ตอนที่แล้วMS:บทที่ 3 หลอกล่อเพื่อสวมรอยเป็นผู้พิพากษาประจำมณฑล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMS บทที่ 5 ขี้ขลาด?

MS บทที่ 4 หลีมู่คือที่สุด


MS บทที่ 4 หลีมู่คือที่สุด

ณ ห้องของผู้พิพากษา ด้านหลังสำนักงาน

ผู้พิพากษาคนนี้ตื่นเต้นการที่จะได้เป็นเซียนมาก เขาชื่นชอบในพลังของเต๋ารวมไปถึงฝึกปรือมันด้วยตัวเองก่อนที่จะลาออกมาเพื่อไปฝึกพลังเซียนที่หุบเขาลึกในไถไป๋

และด้วยเหตุผลที่ว่ามานั้นทำให้ห้องนี้ถูกตกแต่งตามสไตล์ลิทธิเต๋าหน่อยๆ มีทั้งห้องเรียนหนังสือ,ห้องฝึกวิชา,ห้องตำรา ห้องนอนอีกหกแห่ง แถมยังมีห้องเปล่าๆและสวนต่างๆอีกมากมาย

แต่ในตอนนี้มันกลับถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจำนวนมากเนื่องจากถูกทิ้งร้างไปนาน

หลีมู่เดินเข้ามาข้างในด้วยความที่ว่าเขารู้แผนผังห้องนี้อยู่แล้ว

หมิงหยู่รีบเรียกให้คนรับใช้มาทำการเก็บกวาดพร้อมทำความสะอาดทันที

และแล้วตะวันก็ตกดิน ถึงเวลาของยามสนทยา

หลีมู่ยืนครุ่นคิดถึงบางสิ่งที่หน้ากระจกในห้องนอน

สิ่งที่เขาเห็นในวันนี้ยืนยันในสิ่งที่ตาเฒ่านั่นพูดได้เป็นอย่างดี นั่นหมายความว่าโลกนี้กำลังจะถึงกาลอวสาน และด้วยเหตุผลอย่างนั้นมันทำให้เขาสามารถทำลายบาเรียของดาวดวงนี้เพื่อเก็บเอาพลังเชียนเถียนและมวยเจิ้งหวู่ได้ภายในเวลาไม่เกิน 20 ปีแน่ๆ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสามารถเข้าสู่กลุ่มดาวและเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกได้

เพื่อน,คนรู้จัก,ตาเฒ่า แม้แต่หมาของเขา ทุกคนล้วนอยู่บนโลก รวมไปถึงหญิงสาวที่เขาแอบรักเองก็เช่นกัน พวกเขาทำให้หลีมู่มีกำลังใจที่จะปกป้องโลกใบเดิมให้คงอยู่ต่อไป

“ความหวังอยู่ที่พลังเชียนเถียนและมวยเจิ้งหวู่แล้วสินะ”

และแล้วหลีมู่ก็เข้าใจอะไรขึ้นเรื่อยๆ

ตาเฒ่านั่นใช้เวลา 14 ปีในการสอนทุกสิ่งอย่างให้กับเขา ตั้งแต่การจับผี,จดบันทึก,ดูโชคลาง และพลังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกลายภาพหรือเวทย์มนต์ รวมไปถึงอะไรต่างๆอีกมากมายเหลือเกินจะจำไหว ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมทั้งนั้น

สิ่งที่ตาเฒ่านั่นสนใจก็คือมวยเจิ้งหวู่และพลังเชียนเถียนมากกว่า เขาเคยพูดไว้ว่าถ้าหลีมู่มีพลังเทียบเท่าสองสิ่งนั้นมันจะทำให้เขาสามารถสังหารได้แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มดาว

ชายหนุ่มคิดว่าตาเฒ่านั่นน่าจะเล่นลิ้นกับเขา แต่ความจริงแล้วไม่เป็นอย่างนั้น

“ฉันมีพลังที่ไม่จำกัดแล้ว น่าจะเป็นเพราะว่าได้จากฝึกพลังเชียนเถียนบนโลก”

หลีมู่นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาฆ่าคนจากฝ่ายจันทราโลหิตเมื่อคืนที่ผ่านมา

เพราะบนโลกไม่มีพลังปราณ จึงทำให้เขาไม่สามารถฝึกพลังเชียนเถียนบนโลกได้ อย่างไรก็ตามหลีมู่ก็ยังมีพื้นฐานพลังตลอดการฝึก 14 ปีที่ผ่านมานี้ และปีที่ 14 ครั้งนี้เขาก็ได้ใช้พลังนั่นในการเดินทางไปยังดาวดวงอื่น ทุกครั้งที่เขาหายใจเขาสัมผัสได้ถึงอากาศที่อ่อนหวานและความสวยงามที่ล้ำค่า นี่สินะสิ่งที่เรียกว่าพลังปราณ?

ด้วยพลังนั่นทำให้หลีมู่กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน แม้เขาจะพยายามหาทางอยู่นานแสนนานเมื่อคืนแต่ก็ไม่รู้ได้อยู่ดีว่าตัวเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

และความรู้สึกนี้เองเขาก็เพิ่งสัมผัสได้หลังจากที่เขามายังดาวดวงนี้เพียงวันเดียว

เขาจะเก่งขึ้นขนาดไหนกันนะถ้าเขาอยู่ฝึกวิชาที่ดาวดวงนี้?

แค่คิดหลีมู่ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว

“พลังเชียนเถียน,มวยเจิ้งหวู่...”

เขายืนอยู่ตรงกลางห้องและเริ่มใช้มวยเจิ้งหวู่

มีด้วยกันทั้ง 18 ท่าในวิชานั้น

และทุกท่านั้นไม่ได้ยากแก่การเรียนรู้ซักเท่าไหร่

หลีมู่เรียนรู้ทุกกระบวนท่านั่นตั้งแต่บนโลกแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น เขานึกว่ามันคือวิชายิมนาสติกของเด็กมัธยมต้นด้วยซ้ำ ชายหนุ่มคุ้นชินกับมันมาเป็นเวลา 14 ปีและเขาก็หวังว่าจะทำให้มันแข็งแกร่งกว่านี้ได้อีก เขาหลับตาลง

ทันใดนั้นหลีมู่ก็รู้สึกได้ถึงความประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่

เขาไม่สามารถใช้กระบวนท่ายกหอกได้ เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีเข็มนับร้อยพันกำลังทิ่มแทงเข้าไปในกล้ามเนื้อของเขา

ชายหนุ่มกรีดร้องออกมา ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ

“มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?”

มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? เขาควรจะฝึกมวยเจิ้งหวู่บนดาวดวงนี้ได้ไม่ใช่เหรอ?

หลีมู่พยายามใช้กระบวนท่านั่นอีกรอบอย่างไม่หยุดพัก

และทุกครั้งเขาก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดหลังจากที่ใช้กระบวนท่านั้นเป็นเวลา 3 ถึง 4 วินาที เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้า เขาร้องออกมาก่อนที่จะทรุดตัวลงนอนกับพื้น

ถ้าหากเขาไม่สามารถใช้กระบวนท่ายกหอกได้ ก็อย่าได้หวังถึงกระบวนท่าที่ขั้นสูงกว่านี้เลย

หลีมู่นอนหายใจอิดโรยอยู่บนพื้นอิฐสีเขียว หน้าอกของเขากระเพื่อมอย่างแรง

เขารีบคิดหาคำตอบของเรื่องเหล่านี้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น

ทันใดนั้นอาการเจ็บปวดบนร่างกายของชายหนุ่มก็หายเป็นปลิดทิ้ง ความรู้สึกอบอุ่นไหลไปทั่วร่างราวกับว่าเขากำลังนอนแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อน

หลีมู่สปริงตัวขึ้นมาดั่งปลาคาร์ฟผุดขึ้นจากบ่อ

เขาขยับแขนขาทดสอบร่างกายและพบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับว่าความเจ็บปวดก่อนหน้านี้คือภาพลวงหลอกตา

“โอ้?” ชายหนุ่มพึมพำด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นรอยประหลาดสีดำบนร่างกายของเขา เมื่อจ้องมองมันอย่างละเอียดเขาก็พบว่ามันคือดินที่มีเนื้อเดียวกับที่เอาไว้ใช้มาสก์หน้าเพื่อความสวยงามของพวกผู้หญิง และตอนนี้มันปรากฎไปทั่วร่างของเขา

“นี่มันเกี่ยวกับร่างกายที่เปลี่ยนไปของฉันรึเปล่าเนี่ย?

และเขาก็เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความตื่นเต้นทันที

บนดาวดวงนี้มีพลังปราณหลั่งไหลอยู่เต็มไปหมด มันเสริมพลังให้กับมวยเจิ้งหวู่และยกระดับกระบวนท่าทุกชนิดที่มี ซึ่งทำให้การฝึกนั้นมีผลข้างเคียงอย่างการเจ็บปวดที่ผ่านมา

นี่แหละคือพลังหมัดเซียนของแท้เลย

แล้วถ้าพูดถึงพลังเชียนเถียนล่ะ? ในเมื่อมวยเจิ้งหวู่ยังทรงพลังได้ขนาดนี้?

หลีมู่ตื่นเต้นมากจนลืมทำความสะอาดร่างกายของเขาและรีบลองฝึกพลังเชียนเถียนดู เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดแล้วจากนั้นจึงหายใจด้วยทวงท่าที่ประหลาด

พลังเชียนเถียนนั้นเหมือนกับพลังในการหายใจ

ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้าออก สัมผัสแห่งความแตกต่างที่ไม่สามารถหาได้บนโลกของเขาก็ปรากฎขึ้น

แสงจันทร์สาดส่องมาที่ตัวเขาจนเรืองแสงสีเงินราวกับภาพในความฝัน

ตำนานได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!!

ในขณะเดียวกัน

กลางคืนก็ได้มาเยือน

ข้าราชการกลุ่มใหญ่ก็ได้มารวมตัวกันที่บ้านของ โชวหวู อัครมหาเสนาบดีแห่งไถไป๋

นอกจาก เฉิงหลงซิง ที่มีอำนาจในการคุมกองทัพทหารแล้ว ข้าราชการทุกระดับต่างก็มาที่บ้านของเขา

“ราชสำนักช่างไม่ยุติธรรมเลย โชวเฉียนเฉิงที่ทำงานให้กับไถไป๋มานานกว่าหนึ่งปี เขาควรจะได้รับการเลื่อนขั้นเป้นผู้พิพากษาณ์จากเจ้าสิ แต่มันกลับถูกฉกชิงไปได้อย่างง่ายดายเพราะเด็กหนุ่มนักปราชญ์เพียงคนเดียว ทำไมเขาถึงอยู่เหนือกว่าเจ้าได้?!” ข้าราชการคนหนึ่งพูดเสียงดัง

“แน่นอนว่าวันนี้ข้าได้จับตามองมาแล้วทั้งวัน เขาช่างไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่น้อย บริหารจัดการมณฑลยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย”

“เอาเถอะ อย่างไรก็แล้วแต่ข้าจะขอติดตามท่านเท่านั้น ท่านโชว”

ข้าราชการทั้งหลายรีบเข้ามาประจบประแจงกันยกใหญ่

โชวหวูในชุดสีดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขาพร้อมด้วยถ้วยใส่ไวน์พร้อมกับรอยยิ้ม เขามองไปที่ผู้คนเหล่านั้นด้วยความเงียบสงบ

ตระกูลโชวคือหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งมณฑลไถไป๋ และโชวหวูคือผู้นำตระกูลในตอนนี้พร้อมด้วยนิสัยที่สุดแสนจะสารเลว

เมื่อหนึ่งปีก่อน ผู้พิพากษาไถไป๋ได้ลาออกทำให้ตำแหน่งว่างเปล่า โชวหวูที่ได้เคยดูแลบ้านเมืองนี้มาก่อนจึงได้เริ่มสนใจ และคาดหวังว่าจะได้เป็นผู้พิพากษาของมณฑลนี้แน่ๆ

แต่แล้วความฝันนั้นก็พังทลายลงด้วยเด็กหนุ่มจากที่ไหนก็ไม่รู้

โชวหวูไม่พอใจสุดๆ แต่เขาก็ไม่อาจแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาได้ ไม่เช่นนั้นภาพพจน์ที่เขาสั่งสมมามันอาจจะเสียหาย

ในเวลานี้ เฟิงหยวนซิง ราชฑูตที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดได้วางถ้วยไวน์ในมือลง เขายิ้มออกมาและพูดขึ้น “ทุกท่านโปรดใจเย็นก่อน ข้าเห็นเขามาในวันนี้ เขาแค่พยายามทำตัวให้เป็นปกติ นอกจากนี้แล้วเขาดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากตระกูลชนชั้นสูงใดๆเลย พวกท่านไม่ต้องคิดมากหรอก ดั่งที่โบราณว่าไว้ มังกรที่แข็งแกร่งย่อมไม่มีทางถูกปราบได้ หลีมู่ไม่ใช่แม้แต่มังกร เป็นเพียงแค่เห็บหมัด ตราบใดที่พวกเราทั้งหมดร่วมมือกัน อำนาจทั้งหมดในการดูแลมณฑลไถไป๋ก็จะคงอยู่ในมือของท่านโชวหวูตลอดไป”

ในบรรดาข้าราชการทุกระดับ ราชฑูตเฟิงหยวนซิง เทียบกับโชวหวูแล้วเขาคือหนึ่งในสามผู้พิพากษาอันยิ่งใหญ่ของมณฑลนี้ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้มาจากตระกูลชนชั้นสูง เขาไม่มีใครให้พึ่งพาในราชสำนักแห่งนี้เลย ดังนั้นเขาถึงจำเป็นต้องเกาะติดไปกับโชวหวูไปก่อน แถมเขายังวางตัวเองให้ดูเป็นผู้ใต้บัญชาที่ไม่แสวงในอำนาจอีกด้วย

“ฮ่าฮ่า ชนแก้ว! ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือจากพวกท่านนะ” โชวหวูที่ได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มก็เริ่มปรากฎบนใบหน้าของเขา เขาหัวเราะออกมาอย่างเปรมสุข

ทั้งหมดร่วมกันสังสรรค์ในห้องโถงหลักแห่งนี้

ณ บ้านของผู้ดูแลความปลอดภัย

เฉิงหลงซิงหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของไถไป๋ กำลังมองอยู่ในซอกหลืบลึกลับ

อัศวินในชุดสีดำกำลังคุกเข่าตรงหน้าเขาแล้วจึงพูด “สวัสดียามเย็นนายท่าน ตามข่าวที่ข้าได้ยินมาจากภายใน หลีมู่นั้นคือ ผู้ใช้วรยุทธ์ที่มีฝีมือพอตัว เขาได้ฆ่าสองพี่น้องจากกองกำลังผสมได้ด้วยกลเล็กน้อยๆ... ภารกิจลอบสังหารครั้งนี้ล้มหลว”

...