอย่างเดียวเถิด มันทำให้การต่อสู้ไม่ค่อยสนุกท่าไหร่นัก "

"อึก..."

เจียงอี้เกาหัวด้วยความเขินอาย หากเขาตอบโต้การเคลื่อนไหวของนางซึ่งแก่นแท้พลังของนางกำลังปิดผนึกอยู่ เขาก็กลัวว่า ด้วยกระบวนท่าเดียวเขาอาจจะทำให้นางหมดสติไป อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเขาจะพูดอะไรอีก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพยักหน้าและตอบว่า "ขอรับ!"

คุณหนูอี้จัดเสื้อคลุมของนางก่อนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เจียงอี้ตามหลังนางออกจากห้องเช่นกัน และนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าคู่ซ้อม

เขากวาดตามองห้องกว้าง แต่ก็ไม่เห็นผู้ดูแลหยางเลย เขาจึงตัดสินใจที่จะนั่งเงียบๆและนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูแก่นแท้พลังสีดำที่เขาเพิ่งใช้ไป

ผู้ดูแลหยางไม่ได้อยู่ในห้องนั้น แต่อยู่ในห้องเล็กๆใกล้ๆ เขาไม่ได้อยู่คนเดียว...มีชายชราที่มีผมสีขาวและเสื้อคลุมที่สง่างามในห้องเล็กๆอยู่ด้วยเช่นกัน ชายสองคนกำลังสังเกตดูจิตรกรรมบนผนังอย่างตั้งใจ

ภาพวาดนี้ขยับได้.. หากเจียงอี้และอี้หลิงเสวี่ยเห็นภาพวาดเหล่านี้ พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน เป็นเพราะ…ภาพที่กำลังขยับอยู่บนผนังเป็นฉากที่ทั้งสองต่อสู้กัน

อย่างไรก็ตาม ภาพค่อนข้างเลือนลาง ภาพวาดที่ปรากฏนั้นใช้เวทมนต์คาถาลึกลับช่วยให้กระบวนการต่อสู้ของทั้งสองคนได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นรูปภาพแบบนี้

“มันไม่สมเหตุสมผลเลยเมื่อเห็นความเร็วของเด็กคนนี้ ระดับพลังของเขานั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง เขาจะมีความสามารถที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อในการตอบสนองนี้ได้อย่างไร?”

ใบหน้าชราของผู้ดูแลหยางเผยความรู้สึกที่สับสนและไม่เข้าใจ เขาจ้องมองที่ภาพเป็นเวลานานมาก แต่ก็ยังคงสับสนอยู่ ในที่สุดเขาก็ยกมือของเขายอมแพ้ต่อชายชราที่มีผมสีขาวและพูดว่า "ผู้เฒ่าเฟ่ย ท่านจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้?"

ชายชราที่มีผมสีขาวลูบเคราขณะที่เขาพูดว่า "ไม่จำเป็นต้องคิดอีกต่อไป เด็กคนนี้มีระดับพลังขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง แต่เขามีพรสวรรค์ที่ได้รับการยกย่องจากสวรรค์ ซึ่งช่วยให้เขามีความสามารถที่ทรงพลังอย่างมากในการตอบโต้การโจมตี ผู้ดูแลหยาง...จงดูให้แน่ใจว่าเขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีการฝึกอบรมและลงทุนอย่างดีและช่วยเพิ่มระดับพลังของเขาให้เป็นขั้นที่สามหรือแม้แต่ขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง แน่นอนว่าเขามีความสามารถที่จะกลายเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด