ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMS:บทที่ 1 ผิดคน

อารัมภบท


อารัมภบท

นั่งลงไปที่ชายป่าอายุพันปีใกล้กับเทือกเขาชิงหลิง หมู่บ้านเหรินเติ้งซีตั้งอยู่ในพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยยอดเขามากมาย มีลำธารเดือดพล่านไหลผ่าน และอุดมไปด้วยพืชพรรณที่เขียวขจีโดยรอบ ทัศณียภาพที่งดงามเหล่านี้ผสมผสานเข้ากับผู้คนที่อยู่อาศัยอย่างเรียบง่าย นั่นทำให้หมู่บ้านนี้ราวเป็นกับสรวงสวรรค์ก็มิปาน มันเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดชางซีอยู่ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัดเหรินเติ้ง วัดที่มีประวัติศาสตร์การสร้างมายาวนานตั้งแต่ช่วงระหว่างราชวงศ์ทางตอนเหนือและราชวงศ์ทางตอนใต้

มันเป็นช่วงกลางฤดูร้อน และดวงตะวันลอยอยู่เหนือหมู่บ้านเหรินเติ้งซีพอดิบพอดี

เด็กหนุ่มร่างผอมบางคิ้วหนาตาโตกำลังเคี้ยวก้านฟางพลางร้องเพลงไปด้วยขณะเดินออกจากโรงฆ่าสัตว์หนึ่งเดียวของหมู่บ้าน กลิ่นคาวเลือดเล็กน้อยบนตัวของเขาเกิดจากการที่เขาเพิ่งจะฆ่าหมูไป และในมือของเขาก็ถือตะกร้าที่บรรจุตับหมูไว้ด้วย

เขาชื่อ หลี่ มู่ เป็นเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี

หลี่มู่เพิ่งจบชั้นมัธยมต้นมาไม่นาน และเขาได้อันดับ 1 ในการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่ผ่านมานี้

หลี่มู่เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีครอบครัวอยู่เลย เขาถูกเลี้ยงดูโดยเจ้าอาวาสในวัดโบราณเหรินเติ้งตั้งแต่ยังเด็ก อย่างไรก็ตาม คนที่เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เด็กนั้นหาใช่พระโดยแท้จริงไม่ หากแต่เป็นตาเฒ่าขี้โกงที่มาจากบ้านนอกต่างหาก

หลี่มู่และตาเฒ่าอาศัยอยู่ด้วยกันภายในวัดโบราณที่พังลงมา

เมื่อหลี่มู่ไม่ได้ไปโรงเรียน เขามักจะนั่งอยู่ภายในวัด ดูพระพุทธรูปเก่าแก่และดื่มน้ำจากน้ำพุภูเขา ตัวเขาเองเป็นที่รักใคร่จากเหล่าคนในหมู่บ้าน นั่นก็เพราะว่ารูปลักษณ์ของเขานั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วที่หนา ตาคู่โต และรอยยิ้มที่ดูแล้วสดใส รวมไปถึงความแข็งแกร่งจากภายในที่มาพร้อมรอยยิ้มนั้นด้วย

นอกจากนั้นตาเฒ่าขี้โกงเองก็ยังเป็นที่เคารพในหมู่บ้านเหรินเติ้งซีเสียด้วย นั่นทำให้พวกเขามักจะดื่มและกันกับเหล่าชาวบ้านบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ทำให้หลี่มู่เติบโตและเป็นที่รู้จักมากในหมู่บ้านแห่งนี้

เมื่อเขาอายุ 10 ขวบ หลี่มู่ถูกตาเฒ่าขี้โกงบังคับให้ฆ่าหมูเป็นงานเสริม

ตาเฒ่าบอกหลี่มู่ว่า มันเป็นสิ่งที่มีมีประโยชน์สำหรับเขา เพื่อฝึกฝนจิตวิญญาณแห่งการฆ่าฟันที่อยู่ภายในตัว

และเมื่อหลี่มู่คิดถึงสิ่งนี้เมื่อไหร่ เขาก็มักจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยอยู่เสมอ

“ผมเป็นแค่นักเรียน ม.ต้น ทำไมผมต้องการจิตวิญญาณอะไรนั่นกันนะ? แล้วถ้ามันเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนจิตวิญญาณแห่งการฆ่าฟันจริงๆ งั้นลุงฉินที่เป็นคนฆ่าหมู ไม่กลายเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬไปแล้วเหรอ… หึ ตาเฒ่าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

หลี่มู่ได้ฆ่าหมูไปกว่า 100 ตัวใน 4 ปี เขารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แย่มากที่มือทั้งสองของเขาต้องเปียกโชกไปด้วยเลือดปริมาณมาก

“โฮ่ง! โฮ่ง โฮ่ง!”

สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้สีขาวดำอันมีตาสองสีเป็นเอกลักษณ์ มันเดินตามเขามาตลอด ตัวของเจ้าหมานั้นทั้งใหญ่และสวยงาม

หลี่มู่เรียกมันว่า แม่ทัพ

แม่ทัพของเหล่าสุนัข

หลี่มู่เจอสุนัขตัวนี้อยู่ที่ประตูโรงเรียนเมื่อ 3 ปีก่อน และในเวลานั้น มันยังคงเป็นเพียงลูกหมาตัวเล็กที่ถูกทิ้งอยู่ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ก็คงได้อดตายแน่ๆ

หลี่มู่นำมันกลับมาที่วัดและเริ่มชุบเลี้ยงมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากนั้น 3 ปี เจ้าฮัสกี้ตัวนี้เติบโตขึ้นจนสูงใหญ่เหมือนวัวตัวเมียและแข็งแรงเหมือนวัวตัวผู้ มันทำตัวเหมือนเป็นจ่าฝูงของเหล่าสุนัขภายในหมู่บ้านเหรินเติ้งซี และมันมักจะพาสุนัขตัวอื่นๆเข้าไปเห่าหอนกันในภูเขาและป่าลึกเพื่อที่จะแกล้งให้เหล่าไก่และเป็ดกระพือขนบินข้ามหมู่บ้านไปให้เห็นเป็นภาพชินตา

สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าฮัสกี้ตัวนี้ไม่ถูกเชือดและจับทำหม้อไฟโดยชาวบ้าน นั่นคงเป็นเพราะหลี่มู่และตาเฒ่าเป็นที่รักของหมู่บ้านนั้นแหละ

“โฮ่ง” เจ้าแม่ทัพจ้องเขม็งไปยังตับหมูที่ถูกมัดด้วยเชือกฟางในมือของหลี่มู่พร้อมกับน้ำลายไหลเยิ้มไปหมด มันมักจะตามเขาอยู่ตลอดพร้อมทั้งเอาตัวเองเข้าถูแข้งถูขาคอยประจบเขาอย่างไม่ห่าง

มันเป็นเวลากว่า 20 นาทีที่เดินออกจากโรงฆ่าสัตว์ไปยังวัดโบราณ

ทัศณียภาพรอบๆตัวระหว่างทางเดินนั้นยังคงงดงาม ดวงตะวันที่ลอยเด่นฟ้านั้นในวันนี้สวยงามเหมือนเหรียญทองเลย

และเมื่อหลี่มู่พบเจอกับเหล่าชาวบ้านที่เพิ่งกลับจากการไปทำงานที่สวน เขาก็ไม่พลาดที่จะทักทายด้วยความร้อนแรงของวัยหนุ่ม

คุณลุงและคุณป้าในหมู่บ้าน ต้อนรับหลี่มู่เป็นอย่างดีตั้งแต่เขายังเด็ก พวกเขาเลี้ยงดูเด็กหนุ่มคนนี้ราวกับเป็นลูกแท้ๆของตนเอง

นั่นทำให้เมื่อเขาเห็นท่าทีที่กระตือรือร้นของหลี่มู่ เขาก็จะตอบรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นไม่แพ้กัน

เมื่อหลี่มู่และเจ้าแม่ทัพเดินหายวับไป ชาวบ้านบางคนก็ได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ

“เฮ้อ ดูสิเป็นอะไรที่น่าสงสารจังน้า หลี่มู่เป็นนักเรียนที่ดีที่สุดของหมู่บ้านเราแท้ๆ แถมยังสอบได้ที่ 1 ในการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอีก ทำไมอาจารย์หลี่ถึงไม่ยอมให้เขาเรียนต่อนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“ฉันได้ยินมาว่า มีอาจารย์ใหญ่จากโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดในเมืองเข้ามายังวัดเหรินเติ้งด้วยตัวเองเลยนะ เขาอยากให้เด็กคนนั้นได้เรียนในโรงเรียนของเขาแบบฟรีๆหรือแม้จะให้หลี่มู่ได้อยู่ชั้นเย่อหลินโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อเดือน...แต่ก็นะ อาจารย์หลี่ปฏิเสธข้อเสนอพวกนั้นหมดเลย”

“ฉันคิดว่าอาจารย์หลี่คงอยากจะให้หลี่มู่สืบทอดทักษะของเขาแน่ๆ”

“ฉันไม่เห็นว่าทักษะการพยากรณ์ รักษาสุขภาพด้วยลมปราณ ขับไล่ปีศาจ หรือจับผีจะเป็นประโยชน์กับสังคมสมัยนี้ตรงไหนเลย และฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเด็กหนุ่มที่จะต้องมาเรียนรู้อะไรพวกนี้ด้วย อาจารย์หลี่เก่งเรื่องพวกนี้ก็จริงนะ แต่ก็มีบางคนพูดแหละว่าเขาน่าจะมีอาการป่วยทางจิตอยู่ และมันคงไม่ดีถ้าเขาเกิดคุ้มคลั่งแล้วทำร้ายใครขึ้นมา หลี่มู่เนี่ย น่าสงสารตั้งแต่ที่ถูกเขาเก็บมาเลี้ยงแล้วแหละ”

พวกเขายังคงพูดกันต่อไป

“สวัสดีตาเฒ่า ผมกลับมาแล้ว”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆออกมาจากตาเฒ่าจอมขี้โกงที่แสดงออกถึงการมีตัวตนอยู่ในบ้านตามปกติ

หลี่มู่เดินตรงเข้าไปยังห้องครัว

เขาเก็บตับหมูที่เอามาด้วยไว้ในเหยือกหลังจากเข้าไปแล้ว เพื่อที่เจ้าแม่ทัพจะได้ไม่กินมัน หลังจากนั้นก็ซดน้ำเข้าไปอึกใหญ่ให้ชุ่มคอ

เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว เขาจึงเริ่มฝึกซ้อมในพื้นที่โล่งของตัววัด

มันคือ มวยเจิ้งหวู่

กับศิลปะการต่อสู้แบบเชียนเทียน

และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ตาเฒ่าคอยสั่งคอยสอนให้แก่เขา

เมื่อหลี่มู่เริ่มที่จะเดินได้ เขาถูกตาเฒ่าบังคับให้ฝึกทักษะเหล่านี้ มวยเจิ้งหวู่ คือฝีมือและกลยุทธิ์ ในขณะที่ เซียนเทียน คือรูปแบบในการหายใจ เขาถูกฝึกฝนสิ่งเหล่านี้มาตลอด 11 ปี และในตอนนี้ เขาก็ยังคงฝึกทุกๆ 1 ชั่วโมงในตอนเช้า และช่วงเที่ยง

ตามที่ตาเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ได้พูดไว้ มวยเจิ้งหวู่สืบทอดมาจากเซียน เราสามารถสั่นภูผาและทลายเหล่าหินกล้าได้เมื่อเรียนรู้ครบทั้ง 18 กระบวนท่าของมวยเจิ้งหวู่ หรือเพียงแค่ได้เรียนรู้นิดหน่อย ก็มากพอที่จะทำให้รถหุ้มเกราะสั่นสะท้านได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม 12 ขั้นของทักษะเซียนเทียนนั้นก็ย่อมมีพลังมากกว่า ตั้งแต่ที่มันสามารถปรับสมรรถนทางกายภาพให้แก่ผู้ฝึกฝน โดยจัดการกระดูกและเสริมสร้างกล้ามเนื้อใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อใครก็ตามที่สามารถบรรลุถึงขั้นแก่นแท้ของมัน ผู้นั้นสามารถลอยล่องไปในอากาศราวกับเป็นเซียนได้เลยทีเดียว

แต่...หลี่มู่ไม่สามารถใช้มวยเจิ้งหวู่ทำให้ไม้สั่นสะเทือนได้ด้วยซ้ำแม้เขาจะฝึกมาตลาด 11 ปีแล้วก็ตาม มันเพียงแค่เพิ่มความจุให้แก่ปอดเขาเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนั้นตัวเขาเองก็ยังหาไม่พบเช่นกัน

และตาเฒ่าก็มีคำอธิบายในแบบของเขาเองสำหรับเรื่องนี้เสียด้วย

ตามที่ตาเฒ่าได้พูดไว้ โลกของเรากำลังอยู่ในยุคสิ้นกำลัง ดังสิ่งที่เห็นได้จากในตอนนี้คือ พลังงานของโลกและสวรรค์กำลังอ่อนล้าเฉกเช่นจิตวิญญาณลมปราณในห้วงอากาศ นี่ไม่ใช่สภาวะที่เหมาะแก่การฝึก และมันคือสาเหตุว่าทำไมเขาไม่สามารถฝึกฝนให้หลี่มู่บรรลุทักษะทั้งสองได้ด้วยวิธีที่ทำอยู่นี้

เป็นตาแก่ที่หาข้อแก้ตัวได้เก่งอะไรขนาดนี้กันนะ?

เจ้าคนขี้โกหก!

หลี่มู่ไม่สนใจแม้แต่จะเรียกตาเฒ่าขี้โกหกนั่นด้วยซ้ำ

เขายังคงรู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขายังคงต้องถูกบังคับให้ฝึกในสิ่งเหล่านี้ต่อไป แม้คำพูดของตาเฒ่าเองจะหมายถึง ‘มันไม่มีทางที่จะฝึกสำเร็จบนโลกแน่ๆ’ ก็ตาม

หลี่มู่พยายามต่อต้านการฝึกนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่เขาอายุประมาณ 5-6 ขวบ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงต้องฝึกฝนต่อไปภายใต้รอยน้ำตา หลังจากที่ตาเฒ่านั้นชนะเขาได้ด้วยกิ่งไม้ เมื่อเขาโตขึ้น ตาเฒ่าก็เริ่มใช้วิธีที่อ่อนลงหลังจากที่เขาไม่สามารถเอาชนะหลี่มู่ได้

เมื่อพละกำลังไม่สามารถล้มเจ้าเด็กนี่ได้ เขาจึงยอมใช้วิธีที่จะแกล้งคุ้มคลั่งจนพูดไม่รู้เรื่องก่อนจะแก้ผ้าวิ่งพล่านหากหลี่มู่ไม่ยอมทำตามที่เขาแนะนำ ทุกอย่างเป็นไปดั่งกลอุบาย แผนล่อหมูกลับเข้าเล้าประสบผลสำเร็จ

ในตอนนี้ หลี่มู่โตพอที่จะใช้การได้แล้ว

เขายกย่องวิธีเหล่านั้นว่าเป็นผลดีที่ทำให้ร่างกายและสุขภาพของหลี่มู่ดีขึ้น

หลังจากการฝึกฝนช่วงเย็น หลี่มู่กลับไปยังหน้าประตูของห้องฝึกสมาธิที่อยู่ในสวนด้านหลัง เขาคลายเสื้อผ้าที่เอวลงเพื่อผ่อนคลาย

“แล้วเย็นนี้จะกินอะไรล่ะตาเฒ่า? ผมฝึกฝนเสร็จแล้ว เรามีตับหมูที่ได้มาจากโรงฆ่าสัตว์อยู่ จะกินเป็นบะหมีซุปฟักกับตับหมูของโปรดตาหรือเปล่า?” หลี่มู่ถูกบังคับให้ทำอาหารโดยตาเฒ่าตัวแสบตั้งแต่ 6 ขวบ

“วันนี้เป็นวันสำคัญ ไม่ต้องรีบร้อนทำอาหารนักก็ได้ ให้ข้าได้บอกเรื่องสำคัญมากๆกับเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เสียงที่ไม่คุ้นหูและฟังดูซีเรียสนั้นดังขึ้นมาจากด้านหลังม่านของห้องฝึกสมาธิ

“วันสำคัญอะไรน่ะ?” หลี่มู่คิดไปเรื่อยพร้อมทั้งเกาหัวไปพลาง มันเป็นวันที่ 14 เดือนกรกฏาคมปี 2017 วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ไม่ใช่วันไหว้พระจันทร์ หรือแม้แต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาก็ไม่ใช่ แล้วมันวันสำคัญอะไรกันนะ…

“นั่งลงไปตรงหน้าประตูนั่นแหละ แล้วฟังข้าดีๆ” มันเป็นเรื่องหายากที่จู่ๆตาเฒ่าจอมลวงโลกนี่จะจริงจัง ทั้งๆที่ปกติเนื้อแท้จะเป็นพวกหยาบคายเหมือนทรายบนหาดแท้ๆ “เอาล่ะ ฟังอย่างตั้งใจ ห้ามขัดจังหวะข้าจนกว่าข้าจะพูดจบ”

“โอ้? เข้าใจแล้ว” หลี่มู่เก็บความสงสัยของเขาไว้และนั่งขัดสมาธิลงไปที่หน้าประตูแต่โดยดี

เขารู้สึกไม่ดีเลย

ทุกครั้งที่ตาเฒ่านี่พูดว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น นั่นคือเวลาเขาเริ่มจะคุ้มคลั่ง

แต่ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ก็ได้…

“นี่คือสิ่งนั้น มีการสร้างอาร์เรย์ขนส่งขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ บนกลุ่มดาวซี่เหว่ย ดวงดาวที่เหล่าสุดยอดสำนักวิชาศิลปะการต่อสู้ตั้งอยู่ ไกลออกไปจากระบบสุริยะ และนั่นเอื้ออำนวนให้พวกเขาสามารถพัฒนาส่วนใต้ของกาแล็คซี่ได้

อย่างไรก็ตาม ชีพจรของพลังเซียนที่อยู่โครงสร้างของโลกนี้กำลังจะจากไป และโลกกำลังจะถูกทำลาย ข้าต้องพาเจ้าออกไปให้ไกลจากโลกแต่ก่อนเจ้าจะไป ข้ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องรีบบอกเพื่อให้เจ้าเอาไปใช้ชีวิตที่นั่นได้...”

“อ---อะไรนะ??”

หลี่มู่อึ้งไปเลย

“โลกจะถูกทำลายเหรอ?”

“กลุ่มดาวซี่เหว่ย?”

“สุดยอดสำนักวิชาศิลปะการต่อสู้?”

เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย ตาเฒ่านี่เพ้อเจ้ออีกแล้ว

และชัดเจน เรื่องที่พูดนี่หาสาระอะไรไม่ได้เลย

บางที ตาเฒ่านี่คงจะพูดต่อว่า นั่นเป็นเอเลี่ยนจากระบบ 5 ดวงดาวภายในทางช้างเผือกที่จะมาบุกโลกและจับสมบัติของชาติอย่างแพนด้ายักษ์ไปก็ได้…

“โอเค ตาแก่ หยุดได้แล้ว โอเคนะ? ผมคิดว่าเราควรจะวางปัญหาโลกแตกนั่นไว้ข้างๆก่อนก็ดี สุขภาพของตาสำคัญกว่านะ หรือบางทีตาอาจจะเป็นไข้ ถ้ายังไงให้ผมส่งตาไปโรงพยาบาลก่อนไหม?” หลี่มู่พยายามทำน้ำเสียงให้ฟังดูจริงใจเหมือนคำพูดที่ออกมาจากใจจริง(มั้งนะ)

ยึดตามประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย หลี่มู่พอจะจับทางได้แล้วว่าควรจะยอมรับในสิ่งที่ตาแก่นี่พูดซึ่งมันจะได้เป็นผลดีกับเขามากกว่าปล่อยให้กลายเป็นคนคลั่งหากไม่ยอมเห็นด้วย

ปั้ก!

รองเท้าแตะลอยออกมาจากในห้องทำสมาธิและตีเข้าที่หน้าของหลี่มู่ทันที

“เจ้าบ้านี่! ก็บอกว่าอย่าเพิ่งขัดไง ปั๊ดโธ่! อาร์เรย์นั่นถูกส่งออกไปแล้ว และมันมีเวลาจำกัด เจ้าจะพูดไร้สาระให้ข้าโกรธไปทำไม? แค่นั่งเงียบๆแล้วก็ฟังอย่างตั้งใจก็พอแล้ว ให้ตายเถอะ ข้าไม่ได้ป่วย เจ้าน่ะมีมุมมองและประสบการณ์เท่าหางอึ่ง เพราะงั้น….หุบปาก!”

หลี่มู่ไม่สามารถขำหรือร้องไห้ได้ขณะที่เช็ดรอยรองเท้าที่ประทับบนหน้าผากได้

ตาแก่นี่คงจะเพ้อหนักมากจริงๆวันนี้ ถึงขนาดโกรธจัดแถมยังพูดอังกฤษอัดด้วย

“เข้าใจแล้วๆ ใจเย็นก่อนนะ ตาพูดต่อเลยผมจะไม่ขัดแล้ว...” หลี่มู่พูด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตาเฒ่าจึงสูดหายใจไปฟอดใหญ่แล้วจึงพูดต่อ

“ทุกๆคนรู้ว่ากองกำลังสุดยอดศิลปะการต่อสู้จากกลุ่มดาวซี่เหว่ยเหล่านั้นเลวร้ายมาก การทำลายล้างโลกเป็นข้อแลกเปลี่ยนเดียวที่จะใช้ต่อรองกับความคิดเห็นของประชาชนในกลุ่มดาวซีเหว่ย แต่ข่าวดีก็คือ การส่งเคลื่อนพลขนาดใหญ่นั้นต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปีตามที่คำนวน….

ข้าจะส่งเจ้าไปยังดวงดาวที่มีระดับวรยุทธ์ต่ำ หนทางนี้จะเอื้อให้เจ้าสามารถหลบซ่อนได้ และอาจจะทำให้เจ้าได้บรรลุถึงมวยเจิ้งหวู่ระดับสูงกับทักษะเซียนเทียนใน 20 ปีด้วย นั่นหมายถึง เจ้าอาจจะได้รับพลังที่จะทำลายบาร์เรียร์ของดาวดวงนั้นและหาวิธีที่จะช่วยโลกได้”

“โอ้...มันฟังดูดีนะ ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะตา ผมจะฝึกวิชาสุดอัศจรรย์ที่ตาส่งมอบมาให้ได้ในที่สุด ถึงจะไม่ใช่เพื่อโลก แต่ก็เพื่อตาแล้วก็เหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินเติ้งซีเลยนะ...” หลี่มู่มั่นใจสุดๆแล้วว่าตาแก่นี่โดนครอบงำด้วยความเพ้อฝันแบบเต็มตัวแล้ว และสิ่งเดียวที่เขาควรทำคือเออออไปกับตาแก่เนี่ยแหละ

“งั้นเหรอ มันดีมากเลยที่เจ้าเข้าใจนะ บ้าจริง นี่มันเป็นโชคชะตาที่เราได้มาอยู่ด้วยกัน เจ้าจะได้เป็นอิสระในอนาคต แต่ยังก่อน ข้ามีเรื่องต้องเตือนเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้เมื่อพวกเขาต้องเดินทางไปเรื่อยๆจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่งในกลุ่มดาวอันไกลโพ้นคืออะไร”

อ่า...ดูเหมือนว่าตาแก่นี่จะอินกับบทนี่ไปซะแล้วสิ

หลี่มู่เสแสร้งว่าคิดอยู่ซักพักหนึ่งก่อนจะพูดออกไป “ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ต้องเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น และพยายามก้าวขึ้นไปอยู่แนวหน้าคู่กับสรวงสวรรค์โดยไม่สนว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยากลำบากขนาดไหน เขาต้องโฟกัสไปที่ความชอบธรรมก่อนเป็นอันดับแรกและช่วยเพื่อนพ้องไปพร้อมๆกัน แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต หรือมากกว่านั้น เขาไม่ควรถอยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจ แม้จะต้องจ่ายด้วยชีวิตแต่นั่นก็เพื่อความยุติธ-----”

ปั้ก!

รองเท้าแตะข้างที่สองลอยออกมาจากห้องฝึกสมาธิและตีเข้าที่หน้าของเขาอีกครั้ง

“เจ้าโง่! เจ้ากล้าลืมเรื่องที่ข้าเคยสอนได้ยังไงกันน่ะ? ทำไมเจ้าถึงได้พูดแต่เรื่องช่วยเหลือผู้อื่นโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันกับเอาชีวิตเข้าแลกกับความยุติธรรมอยู่ได้? มันผิด ผิดมากๆเลยโว้ย! บ้าเอ้ย เจ้ากำลังทำให้ข้าอารมณ์เสียอีกแล้ว จำไว้นะ หลักข้อแรกเวลาแกอยู่ในอวกาศน่ะ เจ้าต้องยอมรับในความพ่ายแพ้ของเจ้าหรือยอมรับว่าตัวเจ้าเองน่ะอ่อนแอ...ชีวิตนั้นสำคัญกว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเข้าใจมั้ย! มันสำคัญสำหรับการมีชีวิตมากนะ”

ตาเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์โกรธมากๆ เขารู้สึกผิดหวังที่หลี่มู่ไม่มีท่าทีที่จะดีขึ้นเลย

หลี่มู่เองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน

และหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ตาเฒ่าก็เริ่มพูดขึ้นมาอีก ด้วยความจริงใจและความปรารถนาที่มาจากใจจริง “ฟังพ่อนะ พ่อได้สอนทุกอย่างให้กับเจ้าแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกมันจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในเอกภพ ถึงแม้ว่าพ่อจะพยายามทำให้เจ้าลำบากตลอด และบังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าไม่ได้อยาก รวมไปถึงการที่ทำให้วัยเด็กของเจ้าไม่น่าจดจำ แต่ยังไงก็ตาม พ่อทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเจ้า เจ้าจะเข้าใจว่าทักษะพวกนี้สำคัญขนาดไหนเมื่อเจ้าไปถึงดวงดาวที่มีระดับวรยุทธ์ต่ำแล้วเจ้าจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่พ่อทำทั้งหมดนี้...”

การได้ฟังสิ่งที่ตาเฒ่าพูด มันทำให้หลี่มู่ถึงกับปากกระตุก

พูดกันตามตรง เขาควรจะรู้สึกประทับใจกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่ติดว่าเขารู้อยู่แล้วว่าตาเฒ่านี่กำลังเพ้อฝันจนพูดอะไรไร้สาระอยู่

เขาจะใช้แผนอะไรมาหลอกล่อให้ตาเฒ่าตัวแสบนี่ไปโรงพยาบาลดีนะ?

แต่กระนั้น ตาเฒ่าตัวแสบก็พูดขึ้นมาอีก “เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว อย่าทำให้ข้าผิดหวังเมื่อเจ้าต้องอยู่บนโลกคนเดียวล่ะ...มานี่เร็ว ข้าจะส่งเจ้าไปไกลๆ”

หลี่มู่หัวเราะในลำคอ

โอกาสที่ดีมาถึงแล้ว

เมื่อเขาเข้าไป เขาจะหาวิธีที่จะเข้าใกล้ตาแก่ให้ได้มากที่สุดแล้วก็จะจับมัดแล้วส่งโรงพยาบาลเสียเลย!

หลี่มู่เปิดประตูของห้องฝึกสมาธิและเดินเข้าไป

แต่ใครจะคาดคิดว่าในจังหวะเดียวกับที่เขาเดินเข้าไปนั้น บางสิ่งบางอย่างที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

พื้นที่ด้านหลังม่านนั้นไม่ใช่โลกที่เขารู้จักอีกต่อไป หลี่มู่เหมือนกำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่นรก ก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไปสะดุดและลื่นตกลงไปนรกนั้นเลย เมื่อตกไปภายในนั้น ในหูของเขาก็มีเสียงหึ่งๆแปลกๆดังกังวาลอยู่แทบจะตลอด และท้ายสุดมันก็ทำให้เขาอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักไป

“บ้าเอ้ย! ร้ายกาจ! เป็นบ้าจริงๆไปแล้วสินะ ตาแก่เจ้าเล่ห์! แอบมาขุดหลุมลึกขนาดนี้ไว้ในห้องฝึกสมาธิไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ...”

หลี่มู่ตะโกนออกมาด้วยความชอกช้ำและเดือดดาล

แต่เสียงของเขาก็หยุดหายไปอย่างฉับพลัน

พร้อมกับการที่เขาหายจากโลกนี้ไป

“อา...ข้าทำมันไปแล้ว...ข้าใช้เวลากว่า 10 ในการสร้างอาร์เรย์ฟากฟ้า 9 ดวงดาว และกระตุ้นการทำงานด้วยเลือดครึ่งหนึ่งของข้าสำเร็จ…ดี นี่คือความพอใจของคนเลวๆคนนี้ ในที่สุดข้าก็ส่งเด็กคนนี้ไปใกลๆแล้ว ดีจริงๆ ข้าเป็นอิสระแล้ว...อะฮ่า...ในที่สุดข้าก็สามารถกลับไปได้...ขอเปลี่ยนการประสานใหม่อาร์เรย์ก่อน...อะฮ้า ข้าไม่ต้องการจะอยู่ในโลกที่เฮงซวยนี่มาตั้งแต่จิตวิญญาณลมปราณขาดหายไปแล้ว...”

เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของตาเฒ่าดังก้องไปทั้งห้องฝึกสมาธิ

แต่ทันใดนั้นเอง มันก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้จากด้านนอกของวัดเหรินเติ้ง

“สวัสดี แม่ทัพ พี่มู่อยู่ในห้องฝึกสมาธิเหรอ?” เสียงหญิงสาวที่ร่าเริงดังขึ้น

เจ้าแม่ทัพที่สูงพอๆกับแม่วัวตัวเล็กกระดิกทั้งหัวและหางพร้อมกับทำตัวประจบเด็กสาวในทันที หนำซ้ำมันยังนำหน้าเธอไปยังห้องฝึกสมาธิอีก

และแน่นอนว่าสาวน้อยน่ารักนี้เดินตามเจ้าฮัสกี้ไปติดๆอย่างไม่ต้องสงสัย

เธอเป็นหญิงสาวร่างเพรียวบางสูงประมาณ 167 เซนติเมตร ผมสีดำสนิทที่ตัดกับผิวที่ขาวสวยนั้นทำให้เธอดูอ่อนโยน แล้วยิ่งรอยยิ้มที่มักจะปรากฏให้เห็นทุกๆครั้งก่อนที่เธอจะพูดอะไรขึ้นมานั่นอีก เธอสวมกางเกงยีนส์ที่เน้นให้เห็นขาที่ยาวและเรียวสวยของเธอ แม้แต่วัดเหรินเติ้งก็ยังเปล่งประกายได้เพราะการมีอยู่ของเธอ

ชื่อของเธอคือ หวัง ฉี หยู่ รองหัวหน้าห้องที่โรงเรียนมัธยมต้นของหลี่มู่ สาวน้อยน่ารักประจำถิ่นรวมไปถึงยังเป็นอดีตเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาด้วย

“โฮ่ง...โฮ่ง...” เจ้าแม่ทัพกระโดดด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับกระดิกหางอย่างบ้าคลั่ง มันนำเธอตรงไปยังห้องโถงและเข้าไปยังห้องฝึกสมาธิ

หวัง ฉี หยู่ ตามเจ้าฮัสกี้ไปติดๆโดนไม่ได้ลังเลอะไรเลย และเมื่อเข้าไปเธอก็ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “สวัสดีพี่มู่ พี่อยู่ในนั้นหรือเปล่า? คุณเฉินให้ฉันมาที่นี่และหวังว่าพี่จะกลับไปเรียนต่อในชั้นมัธยมปลาย...”

ในวินาทีต่อจากนั้น เสียงร้องของหญิงสาวและเสียงเห่าของเจ้าฮัสกี้ก็ดังขึ้นมาจากภายในห้องฝึกสมาธิพร้อมๆกัน

และเช่นเดิม เสียงเหล่านั้นหายวับไปเรียบร้อยแล้ว

ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เงียบไปพักใหญ่ก่อนที่จะส่งเสียงออกมาด้วยความโศกเศร้า

“ไม่นะ...เจ้าหมาโง่...อ่าห์...ผู้หญิงคนนั้น...เธอเข้ามาในนี้ได้ไงนะ…? แย่ละ ข้าไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ ข้าเสียเลือดมากเกินไปแล้ว อาร์เรย์เริ่มทำงานอีกครั้งแล้ว...ก่อนที่ข้าจะได้ประสานมันใหม่...”

“โอ้พระเจ้า เด็กสาวธรมมดากับเจ้าหมาโง่ถูกส่งไปให้ไกลห่างแล้วเหมือนกัน พวกเขาทำให้เลือดแห่งจิตวิญญาณของข้าเสียเปล่า...นี่มันวิบากกรรมอะไรกัน! แล้วข้าจะทำยังไงเมื่ออาร์เรย์นี้สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว? เหมือนว่าตัวข้าที่เองติดกับดักให้อยู่ในโลกที่ไม่มีอาร์เรย์และเลือดที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ...พระเจ้า...ท่านกำลังเล่นตลกกับข้าเหรอ...

ให้ตายสิ นี่มันจะต้องน่าสนใจแน่ๆ หมาของเจ้าและสาวน้อย ทั้งคู่ถูกส่งไปแล้ว...เจ้าจะต้องเจอสิ่งที่น่าสนใจบนดาวดวงนั้น...แล้วก็จะต้องฝึกทักษะเซียนเทียนในเวลา 20 ปี เมื่อนั้นแล้วเจ้าจะทำลายบาร์เรียร์แห่งดวงดาวและช่วยข้าออกไป หรือไม่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่และถูกทำลายไปพร้อมกับโลกนี้เลย”