ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0398 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0400 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0399 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 399 : โฉมงามอันดับหนึ่ง

นครราชันจารึก ถือเป็นขั้วอำนาจใหญ่ที่สุดของตำหนักจารึกเทวะในภูมิภาคแดนเหนือ! เช่นกัน มันยังเป็นสาขาใหญ่ของตำหนักจารึกเทวะในภูมิภาคแดนเหนือ ทั้งยังอยู่ใกล้เส้นทางหนามปีศาจ หมายความถึงมันอยู่ใกล้แดนสัตว์อสูรอ้างว้างอย่างมาก

นครราชันนี้ถูกสร้างขึ้นโดยตำหนักจารึกเทวะ มันมีความแตกต่างอันมหาศาลจากนครราชันแห่งอื่น เพราะมันไม่มีกำแพงเมือง!

อย่างไรแล้ว ทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยเสาขนาดใหญ่ยักษ์สูงหลายร้อยเมตร มันคือกำแพงล่องหนที่ไม่อาจมองเห็น

นครราชันจารึกแห่งนี้ หาได้มีประตูใหญ่เป็นทางเข้าไม่ แต่ใช้เสาเพียงสองต้นเป็นทางเข้า อาจเรียกได้ว่าเป็นประตูเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง

แม้ว่าไม่มีกำแพงเมือง แต่การป้องกันนครราชันจารึกแห่งนี้ ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางบรรดาเมืองทั้งหลายในแดนเหนือ

ฉินหยุนและเว่ยจงเจิ้ง ทั้งสองสวมใส่หมวกคลุมศีรษะ เสื้อคลุมสีเทา แต่งกายเป็นคนธรรมดาอย่างเช่นที่พบเห็นได้ทั่วไป

ที่ทางเข้า เว่ยจงเจิ้งต้องจ่ายถึงหนึ่งแสนเหรียญม่วงเพื่อซื้อตั๋วเข้าออก!

ทางด้านฉินหยุน ตราบเท่าที่เผยเหรียญตราอาจารย์จารึกวิญญาณระดับสูง เขาย่อมเข้าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เมื่อเข้ามาแล้ว เว่ยจงเจิ้งค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงมัวหมอง “นครราชันจารึกเอาเปรียบนัก! ทุกครั้งที่เข้า ก็ต้องจ่ายหนึ่งแสนเหรียญม่วงครั้งหนึ่ง! บางครั้งมันก็จำเป็นต้องเข้าออกกว่าหนึ่ง!”

“ว่าอะไรนะขอรับ ข้านึกว่ามันเป็นตั๋วสำหรับหนึ่งปีเสียอีก!” ฉินหยุนเผยความตื่นตะลึง

“ใช้แค่ครั้งเดียว!” เว่ยจงเจิ้งมองหอคอยสูงตรงหน้าและกล่าว “หอคอยแห่งนี้ คือคฤหาสน์จารึก สูงกว่าหนึ่งพันเมตร ภายในมีอันใดข้าไม่อาจทราบ”

ฉินหยุนยิ้มกว้าง “จ้าวสำนัก เช่นนั้นไปรับชมกัน ข้าน่าจะพาท่านเข้าไปพักอาศัยในคฤหาสน์จารึกได้นะขอรับ!”

เว่ยจงเจิ้งพยักหน้ารับ นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ว่าเหตุใดเขายินดีนักยามได้เดินทางมาพร้อมฉินหยุน ด้วยฐานะอาจารย์จารึกวิญญาณระดับสูง มันจะอำนวยความสะดวกแก่เขาได้มาก

รูปแบบสิ่งปลูกสร้างภายในนครราชันจารึกแห่งนี้เรียบง่าย ส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากทองแดงหรือไม่ก็ไม้โบราณ ทว่าก็มีการแกะสลักอักขระลึกลับที่คล้ายกันไว้เป็นจำนวนมาก

เมืองแห่งนี้ดูเก่าแก่ โดยเฉพาะพื้นหินที่ปูบนทาง คล้ายมันผ่านกาลเวลามายาวนานยิ่ง

แม้เมืองกว้างใหญ่ แต่ขนาดแทบไม่ต่างอะไรหากเทียบกับนครราชันแห่งอื่น

เว่ยจงเจิ้งบอกต่อฉินหยุน ว่าช่วงเวลานี้ ยิ่งนานไปคนจะยิ่งมาเพิ่มกันมากขึ้น

และเมืองแห่งนี้ ยังมีสิ่งปลูกสร้างและร้านค้าไม่มาก ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นสวนหย่อมตามรายทาง ธารน้ำ ทะเลสาบ ภูเขาหิน และอีกหลายสิ่งอย่างเป็นการประดับเมือง

นครราชันจารึก จะเรียกว่าสวนขนาดใหญ่ยักษ์ก็ไม่ผิดนัก!

แม้ว่าต้องจ่ายถึงหนึ่งแสนเหรียญม่วงเพื่อเข้านครราชันจารึก ก็ยังมีผู้คนมากมายคิดอยากเข้ามากันไม่ขาดสาย

ที่นี่คือสาขาใหญ่ของตำหนักจารึกเทวะ หากมีการจ้างขัดเกลาอุปกรณ์ลึกล้ำ ย่อมต้องประกาศความจำนงที่นี่ เพราะบรรดาอาจารย์จารึกลึกล้ำต่างรวมตัวกันที่นี่ พวกเขาย่อมคิดรับงาน กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะได้รับสิ่งของ

ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าต่างมาที่นี่หลังรวบรวมเหรียญม่วงได้มากพอ เพื่อร้องขอให้มีการปรับแต่งอุปกรณ์ลึกล้ำที่เหมาะสมกับพวกเขาเป็นชิ้นแรก

สำนักย่อมต้องมีอาจารย์จารึกลึกล้ำ ทว่าพวกเขาจะขัดเกลาอุปกรณ์ลึกล้ำ ก็แต่เพื่อศิษย์ที่เลิศล้ำหรือผู้สร้างคุณประโยชน์ให้ หากเป็นผู้อื่นต้องการครอบครองอุปกรณ์ลึกล้ำ ย่อมต้องมาที่นี่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ฉินหยุนค่อนข้างชอบสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกว่าเขาควรมาเยี่ยมเยือนในภายหน้าบ่อยครั้ง กระทั่งคิดใช้เป็นสถานที่ลี้ภัย

ตำหนักจารึกเทวะใหญ่โตและทรงอำนาจอย่างลึกล้ำ แม้ว่ามีโครงสร้างพื้นฐานจากวิถีจารึก แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาคิดตั้งตัวเป็นโรงผลิตแต่อย่างใด เป็นเพียงการรวมตัวของอาจารย์จารึก รับผิดชอบหน้าที่มอบใบยืนยันฐานะแก่อาจารย์จารึกและเป็นคนกลางเท่านั้น

แน่นอนว่า ตำหนักจารึกเทวะย่อมต้องปกครองอำนาจคำสั่งต่อบรรดาอาจารย์จารึก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทรงอำนาจอย่างล้นพ้น

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตำหนักจารึกเทวะได้ดูดกลืนอาจารย์จารึกมากพรสวรรค์หลายต่อหลายคน ยิ่งมายิ่งมีแต่อำนาจเพิ่มมากขึ้น ส่วนว่าผู้ใดคือผู้ก่อตั้งตำหนักจารึกเทวะ จนถึงทุกวันนี้ยังคงเป็นปริศนา

ด้วยเหตุนี้ ภายในอาณาเขตของตำหนักจารึกเทวะ จึงไม่ต้องหวาดเกรงอันใดต่อตำหนักโทเทม

ฉินหยุนรู้สึก ว่าตำหนักจารึกเทวะนี้ สมควรเป็นขั้วอำนาจที่ยื่นขยายออกจากแดนวิญญาณอ้างว้าง

ภายในคฤหาสน์จารึก ไม่ค่อยต่างจากภายนอกมากนัก มันประกอบด้วยสวนแยกกันหลายแห่ง ที่แตกต่างกันก็คือ มีแต่อาจารย์จารึกจึงสามารถเข้ามา

สำหรับผู้อื่น จำเป็นต้องจ่ายเหรียญม่วงจำนวนมหาศาลหากคิดอยากพักอาศัยในคฤหาสน์จารึก

“คิดพักอาศัยในคฤหาสน์จารึก หนึ่งห้องราคาหนึ่งหมื่นเหรียญม่วงต่อวัน ถือว่าแพงมหาศาลยิ่งนัก!” กระทั่งจ้าวสำนักยังมองว่าราคานี้สูงจนเกินไป

แน่นอน ว่าเขามาพร้อมฉินหยุน ย่อมไม่มีค่าใช้จ่ายอันใด นอกจากนี้ยังจะได้อยู่ในบ้านน้อยที่มีแต่ในคฤหาสน์จารึก นี่ถือเป็นการดูแลผู้อยู่ใต้สังกัดที่มูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญม่วงต่อวัน

กระทั่งว่าเป็นองค์ชายหรือศิษย์ของนครราชัน ก็ยังต้องจ่ายถึงหนึ่งแสนเหรียญม่วงเพื่อเข้าสู่นครราชันจารึกแห่งนี้ อย่างไรแล้ว ก็มีแต่กลุ่มคนที่มีฐานะจึงสามารถจ่ายเหรียญม่วงจำนวนมหาศาลระดับนั้นได้

เมื่อเข้าเมืองมา คนกลุ่มนี้ย่อมคิดแสดงความแข็งแกร่งและตัวตน เป็นปกติที่จะต้องพักอาศัยในคฤหาสน์จารึก ไม่เช่นนั้น หากพวกเขาพบผู้อื่นที่รู้จักภายในเมือง การทักทายจะเป็นเรื่องชวนกระดากใจแล้ว

“เสี่ยวหยุน เจ้าร่วมทางช่างวิเศษนัก!” เขาถือตราหยกเอาไว้ในมือ มันเป็นตั๋วสำหรับใช้เข้าและออกคฤหาสน์จารึกอย่างอิสระ และตราหยกนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย

ฉินหยุนยิ้มกว้าง “จ้าวสำนักขอรับ ตำหนักโอสถของท่านดูแลย่ำแย่เพียงนั้นเลยหรือ?”

“แหงละ! พวกเขาถี่เหนียวมาก!” เว่ยจงเจิ้งเม้มริมฝีปาก “อาจารย์จารึกอย่างไรก็ดีที่สุด... นั่นก็เพราะธรณีประตูแห่งการเริ่มต้นการเป็นอาจารย์จารึก มันสูงล้ำกว่าอาจารย์แปรธาตุ!”

เว่ยจงเจิ้งเดินชมห้องโถงของบ้านพักก่อนยิ้มให้และกล่าว “ข้ามีมิตรสหายเก่าแก่ที่นี่อยู่บ้าง ขอตัวไปพบพวกเขาก่อนว่าตายจากกันไปหรือยัง ช่วงนี้เจ้าสามารถไปไหนอย่างอิสระ ภายในอาณาเขตของตำหนักจารึกเทวะ ไม่ต้องหวั่นเกรงต่อตำหนักโทเทมแต่อย่างใด!”

ฉินหยุนพยักหน้า

เว่ยจงเจิ้งออกจากคฤหาสน์จารึกไปอย่างรวดเร็ว

ฉินหยุนเดินออกจากบ้านพัก เดินเล่นเพียงลำพังในสวนหย่อมของคฤหาสน์จารึก

ส่วนสำคัญที่สุดของคฤหาสน์จารึก คือหอคอยยักษ์สูงกว่าพันเมตร สิ่งปลูกสร้างภายในสวนแห่งนี้ ไม่ต่างอะไรกับของประดับหากเทียบกับหอคอยหลัก

นอกจากนี้แล้ว ยังมีลานฝึกฝนขนาดใหญ่ทางทิศใต้ของคฤหาสน์จารึก ที่แห่งนั้นเอาไว้ประลองวิชายุทธ์หรือจัดการแข่งขันขนาดใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะ

ฉินหยุนพำนักอาศัยในบ้านพักหลังเล็กทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์จารึก

ทางปีกตะวันตก มีสิ่งปลูกสร้างหลายแห่ง ทั้งโรงเตี๊ยมและภัตตาคาร ทั้งหมดเป็นที่พัก แต่ล้วนเป็นห้องพักหรือว่าห้องชุด

ทางปีกตะวันตกถือว่าระดับด้อยกว่า ทว่าองค์ชายและองค์หญิงหลายคนก็พำนักอาศัยอยู่ทางปีกตะวันตก

ยกตัวอย่างบ้านพักหลังเล็ก ต่อให้มีผู้คิดอยากจ่ายเหรียญม่วงล้นพ้น ก็ไม่อาจพักอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องมี คือตัวตนระดับหนึ่งตามข้อกำหนดที่ต้องการ

ฉินหยุนรู้สึกว่าปีกตะวันออกแห่งนี้ค่อนข้างวังเวง จึงมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมของปีกตะวันตก คิดดื่มกินไวน์สักเหยือกหนึ่ง หาผู้คนร่วมสนทนา เพราะเขาต้องรอคอยให้ตำหนักจารึกเทวะเริ่มงานที่คิดเข้าร่วม

เมื่อมาถึงปีกตะวันตก เขาจึงได้เห็นกลุ่มชายหล่อเหลาและหญิงงดงามสวมใส่ชุดหรูหรา พวกเขาล้วนรวมตัวกันในบริเวณสวน ต่างไม่ทราบว่าทำอันใดกันอยู่

ด้วยความสงสัยบังเกิด ฉินหยุนจึงเร่งรีบเข้าไปรับชม

ที่เขาเห็น คือหญิงสาวคนหนึ่งสวมใส่ชุดสีขาวยับยู่ ทั้งยังมีผ้าคลุมปกปิดทั้งศีรษะเอาไว้

ข้างกายนาง เป็นหญิงสาวสวมใส่ชุดสีน้ำเงินหรูหรา คิ้วของนางเลิกขึ้นสูงขณะเผยความอหังการ

ข้างกายหญิงสาว ยังมีเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่มีฐานะยืนหยัดเคียงข้าง เครื่องสวมใส่พวกเขาล้วนแพงระดับไม่ต่างกัน

นอกจากนี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนถืออาวุธวิญญาณระดับราชันไว้ในมือ มองเพียงครั้งเดียวก็ทราบว่าเป็นกลุ่มศิษย์ของสำนักชื่อดัง

“ข้าทาสชั้นต่ำเอ๋ย จงรีบเงยหน้าขึ้น! อย่าได้คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้า!” หญิงสาวในชุดสีน้ำเงินตะโกนน้ำเสียงเชือดเฉือน

ฉินหยุนเมื่อได้เห็นเรื่องราว เขาพลันมีโทสะ ร่างกายแทรกผ่านฝูงชนเข้าไป

ตัวเขาขณะนี้สวมใส่หมวกคลุมและชุดคลุม ทำให้ดูเหมือนผู้ฝึกตนพเนจรอย่างไรอย่างนั้น ผู้คนเพียงมองก็พบว่าแปลก ที่บุคคลเช่นนี้คิดเข้าร่วมหาความสนุกสนานกับพวกตน

“ในคฤหาสน์จารึกเช่นนี้ พวกเจ้ากลับทำเรื่องอวดดีเพียงนี้ได้!” ฉินหยุนกล่าวน้ำเสียงลุ่มลึก

ได้ยินน้ำเสียงของเขา หญิงสาวที่นั่งยองกับพื้นกลายเป็นสั่นเทิ้ม จับผ้าคลุมศีรษะเอาไว้แน่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด

ชายในชุดสีทองก้าวเดินออกมา น้ำเสียงโพล่งดังเย็นเยือกใส่ฉินหยุน “เจ้าเล่าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาโดยไม่เกรงใจต่อหน้าองค์หญิงลำดับที่เก้าสิบสองแห่งยุทธ์ซ่ง?”

ชายอีกคนก้าวเดินออกมาพร้อมเสียงแค่นในลำคอ “เจ้าไม่ทราบหรือว่าท่านผู้นี้คือซ่งเฉินเหว่ย? เป็นองค์หญิงแห่งแคว้นยุทธ์ซ่ง และคือผู้ที่กำลังจะได้เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ!”

ฉินหยุนขมวดคิ้ว “แม้ข้าไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ข้าเคยพบเฟิงหงหลันมาก่อน นี่มีอันใดให้เทียบเปรียบนางได้? นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าการคัดเลือกโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือจะมีขึ้นทุกหนึ่งร้อยปีหรอกหรือ? เฟิงหงหลันย่อมต้องเข้าเกณฑ์นี้เช่นเดียวกัน!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เจ้าไม่ทราบหรือไร ว่าข้าทาสชั้นต่ำที่นั่งยองกับพื้นคนนี้คือเฟิงหงหลัน?” ซ่งเฉินเหว่ยหัวเราะออกเสียงดัง

ผู้อื่นเคียงข้างนาง ล้วนระเบิดเสียงหัวเราะดังออกตาม!

ฉินหยุนอึ้งไปวูบ เฟิงหงหลันแท้จริงกลายเป็นหญิงรับใช้ได้อย่างไร?

“วิญญาณยุทธ์กล้วยไม้แดงที่นางภาคภูมิเลือนหายไปแล้ว ดังนั้นนางจึงต้องมาที่นี่ รับหน้าที่ปลูกดอกไม้ ตอนนี้นางก็เป็นแค่หญิงชั้นต่ำคนหนึ่ง! สำหรับเจ้าที่เข้ามาในคฤหาสน์จารึกได้ สมควรต้องเป็นคนมีสถานะอยู่บ้างแล้วไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าไม่ทราบหรือ? ว่าเฟิงหงหลันตอนนี้หาได้มีวิญญาณยุทธ์กล้วยไม้แดงอีก ทั้งใบหน้ายังถูกทำให้เสียรูปโฉม นั่นจึงเป็นเหตุผล ว่าทำไมคฤหาสน์จารึกจึงต้องคัดเลือกสาวงามอันดับหนึ่งแห่งภูมิภาคแดนเหนือกันใหม่!”

“เฟิงหงหลันก็แค่หญิงมีโชคคนหนึ่ง จึงได้รับการขนานนามเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ทั้งที่แต่เดิมสมควรเป็นขององค์หญิงเฉินเหว่ย!”

ซ่งเฉินเหว่ยวางมือของนางเท้าสะเอว หันมองทางเฟิงหงหลันที่นั่งกับพื้น นางหัวเราะออกอย่างยินดี “เฟิงหงหลัน เหตุใดไม่เงยหน้าเจ้าขึ้นมา เพื่อที่ผู้อื่นจะได้เห็นรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ของเจ้าตอนนี้ ว่าอดีตโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือเป็นเช่นไรกัน!”

นางพอกล่าวคำจบ มือจึงยื่นออก คว้าเข้าที่เส้นผมยาวของเฟิงหงหลันอย่างไม่คิดออมแรง!

ฉินหยุนพอได้ยินคำกล่าวคนกลุ่มนี้ เขาทั้งโกรธแค้นและโศกเศร้า ภายในใจของเขาว่างเปล่าจนกระทั่งยืนนิ่ง!

เพราะเขาคาดเดาได้แล้ว ว่าเฟิงหงหลันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร มันต้องเป็นเพราะ นางโดนแสวงการล้างแค้นจากขุนเขาลึกล้ำดาบ!

“หยุด!”

ฉินหยุนตะโกนกราดเกรี้ยว คว้าเข้าที่แขนของซ่งเฉินเหว่ย กระทั่งหักกระดูกแขนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ กระนั้น เขาก็ยังเลือกที่จะตบเข้าที่ใบหน้าของซ่งเฉินเหว่ยอย่างไม่ปรานี

“กรี๊ด!”

ซ่งเฉินเหว่ยกรีดร้องพร้อมร่างกระเด็นไกลหลายสิบเมตร จนร่างปะทะกับภูเขาจำลองค่อยหยุดแน่นิ่งที่ตรงนั้น

ผู้อื่นที่นี้ล้วนอึ้ง!

นี่ก็เพราะ ถึงขั้นมีคนกล้าตบซ่งเฉินเหว่ยอย่างไม่ปรานีเพียงนี้!

“เจ้าคงเหนื่อยมีชีวิตอยู่แล้ว!” ชายหนุ่มสูงศักดิ์คนหนึ่งทะยานกายเข้ามาโดยทันที

แม้พวกเขาล้วนเป็นขอบเขตวรยุทธ์เต๋า แต่พละกำลังถือว่าอ่อนด้อยห่างไกลกว่าฉินหยุนมากนัก

เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ...

ฉินหยุนโบกมือไหววูบ ราวกับร่างเงาพาดผ่าน หลงเหลือเพียงรอยประทับฝ่ามือที่ใบหน้าผู้อื่นหลายสิบรอย และร่างตอนนี้ก็กระเด็นไปไกลแล้ว!

“องค์หญิงเฉินเหว่ย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม ไม่กล้าพุ่งเข้ามายามได้เห็นว่าฉินหยุนแข็งแกร่งเพียงใด กลับกัน เขาเลือกวิ่งไปทางภูเขาจำลองและเอ่ยถาม

เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งขึ้น คนของคฤหาสน์จารึกย่อมต้องเข้ามา นอกจากนี้ เรื่องราวยังเกิดเสียงดังขนาดดึงเอาผู้คนในภัตตาคารออกมารับชม

ฝูงชนล้วนล้อมรอบสวนรับชมเรื่องราวที่เกิดขึ้น!

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ ได้เห็นใบหน้าบวมช้ำของซ่งเฉินเหว่ยถึงกับขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรก่อปัญหาขึ้นในคฤหาสน์จารึกแห่งนี้!”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด