ตอนที่แล้วMS บทที่ 8 อาจารย์ระดับสาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMS บทที่ 10 ดาบเชือดหมู

MS บทที่ 9 ตกตะลึงครั้งใหญ่


MS บทที่ 9 ตกตะลึงครั้งใหญ่

แต่หลีมู่เองก็เคยมีประสบการณ์ต่อสู้จริงๆมาก่อน ซึ่งถ้าเขาสู้กับหม่าจุนวูตอนนี้โอกาสที่เขาจะชนะมีอยู่เพียง 70%-80% เท่านั้น

เขามั่นใจในพลังของตัวเองมาก

“จริงๆแล้วฝ่ายเฉินหนงเป็นยังไงเหรอ? พวกเขามีปรมาจารย์ระดับสูงใช่ไหม?” หลีมู่ถาม

หม่าจุนวูเริ่มคิดในแง่อื่นแล้วหลังจากที่ได้ยินคำถามนี้

เรื่องในศาลเมื่อวานแพร่กระจายไปรวดเร็วมากไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการระดับสูงในไถไป๋

หลายๆคนคิดว่าผู้พิพากษาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ และกำลังรอดูผลงานการเล่นตลกจากเขา

และการที่เด็กคนนี้ถามมาแบบนี้ นั่นหมายความว่าเขากำลังจะหาทางต่อกรกับฝ่ายเฉินหนงงั้นเหรอ?

“ฝ่ายเฉินหนงนั้นก่อตั้งมาเป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้ว จำนวนสมาชิกของฝ่ายนั้นก็มีตั้งแต่พ่อค้าสมุนไพร,ชาวนา,หมอ,นักล่า และนักเก็บสมุนไพร แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นคนธรรมดาก็ตาม แต่ก็ยังมีพวกระดับสูงอยู่บ้างเหมือนกัน,มีสองอาจารย์ในระดับปราณร่วม นั่นก็คือ ฉีคงจิ้ง,ท่านสุดยอดปรมาจารย์ กับฟานฉางอัน, ผู้ฝึกสอน เคอฉิง” หม่าจุนวูบอกข้อมูลเหล่านั้นออกมาทั้งหมด นั่นเป็นเครื่องหมายยืนยันได้อย่างดีเลยว่าเขาคือข้าราชการตูโตวแน่ๆ

นอกจากนี้เขายังพูดต่อ “ฝ่ายเฉินหนงขับเคลื่อนมณฑลนี้มากว่าหลายทศวรรษแล้ว แถมยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับพวกข้าราชการและนายทุนทั้งหลายด้วย ท่านต้องระวังตัวให้มากนัก”

เขาพูดกำชับมาแบบนั้นเพราะเขารู้ดีว่าหลีมู่จะเดินหมากตัวต่อไปอย่างไร

ขึ้นอยู่กับตัวเด็กคนนี้แล้วล่ะว่าเขาจะยอมละทิ้งหน้าที่ที่แท้จริงของผู้พิพากษาไปหรือไม่

ถึงกระนั้นหลีมู่ก็ยังมีตำแหน่งที่ต่ำของเขา เด็กคนนี้ยังหนุ่มยังแน่นแถมยังไม่มีใครคอยหนุนหลังอีก นั่นแหละคือสาเหตุหลักที่เขาไม่อยากกระทำการใดๆที่ทำให้เด็กคนนี้ต้องถึงตาย

หลีมู่ตะลึงที่ได้ยินข้อมูลพวกนั้น

ในเมื่อเป็นแบบนี้ฝ่ายเฉินหนงเองก็แข็งแกร่งเกินกว่าเขาจะรับมือได้

ถ้าเป็นงั้นแล้วเขาควรจะรอให้ฝีมือตัวเองเก่งกาจขึ้นมากกว่านี้ก่อนดีไหม? แล้วจากนั้นจึงค่อยไปจัดการกับฝ่ายเฉินหนง

แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้วมันคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแน่ๆ

หรือว่านี่จะเป็นแค่การเล่นตลกของเขาจริงๆ?

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับทหารยามที่วิ่งเข้ามาในที่ว่าการอย่างร้อนรน “ใต้เท้าขอรับ! ข้าน้อยมีข่าวร้าย ฉางหลีกับลูกสาวถูกลักพาตัวไปแล้วขอรับ ฉางหลูเองก็ถูกฆ่าด้วย... เป็นฝีมือของคนพวกนั้นขอรับ!”

“อะไรนะ?” หม่าจุนวูลุกขึ้นยืนพร้อมโกรธเกรี้ยว

หลีมู่ที่ตอนแรกยังไม่เข้าใจนัก แต่พอนึกตามไปเขาก็โกรธจัดจนเดินเข้าไปหาทหารคนนั้นและตะโกน “เจ้าว่าอะไรนะ? มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?”

“คนจากฝ่ายเฉินหนงเข้ามาบุกรุกร้านขายยาเล็กๆนั่นขอรับ” ทหารคนนี้ได้รับบาดเจ็บตอบกลับด้วยอาการตัวสั่น

เรื่องราวในตอนนี้ก็คือ ฉางหลีฉีและลูกสาวของเธอถูกนำตัวไปรักษาและได้รับการคุ้มครองจากหัวหน้าทหารนาม ฉางหลู อย่างไรก็ตามฝ่ายเฉินหนงต้องการจะป้ายสีเรื่องยาที่ไม่ได้คุณภาพให้กับฉางหลีและกล่าวโทษผู้พิพากษากากๆที่ทำให้พวกเธอต้องตาย ดังนั้นฝ่ายเฉินหนงจึงรีบไปถล่มร้านยานั่นและลักพาตัวพวกเธอไป แถมยังฆ่าฉางหลูอีก...ช่างโหดร้ายอะไรเยี่ยงนี้

“บ้าเอ้ย!”

หลีมู่โกรธจัด!

“พวกมันกล้าเรียกข้าว่าอย่างนั้นได้ยังไง? ข้าจะฆ่าไอ้พวกสารเลวนั่น!” หลีมู่คิดแบบนั้นในใจด้วยความโกรธแค้น

ณ โรงหมอประจำมณฑลไถไป๋

ประตูถูกทำลายรวมไปถึงลานกว้างเองก็พังพินาศพอๆกัน พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดที่ดังระงมไปทั่ว

แพทย์จำนวนสามในสี่คนของที่นี่ถูกทำร้ายจนสลบ บางคนเองก็ถึงกับขาหักเลือดไหลกระจาย แพทย์ฝึกหัดคนนึงเองก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขานั่งอยู่ที่หน้าประตูมองสภาพโรงหมอที่เละเทะอย่างไม่มีชิ้นดี

พวกผู้บุกรุกได้หายตัวไปแล้ว

หลีมู่และทหารของเขามาช้าไป

กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วอากาศ

ยกเว้นแค่เพียงทหารสองจากในสี่ที่หลีมู่ส่งมาคุ้มครองแม่และเด็กสาวคนนั้นได้หนีออกมารายงานเรื่องนี้ให้กับเจ้านายของเขา สองคนที่ยังอยู่ก็ถูกทำร้ายจนแขนขาหัก

ทหารผู้เก่งกาจนาม ฉางหลู คนที่หลีมู่รู้จักชื่อเพียงคนเดียว เขาถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายด้วยอุปกรณ์แหลมคมแทงทะลุหน้าอกของเขาในห้องซักประวัติ เขาตายในท่วงท่าที่โกรธแค้นโดยที่มือของเขายังกำดาบไว้แน่น เลือดกองใหญ่ไหลลงมาอยู่ใต้ร่างของเขา ดวงตาเบิกโพลงราวกับว่าเขาจะไม่ลืมเลือนในสิ่งที่เกิดขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกมี่หลีมู่ได้เห็นคนตายใกล้ชิดขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่เคยกลัว

เมื่อวันก่อนฉางหลูยังมีชีวิตอยู่แท้ พอมาวันนี้เขากลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ

หลีมู่ยกร่างของฉางหลูลงมาและขยับมือไปปิดตาของเขา

หม่าจุนวูเองก็ไม่พอใจในฝ่ายเฉินหนงมากเท่าไหร่นัก ถึงเขาจะรู้ว่าฝ่ายนั้นมักจะทำอะไรที่ไร้เหตุผลเสมอแต่ครั้งนี้พวกเขาทำเกินไป

เด็กหนุ่มพยายามสงบสติตัวเองลง

สาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงให้เวลาพวกนั้น 3 วัน นั่นก็เพราะว่าหลีมู่ต้องการจะเก็บข้อมูลต่างๆให้ได้มากที่สุด แต่พอมาในวันนี้ทุกอย่างมันก็กลับตาลปัตรไปหมด ฝ่ายเฉินหนงทำให้เรื่องนี้มันบานปลายเสียเอง

หลีมู่หยิบดาบจากมือของฉางหลู ยืนขึ้นและมองไปทางทหารของเขา “พวกเจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นฝีมือของพวกเฉินหนง?”

ทหารพวกนั้นกลัวจัดจนไม่กล้าสบตา และให้คำตอบผ่านการพยักหน้า “ข้าน้อยเห็นว่าสี่คิงคองจากฝ่ายเฉินหนงรีบบุกทะลวงเข้ามาโรงหมอพร้อมกับลูกน้องและทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ฉางหลูได้ต่อสู้เพื่อหาลู่ทางเพื่อให้ข้าน้อยหนีออกมารายงานท่าน...”

พูดถึงท่อนนี้ทหารคนนั้นก็น้ำตาไหลออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนขี้ขลาดมากแค่ไหนแต่ฉางหลูเองก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีสำหรับเขา

หลีมู่มองหม่าจุนวู “ตูโตวหม่า มีฐานที่มั่นของฝ่ายเฉินหนงในเมืองนี้หรือไม่?”

“อยู่ในเมืองนี้ขอรับ”

“ท่านคิดว่าจะสามารถนำทางข้าไปได้หรือไม่?”

“อืม...” หม่าจุนวูลังเล ผู้คนของฝ่ายเฉินหนงเองก็ประกอบไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา และส่วนใหญ่มักจะเป็นโจรถ่อย ยิ่งไปกว่านั้นที่ฐานที่มั่นของพวกมันยังมีแต่คนเหล่านั้นเต็มไปหมด ลองนึกสภาพเวลาที่พวกมันหมดความอดทนดูสิ

“ท่านไม่ต้องกลัวหรอก ท่านแค่นำทางข้าไปก็พอไม่ต้องช่วยข้าอะไรทั้งสิ้น” หลีมู่พูดเสียงเรียบ

ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่หม่าจุนวูก็สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นดั่งภูเขาไฟในใจของผู้พิพากษาหนุ่มคนนี้

“ข้าสามารถนำทางใต้เท้าได้” เขายอมใจในความกล้าหาญของหลีมู่ เขากู่ร้องออกมา “ฉางหลูเองก็เป็นทหารของข้า ข้าเองก็ต้องสั่งสอนพวกมันเสียหน่อย อย่างไรก็ตามใต้เท้าท่านไม่อาจเผชิญหน้ากับพวกมันคนเดียวได้หรอก ให้ข้าเรียกกองทหารแล้วไปพร้อมกันเถิด”

หลีมู่ส่ายหัวพร้อมด้วยสีหน้าจริงจัง “ตูโตวหม่าคิดว่าข้าสามารถคุมกองทหารเหล่านั้นได้ในไถไป๋หรือ?”

ชายไว้หนวดไม่ได้พูดอะไรต่อ

เขารู้ดีว่าทำไมนายอำเภอโชวหวูและภารโรงเตียนฉี เฉิงหลงซิง คงไม่ให้อำนาจใดๆกับหลีมู่

นั่นทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมผู้พิพากษาคนนี้ถึงมีกำลังทหารเพียงแค่ 6 นายเท่านั้น

“ไปกันเถอะ”

หลีมู่เก็บดาบเข้าฝักและเดินออกไปจากโรงหมอ

ณ บ้านของโชวหวู

ตัวเขาเองกำลังเล่นเครื่องดนตรีด้วยสีหน้าเย็นชา

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็กคนนั้นจะมีความกล้ามากขนาดบุกมาที่มั่นของฝ่ายเฉินหนงด้วยตัวคนเดียว... แม้แต่พระเจ้ายังเข้าข้างข้าเลย” เขาหัวเราะออกมาราวกับอสรพิษ

เขารู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของใครก็ตาม

ในอีกมุมหนึ่ง เฟิงหยวนซิงยิ้มและบอกว่า “ฝ่ายเฉินหนงถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างลวกๆโดยที่มีผู้กุมอำนาจคือเฉิงหลงซิง อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้หรอกว่ามีใครกำลังเป็นสายลับอยู่ในฝ่ายของเขา เฉิงหลงซิงได้ออกคำสั่งให้โจมตีโรงหมอและไม่ได้วางแผนฆ่าใครเลยซักคน แต่ท่านกลับช่วยเขาฆ่าพวกมันอย่างลับๆเสียด้วย... ฮ่าฮ่า ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว และเราก็มาดูกันเถอะว่าเฉิงหลงซิงจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”

โชวหวูยิ้มและพูด “นี่ยังไม่เรียกว่าเรื่องใหญ่หรอก”

“ท่านหมายความว่ายังไง?” เฟิงหยวนซิงยิ้มตอบกลับ

“ข้าหมายความว่าหากบังเอิญผู้พิพากษาได้ตายลงในการต่อสู้ ณ ฐานที่มั่นของเฉินหนงล่ะ นั่นจะไม่ยิ่งทำให้เฉิงหลงซิงต้องปวดหัวมากกว่านี้หรือ?” โชวหวูพูดเสียงเบา

เฟิงหยวนซิงจ้องเขาด้วยสายตาหวาดกลัว

ช่างเป็นแผนการที่โหดร้ายยิ่ง

ถ้าหลีมู่ถูกฆ่าที่นั่นมันจะทำให้สถานการณ์ของไถไป๋ต้องเปลี่ยนไป

ถึงแม้ว่าหลีมู่ที่เป็นข้าราชการระดับเก้าต้องมาตายในเงื้อมมือของพวกนั้น คงไม่ทำให้พวกฝ่ายปกครองเคลื่อนไหวหรอก ยังไงเสียพวกราชสำนักเองก็ต่ำตมเหลวแหลกไม่มีชิ้นดี ยิ่งถ้าเกิดว่าเฉิงหลงซิงถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์กับฝ่ายเฉินหนง หนทางสู่การเป็นช้าราชการระดับสูงของเขาก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ผู้พิพากษาของไถไป๋จะหันมาทำตามคำสั่งของโชวหวู

ขณะเดียวกัน

ที่พักของเฉิงหลงซิง

เฉิงหลงซิงพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี “ฮ่าฮ่า ในที่สุดเต่าหดหัวก็โผล่หน้าออกมาแล้ว ช่างคุ้มค่าแก่การรอคอยยิ่ง... แต่ทหารคนนั้นตายได้ยังไงน่ะ? ข้าไม่ได้บอกให้พวกเจ้าฆ่าคนมิใช่หรือ?”

“บางทีพวกโจรถ่อยจากเฉินหนงคงจะทำเกินกว่าเหตุขอรับ” ข้ารับใช้ของเขาอธิบายอย่างวิตก

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยพวกเจ้าก็ทำสำเร็จแล้ว ฆ่าไปซักคนจะเป็นไรไป” เฉิงหลงซิงโบกมือ

“นายท่าน ถ้าปล่อยให้ฉีกงจิ้งฆ่าคนไปก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ? เขาช่วยเราประหยัดแรงไปได้เยอะเลย”

“ไร้สาระน่า” เฉิงหลงซิงตวาด “มีใครอีกบ้างที่ไม่รู้ว่าข้ากับเฉินหนงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ถ้าเกิดว่าไอ้ผู้พิพากษานั่นดันมาตายในฝ่ายของข้าแล้วข้าจะจัดการยังไง? รู้ไหมว่าข้ากลัวว่าทั้งมณฑลกำลังให้ความสนใจกับเรื่องนี้แน่ๆ เจ้าต้องรีบไปหาตัวฉีกงจิ้งมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ห้ามให้เขาไปพบกับผู้พิพากษาคนนั้นเด็ดขาด ถ้าเขาบุกเข้ามาก็ให้คนของเราแกล้งทำเป้นว่าไม่รู้จักเขาก่อน เจ้าแค่สั่งสอนเขาให้พองามแล้วส่งไปประจานในเมืองก็พอแล้ว... หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ทำ”

“น้อมรับบัญชา นายท่าน” ข้ารับใช้คนนั้นยืนขึ้นและเดินออกไป