ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 90 พี่หก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 92 ข้าวเปียกน้ำ

Re-new ตอนที่ 91 เงินมัดจำ


ตอนที่ 91 เงินมัดจำ

พี่หกจับสีหน้าของแววตาของเสี่ยวเฉาได้ ดูเหมือนนางจะแปลกใจงั้นรึ ? เขาห้ามตนเองมิให้เอามือมาลูบแผลเป็นบนใบหน้า ความรู้สึกสงสัยและสับสนผุดขึ้นมาในใจของเขา  พวกเขาเจอกันเมื่อบ่ายวานแล้วมิใช่รึ ? ตอนนั้นเด็กหญิงคนนี้ตกใจกลัวรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขามากเสียจนหน้าซีดขาวราวกับผี แล้วเหตุใดปฏิกิริยาของนางในวันนี้ถึงมีแค่อารามประหลาดใจเท่านั้น  ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเขาน่ากลัวจนทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ ร้องไห้ได้เลยด้วยซ้ำ เขาต้องแปลความหมายในสีหน้าแววตาของนางผิดไปแน่ ๆ !

เขามองเสี่ยวเฉาและคิดจะเอ่ยอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยและหันหลังกลับแล้วไปเดินช้า ๆ ทางบริเวณที่มีเหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังขายอาหารเช้า เสี่ยวเฉามองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่าไม่มีใครอยู่สักคน จึงรีบตามเขาไปโดยเร็ว นางไม่อยากอยู่แถวนั้นเพียงลำพังอย่างแน่นอน ถ้าอันธพาลกลุ่มนั้นกลับมา นางก็ตายน่ะสิ

พอเสี่ยวเฉาหายไปนาน หยูไห่ก็เริ่มกระสับกระส่าย เขารอนางอยู่ข้างร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นลูกสาวเดินตัวลีบกลับมาโดยคนข้าง ๆ นางเป็นผู้ชายที่ดูดุร้ายเคร่งขรึมมีแผลเป็นบนใบหน้า ความคิดแรกของเขาก็คือลูกสาวสุดที่รักของเขากำลังถูกรังแก เขารีบเดินกะเผลกเข้าไปและดันตัวลูกสาวไปอยู่ข้างหลังทันที เขามองพี่หกอย่างระมัดระวังและเอ่ยว่า “มิต้องกลัวลูกพ่อ พ่ออยู่นี่แล้ว พ่อจะมิให้ผู้ใดรังแกลูกได้เด็ดขาด”

เสี่ยวเฉารู้สึกซึ้งใจไปพร้อม ๆ กับรู้สึกขนลุกกับการปกป้องของเขา นางยิ้มขอโทษให้พี่หกแล้วดึงพ่อให้กลับไปนั่งที่ม้านั่ง พร้อมกับอธิบายว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพี่หกมิได้ทำอะไรข้า ตรงกันข้ามเขาเพิ่งช่วยข้าจากพวกอันธพาลเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นนางก็อธิบายให้เขาฟังคร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น หยูไห่ดึงมือนางมาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากไม่พบสิ่งผิดปกติเขาก็โล่งอกและเอ่ยว่า “ท่าเรือวุ่นวายเป็นอย่างมาก ต่อไปพ่อมิอนุญาตให้เจ้าเดินเที่ยวเล่นโดยลำพังแล้วนะ ! น้องชายท่านนี้ เมื่อกี้ข้าหยาบคายกับท่าน แต่ขอบคุณท่านเป็นอย่างมากที่ช่วยลูกสาวของข้าเอาไว้ !”

ใบหน้าของพี่หกเฉยเมยเช่นเดิม เขาพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบเท่านั้น แล้วเขาก็อ้าปากเอ่ยออกมาเป็นคราแรกกับเฒ่าหลิว “ขอก๋วยเตี๋ยวน้ำ 1 ชาม ไม่เอาเส้นแป้งถั่ว...”

เฒ่าหลิวรีบฉีกแป้งออกจากชามใบเล็ก แล้วรีดและตัดแป้งเป็นเส้นๆอย่างชำนาญ  ไม่นานก๋วยเตี๋ยว 1 ชามก็ถูกทำจนเสร็จ

หยูไห่รีบเอาหัวหมูตุ๋น 1 ห่อกับปลาหมัก 1 ห่อจากตะกร้ามาวางลงตรงหน้าชามก๋วยเตี๋ยวของพี่หกแล้วเอ่ยว่า “น้องชาย กินสองอย่างนี้กับก๋วยเตี๋ยวด้วยนะ รับไว้เป็นคำขอบคุณจากข้าที่ช่วยชีวิตลูกสาวของข้าเอาไว้เมื่อครู่”

พี่หกเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ปฏิเสธข้อเสนอ แต่พอเขากินเสร็จก็วางเงิน 2 อีแปะเอาไว้บนโต๊ะ เมื่อหยูไห่เห็นเงิน เขาก็อยากตามเอาเงินไปคืนแต่เสี่ยวเฉาห้ามเอาไว้และเอ่ยว่า

“ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านพ่อ เงินเพียงแค่ 2 อีแปะแค่นี้มิสะเทือนเขาหรอก จะได้เวลาคนงานพักกินข้าวแล้วนะเจ้าคะ”

แน่นอนว่าเมื่อพวกเขามองไปทางท่าเรือ  พวกเขาก็เห็นผู้ชายท่าทางหยาบกระด้างกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยและหัวเราะขณะเดินมาทางนี้ บางคนที่ใจร้อนกว่าก็เดินเร็ว ๆ มาตลอดทางและตะโกนเรียกเสี่ยวเฉาจากที่ไกล ๆ “เสี่ยวเฉา ขอหัวหมูตุ๋น 2 ห่อ เอามันเยอะ ๆ”

“เสี่ยวเฉา เสี่ยวเฉา ! เอาไส้หมู 1 ห่อกับกระเพาะหมู 1 ห่อ...”

“มีปลาแบบเมื่อวานอีกหรือไม่ ? ข้าอยากได้ 2 ห่อ”

..............................

แม้จะเคยได้ยินลูกชายบรรยายสถานการณ์ให้ฟังอยู่หลายคราแล้ว แต่หยูไห่ก็ยังตกตะลึงอยู่ดีเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตนเอง

แต่เสี่ยวเฉาคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้วและจัดการกับฝูงชนอย่างใจเย็นพร้อมกับโฆษณาสินค้าใหม่ของนาง “ท่านลุงห่าวเจ้าคะ วันนี้ข้าทำอาหารแบบใหม่มาด้วยนะเจ้าคะ มันเรียกว่าไส้กรอกเลือด ท่านลุงอยากซื้อไปลองสักห่อหรือไม่เจ้าคะ ?”

“เจ้ามีอาหารตุ๋นแบบใหม่มารึ ? เอาไส้กรอกเลือดให้ลุงหนึ่งห่อ !” เขาตะโกนอยู่ด้านหลังฝูงชนที่รุมล้อมนางอยู่ และไม่ว่าจะพยายามกระโดดไปรอบ ๆ เพื่อขึ้นไปด้านหน้ายังไง เขาก็ไม่สามารถเบียดเข้าไปได้เลย

“เอาให้ข้าห่อหนึ่งด้วย !”

“ไอ้พวกข้างหน้าน่ะ อย่าซื้อเยอะสิ เหลือไส้กรอกเลือดไว้ให้ข้าห่อนึงด้วย ไอหยา ! ข้าเชื่อฝีมือทำอาหารของเสี่ยวเฉานะ”

...............................

สองพ่อลูกช่วยกันขายช่วยกันเก็บเงินจนมือเป็นระวิง พวกเขาง่วนกับการขายราวครึ่งชั่วยามโดยไม่มีโอกาสได้พักหายใจเลย  ฝูงชนค่อย ๆ แยกย้ายกันไปเมื่อตะกร้าเหลืออาหารตุ๋นอยู่ประมาณหนึ่งในสิบจากเดิมที่มีอยู่

ถึงตอนนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวของเฒ่าหลิวก็มีคนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่เต็มร้าน สองพ่อลูกจึงได้แต่หาก้อนหินข้างถนนเพื่อนั่งพักเท้า ท่านยายหลิวกำลังยุ่งแต่ก็ส่งซุปก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ มาให้พวกเขาคนละถ้วย นางยิ้มและเอ่ยว่า “หยูไห่ เสี่ยวเฉา หิวน้ำกันใช่หรือไม่ ? ซดน้ำซุปนี่หน่อยเถอะ จะได้ชุ่มคอ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยายหลิว มิต้องรอพวกเราหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านยายมีอย่างอื่นต้องทำอีก ใช่หรือไม่เจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาหยิบถ้วย 2 ใบจากหญิงชราและส่งให้พ่อของนางหนึ่งถ้วย ส่วนอีกถ้วยนางก็ได้ถือเอาไว้ในมือแล้วยกขึ้นมาจิบ

เสี่ยวเฉาสังเกตเห็น หลิวเป่ย, ลุงใหญ่, หลิวฮั่น, ลุงรอง และหลิวจื้อเหว่ย ลูกพี่ลูกน้องคนโตของนางอยู่ที่ร้านโจ๊กใกล้ ๆ นางจึงวางถ้วยลงและหยิบปลาหมัก, ไส้กรอกเลือด และหัวหมูตุ๋นเดินไปที่นั่นทันที

“ท่านลุงใหญ่, ท่านลุงรอง, ท่านพี่จื้อเหว่ย กินมื้อเช้ากันอยู่นี่เอง...วันนี้ท่านลุงรองมาหางานทำที่ท่าเรือด้วยเหมือนกันรึเจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาทักทายทั้งสามคนอย่างอบอุ่น เมื่อ 2 วันก่อนนางเจอเพียงแค่ลุงใหญ่กับพี่จื้อเหว่ย นี่เป็นคราแรกที่นางเจอลุงรองที่ท่าเรือ

หลิวเป่ยกับหลิวฮั่นเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นาง “อ้าว ! เสี่ยวเฉา วันนี้ขายของเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ดูสิ เหงื่อออกเต็มเลย เหนื่อยมากใช่หรือไม่ ?”

“ข้ามิเป็นไรเจ้าค่ะ มิเป็นไร ! วันนี้ท่านพ่อก็มากับข้าด้วย ท่านลุงใหญ่ท่านลุงรอง นี่เจ้าค่ะอาหารตุ๋นกับปลาหมักที่ข้าทำ พวกท่านลองชิมดูหน่อยนะเจ้าคะว่ารสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง  2 วันมานี้ข้าทำมาไม่พอก็เลยมิได้เก็บเอาไว้ให้พวกท่านเลย...” เสี่ยวเฉาตอบอย่างขัดเขิน

หลิวฮั่นผู้ซื่อสัตย์และขี้เกรงใจรีบส่ายหน้าและเอ่ยว่า “ป้าใหญ่ของเจ้าห่อผักดองมาให้พวกเราแล้ว เมื่อครู่ลุงเห็นอาหารตุ๋นของเจ้าขายดีมากนี่ เจ้าเก็บไว้ขายเถอะ ตอนนี้ครอบครัวของเจ้าต้องการใช้เงินมิใช่รึ...”

เสี่ยวเฉายิ้ม “วันนี้ข้าทำมาเยอะเกินไปหน่อยน่ะเจ้าค่ะ นี่ในตะกร้ายังมีเหลืออยู่เลย ! ตอนข้าทำบ้านใหม่ ท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองก็ช่วยพวกเราเอาไว้เยอะ ข้าตอบแทนน้ำใจของท่านลุงก็ถูกต้องสมควรแล้วนี่เจ้าคะ รับไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านพี่จื้อเหว่ย ลองกินปลาหมักนี่ดูนะ ข้าพนันเลยว่าท่านจะชอบรสชาติของมันเป็นแน่”

ชายทั้ง 3 จากตระกูลหลิวเอาแค่แผ่นแป้งธัญพืชหยาบมาแค่ไม่กี่แผ่นกับหัวไชเท้าดอง 3 หัวมาจากบ้านเป็นอาหารเช้าเท่านั้น พวกเขาซื้อซุปถั่ว 3 ถ้วย ถ้วยละ 1 อีแปะที่ร้านโจ๊ก  แม้ว่าหลิวจื้อเหว่ยจะมีรูปร่างสูงกำยำ แต่เขาก็อายุแค่ 14 - 15 ปีเท่านั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กหนุ่มอย่างเขาจะหิวอยู่บ่อย ๆ อยู่แล้ว

ถ้าคนที่ขายอาหารตุ๋นห่อละ 1 อีแปะมิใช่เสี่ยวเฉา เขาก็คงไปต่อแถวซื้ออาหารแล้ว  บางครั้งเขาเห็นเพื่อนคนงานกินอาหารตุ๋นอย่างเอร็ดอร่อยและเขาทำได้เพียงแต่สูดกลิ่นหอมน่ากินนั้น ช่วงเวลาเหล่านั้นเขาแทบจะเก็บน้ำลายเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

เมื่อเสี่ยวเฉาเปิดห่อกระดาษออก กลิ่นหอมน่ากินของอาหารตุ๋นก็ลอยเข้าจมูกของเขา  หลิวจื้อเหว่ยกลืนน้ำลายที่ไหลออกมาเต็มปาก เขามองพ่อกับลุงด้วยสายตาเป็นประกายเว้าวอนเช่นเดียวกับฉีโตวตอนที่เขาอยากจะกินอะไรสักอย่าง

เสี่ยวเฉากลั้นหัวเราะแล้วคว้าแผ่นแป้งจากมือเขามา นางจัดการวางปลาหมักทอดและเนื้อหัวหมูติดมันสองชิ้นตรงกลาง จากนั้นก็บรรจงวางมันกลับลงไปบนมือของเขาและเอ่ยว่า “ท่านพี่จื้อเหว่ย ลองชิมดู ข้าทำทั้งหมดนี้เองเลยนะ...”

ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว หยูไห่มีลูกค้าเข้ามาอีกสองสามคนเพื่อซื้ออาหาร หลังจากนั้นนอกจากอาหารตุ๋นที่เก็บไว้ให้หัวหน้าซุนแล้ว อาหารที่เหลือก็ถูกขายไปจนหมด เขาวางตะกร้าลงบนรถเข็นแล้วเดินไปหาเสี่ยวเฉากับคนอื่น ๆ พอไปถึงเขาก็ช่วยกล่าวด้วยอีกแรง “พี่ใหญ่, พี่รอง อาหารพวกนี้แค่ 3 อีแปะเท่านั้น เสี่ยวเฉาแสดงความกตัญญูต่อพวกท่านก็กินหน่อยเถอะขอรับ”

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ หลิวเป่ยกับหลิวฮั่นจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อหัวหมูตุ๋นคนละชิ้นและเอาใส่ปากเพื่อลิ้มรสอย่างช้า ๆ รสชาติแสนเข้นข้นสัมผัสกับลิ้นของพวกเขาทันที พวกเขาไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนจึงพากันเอ่ยชมไม่หยุด สองพี่น้องลองชิมอาหารอีกสองอย่างกันคนละคำสองคำเท่านั้น แล้วก็ทิ้งที่เหลือเอาไว้หลิวจื้อเหว่ยกินเนื่องจากเขาเป็นวัยที่กำลังโต

พอหลิวเป่ยกินมื้อเช้าเสร็จ เขาก็มองไปที่ขาของน้องเขยแล้วถามด้วยความเป็นห่วง  “ช่วงนี้ข้ายุ่งเลยมิมีเวลาไปเยี่ยมเจ้าเลย เดินมาไกลถึงเพียงนี้ขาของเจ้ามีปัญหาอันใดบ้างหรือไม่ ?”

หยูไห่ตบขาของตนเองสองทีแล้วยิ้ม “มิมีปัญหาเลยขอรับ ! หมอในเมืองยังบอกให้เดินมาก ๆ ตอนที่มีเวลาว่าง ต้องขอบคุณเสี่ยวเฉาที่คอยนวดขาให้ข้าทุกคืน มิเยี่ยงนั้นขาของข้าคงมิหายเร็วมากถึงเพียงนี้หรอก ! ใครจะรู้ อีกหน่อยข้าอาจจะมาหางานทำที่ท่าเรือก็ได้”

สองพี่น้องตระกูลหลิวชมเชยน้องสาวและน้องเขยที่เลี้ยงลูกสาวได้ดีเช่นนี้ หยูไห่รู้สึกมีความสุขที่ได้ยินคำชมมากกว่าเรื่องที่ขาของตนเองดีขึ้นเสียอีก

คนกลุ่มเล็ก ๆ นี้สนทนากันอีกเล็กน้อยจนได้เวลาเริ่มงานอีกครา หยูไห่กับลูกสาวก็ได้พักผ่อนมากพอแล้วเช่นกัน พวกเขาทิ้งอาหารตุ๋นที่เก็บไว้ให้หัวหน้าซุนไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของเฒ่าหลิวและเตรียมตัวเข้าเมืองเพื่อซื้อของที่ตลาดในเมือง

ตอนนี้เองพี่หกก็เดินเข้ามา เขาโยนเงินไปให้เสี่ยวเฉาและเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้ามีลูกค้าคนสำคัญ เจ้าช่วยเตรียมอาหารไว้ให้พวกเขาได้หรือไม่ ?”

เสี่ยวเฉามองเงินในมือแล้วคาดว่าน่าจะประมาณ 2 ตำลึง นางจึงถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกค้าของเขา เช่น มีกี่คน ? เป็นคนเหนือหรือคนใต้ ? มีรสชาติอาหารที่ชอบเป็นพิเศษหรือไม่ ? พี่หกตอบคำถามของนางทีละข้อ หลังจากนั้นเสี่ยวเฉาก็มีความคิดดี ๆ ว่านางต้องเตรียมอะไรบ้าง

หัวหน้าซุนรีบวิ่งมาจากท่าเทียบเรือและไม่มีเวลาได้พักหายใจหายคอได้ถนัด เขามองเงินในมือของเสี่ยวเฉาแล้วขมวดคิ้ว “เกิดอันใดขึ้นรึเสี่ยวเฉา ? มีคนพยายามสร้างปัญหาให้กับเจ้าเยี่ยงนั้นรึ ? ถ้ามีก็บอกกับข้าได้มิต้องเกรงใจ เจ้ามีข้าหนุนหลังอยู่นี่ ลืมไปแล้วรึไง ?”

พี่หกมองเขาพร้อมกับยิ้มบาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น เขามองจนหัวหน้าซุนรู้สึกอึดอัด  แล้วพี่หกก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หัวหน้าซุน ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ! หัวใหญ่แค่ไหนก็ต้องสวมหมวกใหญ่เท่านั้น ! ระวังจะรับงานมากเกินความสามารถตนเอง ! เสี่ยวเฉาเป็นคนที่ทำการค้ากับทุกคน มิใช่เครื่องมือให้ท่านใช้ดึงลูกค้า ! ท่านซุน ลูกค้าพรุ่งนี้มิใช่คนที่ท่านนึกอยากจะขโมยก็ขโมยไปได้หรอกนะ !”

หัวหน้าคนงานซุนถูจมูกอย่างอับอายและเอ่ยว่า “อ่า ! ลิ่วซือ อย่าคิดเล็กคิดน้อยไปเลย  เสี่ยวเฉาเคยช่วยข้าเอาไว้นิดหน่อย ข้าก็กลัวว่านางจะถูกผู้อื่นรังแก...”

พี่หกมองเขาอย่างเฉยเมยและหันกลับไปมองเสี่ยวเฉา พร้อมกับเอ่ยว่า “เยี่ยงนั้นพรุ่งนี้ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้วล่ะ...”

หลังจากนั้นเขาก็เดินจากไป

หัวหน้าคนงานซุนหงุดหงิดกับท่าทางของเขาและลอบบ่นพึมพำออกมา “ทำหยิ่งเข้าไปเถอะ ! นี่ถ้าข้ามาทำงานที่ท่าเรือเร็วกว่านี้สัก 2 ปีล่ะก็คงมิต้องเจอกับการวางมาดใหญ่โตของเจ้าแล้ว เสี่ยวเฉา เจ้าโง่ลิ่วซือนั่นจะให้เจ้าทำอันใดให้รึ ? เขาให้เงินเจ้ามากถึงเพียงนั้น คงมิได้ขอให้ทำเรื่องผิดกฎหมายหรอกใช่หรือไม่ ?”

เสี่ยวเฉามองเขาพร้อมกับยิ้มบาง ๆ และเอ่ยว่า “ท่านลุงซุนเจ้าคะ เขาเพียงแค่ชอบฝีมือการทำอาหารของข้า ก็เลยอยากให้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขาพรุ่งนี้น่ะเจ้าค่ะ เงินนี่เขาให้มาซื้อวัตถุดิบ... ท่านลุงเจ้าคะ อาหารตุ๋นที่ท่านจองไว้อยู่ที่ร้านท่านตาหลิว สายแล้ว ข้าต้องรีบเข้าเมืองไปซื้อเครื่องเทศกับเครื่องปรุงแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ดวงตาใสกระจ่างของเสี่ยวเฉาดูเหมือนจะมองทะลุแผนการเล็ก ๆ ของหัวหน้าซุน เขาตอบแบบละอายใจเล็กน้อย “เยี่ยงนั้นเจ้าก็ไปเถิด ส่วนนี่เงินค่าอาหาร...”

วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษของตลาดที่ท่าเรือ จึงมีคนเดินซื้อของไม่มากนัก ร้านค้าส่วนใหญ่ก็เปิดอยู่ และร้านเนื้อของคนขายเนื้อหวังก็เป็นหนึ่งในนั้น

“เสี่ยวเฉา มาซื้อหัวหมูกับเครื่องในหมูอีกแล้วรึ ? วันนี้ขายของเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ลุงได้ยินว่าอาหารจานเนื้อ 1 อีแปะของเจ้ากำลังเป็นที่นิยมมากเลยนี่ที่ท่าเรือ” คนขายเนื้อหวังยิ้มอย่างใจดีพลางเอ่ยทักทายเสี่ยวเฉา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด