ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 69 เพิ่มทรัพยากร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 71 หนุ่มน้อยน่ารัก

Re-new ตอนที่ 70 ปลูกผัก


ตอนที่  70  ปลูกผัก

หยูไห่ตาเป็นประกายขึ้นมาและเข้าใจในสิ่งที่เสี่ยวเฉาเอ่ยออกมาเป็นคนแรก “ลูกรู้วิธีปลูกผักตอนนี้จริง ๆ รึ ?”

หยูเสี่ยวเฉาตบหน้าอกรับประกันเสียใหญ่โต “ข้ารับรองเลยว่าจะมิมีปัญหาอย่างแน่นอน ! ท่านพ่อกับท่านแม่วางใจได้เลยเจ้าค่ะ !”

วันรุ่งขึ้นเสี่ยวเฉาก็ได้ใช้เงิน 20 อีแปะซื้อฟาง 2 เกวียนมาจากหมู่บ้านที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า นางสอนวิธีสานฟางมุงหลังคาให้หยูไห่กับนางหลิว แม้ว่าหินศักดิ์สิทธิ์จะสัญญาแล้วว่าเมล็ดผักที่แช่ในน้ำหินศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเอาชนะความหนาวเย็นที่รุนแรงในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิได้แน่ก็ตาม หยูเสี่ยวเฉาก็ยังคงกังวลอยู่ หลังคาฟางถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการทำฟาร์มเรือนกระจกที่โลกเก่าของนางเพื่อทำให้ผักอบอุ่น เตรียมพร้อมเอาไว้ดีกว่าต้องเสียใจทีหลัง

เสี่ยวเฉาหว่านเมล็ดพีชที่แช่น้ำไว้เมื่อคืนลงในดินที่ไถเอาไว้แล้วโดยมีนางหลิวที่ยังคงสงสัยอยู่คอยช่วย พวกเขาปลูกผักที่มีระยะเวลาการเจริญเติบโตค่อนข้างสั้น เช่น ผักกวางตุ้ง, ผักโขม และผักกาดเขียวลงในที่ดินหนึ่งหมู่ครึ่งในลานหน้าบ้าน พวกเขาพยายามจะใช้ประโยชน์จากการที่คนอื่นยังไม่ได้ปลูกผักมาหารายได้ก้อนแรกของพวกเขา

หลังจากหว่านเมล็ดแล้ว นางหลิวก็พาเสี่ยวเฉาไปพรวนดินที่หลังบ้านต่อ นางเหมาที่ดูแลเป็ดอยู่ริมสระน้ำเห็นเข้าก็เตือนพวกเขาว่า “นี่พลิกดินเร็วไปหรือไม่ ? ปลูกพืชข้างสระน้ำเยี่ยงนี้มิเหมาะหรอก ระดับน้ำจะสูงช่วงฝนตกตอนปลายฤดูใบไม้ผลิ ประเดี๋ยวน้ำก็ท่วมจมทั้งหมดนั่นหรอก !”

นางเหมาเป็นคนปากจัด แต่นางก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี นางหลิวยิ้มให้นางและเอ่ยว่า “เรากำลังเตรียมปลูกผักกวางตุ้งกับผักกาดเขียว แล้วจะเก็บเกี่ยวก่อนที่ระดับน้ำจะสูงขึ้นน่ะ”

นางเหมาพยักหน้าแล้วตอบกลับว่า “เยี่ยงนั้นก็ล้อมรั้วไว้ดี ๆ ล่ะ ปกติครอบครัวข้าจะเลี้ยงเป็ดในสระน้ำ ถ้าพวกมันไปกินผักของเจ้าเข้า ข้ามิรับผิดชอบอย่างแน่นอน !”

คำพูดของนางเหมาไม่น่าฟังอย่างที่คาด นางเตือนพวกเขาด้วยเจตนาดี แต่เหตุใดต้องใช้คำพูดไม่น่าฟังเช่นนี้ด้วยเล่า ?

นางหลิวยิ้มอย่างใจดีและเอ่ยว่า “ขอบคุณที่เตือนนะ ไว้ข้าจะล้อมรั้ววันพรุ่งนี้...”

หลังจากทำงานกันตลอดบ่ายเสี่ยวเฉากับพ่อก็ทำหลังคาฟางได้มากกว่า 10 อัน หยูไห่เคยทอเสื่อมาก่อน หลังคาฟางทำง่ายกว่าเสื่อมากเพราะเขาไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันให้มากเกินไป เขาเรียนรู้ได้เร็วอีกทั้งยังสานได้มากกว่าเสี่ยวเฉาถึง 2 อัน

เสี่ยวเฉากับนางหลิวจัดการมุงหลังคาฟางไว้บนแปลงผักราวกับกำลังห่มผ้าให้พวกมัน  ฉีโตวเองก็มีส่วนช่วยมากเหมือนกัน เขาถามอย่างกังวลเล็กน้อย “พี่สาม ทำเช่นนี้แล้วพวกผักจะอุ่นได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ?”

เสี่ยวเฉาลูบหัวเขาแล้วหัวเราะ “ตอนห่มผ้าในช่วงฤดูหนาวเจ้ารู้สึกอุ่นหรือไม่ ? เยี่ยงนั้นมันก็เหมือนกันนั่นแหละ พื้นดินจะดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน แล้วพอพวกเราเอาฟางมาคลุมมัน ความร้อนก็จะไม่กระจายหายไปในตอนกลางคืน ดังนั้นก็มิต้องกลัวว่าผักจะหนาวแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจและร้องออกมาว่า “เพราะงั้นเราถึงได้ห่มผ้าให้แปลงผักนี่เอง ! แต่ตรงที่ไม่มีฟางมุงเอาไว้จะไม่เป็นไรรึพี่สาม ?”

“มิเป็นไรหรอก เราเพิ่งหว่านเมล็ดเอง มันยังมิงอกเลย มันมิหนาวหรอก ข้าและท่านพ่อจะทำหลังคาฟางเพิ่มพรุ่งนี้ แล้วค่อยเอามาคลุมแปลงผักทั้งหมด พวกผักจะได้งอกและโตเร็ว ๆ”

เวลาที่เสี่ยวเฉามองฉีโตวก็จะนึกถึงน้องชายในชาติก่อนของนาง ตอนที่เขาอายุเท่าฉีโตว  เขาไม่ได้ฉลาดและว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ ตอนนั้นพ่อกับแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ เขามักจะมีนิสัยเอาแต่ใจเนื่องจากเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว...

พวกเขาใช้เวลาสามวันปลูกผักทั้งลานด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อระดับน้ำเพิ่มขึ้น โคลนสีดำจำนวนมากจะสะสมอยู่บนพื้นดินข้างสระน้ำ หลังจากเตรียมดินแล้วมันกลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากยิ่งนัก แต่ทว่าโชคไม่ดีที่มีปริมาณน้ำฝนมากในตอนปลายเดือนหกของทุกปี น้ำในสระจึงเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถปลูกพืชที่มีระยะเวลาเติบโตนาน ๆ ได้เลย

อีก 4 เดือนก่อนระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยวเฉาปลูกพืชที่ใช้ระยะเวลาเติบโตประมาณ 2 - 3 เดือนไว้ข้างสระน้ำซึ่งมีพื้นที่ประมาณหนึ่งหมู่ พืชจำพวกที่ปลูกก็คือฟัก, ถั่วฝักยาว, มะเขือยาว และถั่วแดง ในสวนหลังบ้านของนางนั้นปลูกกุ้ยช่าย, แตงกวา, กระเทียม และพริก นอกจากนี้ยังปลูกบวบกับฟักทองที่ริมรั้วอีกด้วย

ทั้งครอบครัวทำงานล่วงเวลาอยู่ 3 วันถึงจะทำหลังคามุงสวนผักทั้งหมดเสร็จ ฉีโตวช่วยสานหลังคาอันเล็ก ๆ หลายอันอีกด้วย ถึงความหนาจะยังไม่ดีนักแต่ก็พอใช้ได้

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้  อาหารที่บ้านมีแค่แผ่นแป้งธัญพืชหยาบกับซุปเต้าเจี้ยว ส่วนผักก็มีแค่ผักกาดขาวกับหัวไชเท้าและผักดองเท่านั้น พวกเขาต้องเคี้ยวแป้งหยาบให้ละเอียด เยี่ยงนั้นมันอาจจะขูดลำคอตอนกลืนได้ ซุปเต้าเจี้ยวก็มีกลิ่นแรง ถ้าไม่หิวก็คงกลืนไม่ลง ผักต้มที่ขาดน้ำมันกับเครื่องปรุงทำให้เสี่ยวเฉาอยากจะกุมขมับตอนทานอาหาร

สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวเสี่ยวเฉาในตอนนี้ ขนาดกินอาหารแบบนี้แล้วพวกเขายังต้องแบ่งส่วนอาหารให้ดี ๆ ด้วยความกลัวว่าจะใช้มากเกินไป ถ้าอาหารในตอนนี้ไม่พอให้พวกเขากินไปจนถึงตอนที่สามารถเก็บเกี่ยวผักได้แล้วล่ะก็ พวกเขาทุกคนคงได้อดตายกันเป็นแน่

นอกจากการซักผ้าทุก ๆ 3 วันแล้ว นางหลิวยังได้งานเย็บผ้าจากร้านเย็บผ้ามาอีกด้วย  นางจึงต้องเย็บผ้าจนดึกดื่นทุกวัน หยูไห่ขอให้พรานจ้าวที่อาศัยอยู่ตรงเชิงเขาตะวันตกช่วยตัดไม้ไผ่มาให้เขา เขาได้สานตะกร้าและกระจาดไม้ไผ่ขึ้นมา จากนั้นก็เอาไปขายในร้านขายของชำในเมือง

หลังปลูกผักเสร็จเสี่ยวเฉาก็มีเวลาว่าง เสี่ยวเหลียนเอางานบ้านทั้งหมดไปทำและไม่ยอมให้นางเข้าไปยุ่ง ฉีโตวติดตามลูกชายคนเล็กของตระกูลเฉียนเพื่อนบ้านขึ้นไปบนภูเขาและสำรวจแม่น้ำ แต่เขาไม่ได้สนใจแต่เล่นอย่างเดียว บางครั้งเขาจะนำไข่กลับมาด้วย และทุกวันเขาจะเอาฟืนกลับมาด้วยสองกอง

เฉียนหวู่ ลูกชายคนเล็กของนางเหมาอายุ 8 ขวบ มีนิสัยแตกต่างจากพี่ชายเป็นอย่างมาก เฉียนเหวินเป็นคนชอบศึกษาเล่าเรียน แต่เฉียนหวู่เป็นคนกระตือรือร้นและมักจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะถึงเวลาอาหารในทุกวัน เสียงตะโกนของนางเหมาแม่ของเขาที่ตะโกนเรียกให้เขากลับบ้านมากินข้าวจึงดังให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง

“เสี่ยวหวู่ซือ ไปเล่นอยู่ที่ใดอีกแล้ว ? กลับบ้านมากินข้าวได้แล้ว... !”

ลูกชายของนางเหมามีนิสัยที่ต่างกันมาก คนหนึ่งนิ่งเงียบ อีกคนกระตือรือร้นอยู่ไม่สุข  เฉียนเหวินลูกชายคนโตเป็นหนอนหนังสือที่แบกหนังสือไปทุกที่ที่เขาไป บางครั้งเขามัวแต่อ่านหนังสือจนเดินชนต้นไม้ เสี่ยวเฉาเคยเห็นเขาเดินอ่านหนังสือจนตกลงไปในร่องน้ำ  โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีน้ำอยู่ในนั้น เช่นนั้นเขาคงแข็งตายไปแล้ว

วันนี้เสี่ยวเฉาถือตะกร้ากับพลั่วออกมาหาดูว่ามีสมุนไพรป่าอยู่แถวนี้บ้างหรือไม่ ตามความรู้ของนางต้นจี้ช่ายน่าจะขึ้นในช่วงนี้ ชาติก่อนนางชอบขุดจี้ช่ายมาทำซุปหรือซาลาเปาเนื่องจากรสชาติของมันอร่อยเป็นอย่างมาก

ฉีโตวกระโดดอย่างร่าเริงอยู่ด้านหลังเสี่ยวเฉาตั้งแต่ทางเดินหน้าประตูและตลอดทางที่ไปภูเขาตะวันตก เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก ‘พี่สามบอกว่าจะทำซาลาเปาจี้ช่ายให้เขากิน ทุกอย่างที่พี่สามทำทั้งดีและยังอร่อยอีกด้วย ถึงจะไม่ใช่ฤดูหาสมุนไพร แต่ได้ออกมาเดินบ้างก็เป็นผลดีต่อสุขภาพของพี่สามแล้ว’

ฉีโตวปฏิเสธคำชวนของเฉียนหวู่ที่ชวนไปหาไข่นกในภูเขา และอาสามาทำหน้าที่ผู้คุ้มกันให้กับพี่สาม ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปในภูเขาลึก ๆ ก็ไม่มีอันตรายอันใด เขาแค่กลัวว่าพี่สามที่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านจะหาทางกลับบ้านไม่ถูกเพียงเท่านั้น

เฉียนเหวินที่อยู่บ้านในช่วงวันหยุดจากโรงเรียนก็ถือหนังสือเดินออกจากบ้านเช่นกัน ฉีโตวน้อยยิ้มแล้วทักทายเขา “ท่านพี่เสี่ยวเหวินจะไปอ่านหนังสือที่ภูเขาอีกแล้วรึขอรับ ?”

ตระกูลเฉียนเลี้ยงเป็ดทั้งหมดร้อยกว่าตัว พวกมันส่งเสียงหนวกหูอยู่ตลอดเวลา ทุกคราที่เฉียนเหวินกลับมาบ้านในวันหยุด เขาจะชอบขึ้นไปบนภูเขาพร้อมหนังสือ 1 เล่มและหาที่เงียบ ๆ อ่านหนังสือ พวกเขาไม่ได้คิดว่าจะเจอกับเฉียนเหวินตอนออกจากบ้านวันนี้

เฉียนเหวินอายุ 11 ปี  ผิวขาว ดูสง่างาม สุภาพเรียบร้อย เป็นเด็กที่หล่อเหลาและสะอาดสะอ้านมากทีเดียว แม้ว่าเสี่ยวเฉาจะได้เจอเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกว่าเขาน่ามองอยู่ดี

เฉียนเหวินได้ยินเสียงฉีโตวจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เสี่ยวเฉากับน้องชาย เขาทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ข้าอยากไปหาที่เงียบ ๆ อ่านหนังสือ พวกเจ้ากำลังจะไปทำอะไรกันเยี่ยงนั้นรึ ?”

ฉีโตวจึงตอบกลับไปว่า “พี่สามอยากไปหาสมุนไพร จะขุดมาทำซุปน่ะขอรับ”

เฉียนเหวินมองไปที่เสี่ยวเฉาซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเสี่ยวเหลียน เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าลูกสาวคนที่สองของท่านอาต้าไห่มีร่างกายอ่อนแอและป่วยอยู่บ่อยครั้ง ท่านหมอเคยบอกว่านางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เดิมทีเขาคิดว่านางคือเด็กตัวเล็ก ๆ จืดชืดขี้โรคที่ไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ แต่เมื่อได้พบเจอกับนางในวันนี้แล้ว นางไม่ได้ดูเหมือนคนป่วยเลยสักนิด ถึงจะผอมแต่แก้มของนางก็เป็นสีชมพูระเรื่อและเดินได้อย่างกระฉับกระเฉงดี

“เจ้าน่าจะรอจนถึงเดือนห้าค่อยมาเก็บสมุนไพรนะ ตอนนี้น้ำแข็งในแม่น้ำยังมิละลายเลยด้วยซ้ำ มันมิใช่เวลาหาสมุนไพรหรอก” เฉียนเหวินเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

หยูเสี่ยวเฉายิ้มบาง ๆ และตอบกลับเขาไปว่า “มิเป็นไร ข้าเพียงแค่หาเรื่องออกมาเดินนอกบ้านน่ะ ท่านพี่ก็อ่านหนังสือไปเถิด พวกเรามิอยากถ่วงให้ท่านพี่อ่านหนังสือช้าหรอกนะเจ้าคะ”

เฉียนเหวินได้ยินจากแม่ของเขาว่าครอบครัวของอาต้าไห่แยกออกจากครอบครัวหลัก  ถ้าไม่ได้ญาติฝ่ายภรรยาและพวกชาวบ้านมาช่วยล่ะก็ บ้านของพวกเขาก็คงจะเต็มไปด้วยรอยแตกและยังพังอยู่เป็นแน่ ! ที่ออกมาหาผักป่ากันตอนนี้ก็คงเพราะที่บ้านไม่มีอาหารกินอย่างแน่นอน

เฉียนเหวินแตะอาหารแห้งที่แม่ให้เขามาเผื่อหิวระหว่างอ่านหนังสือ มันเป็นหมั่นโถวที่ทำจากแป้งสาลีผสมแป้งข้าวฟ่าง เขากำลังจะเอ่ยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

ถึงยังไงเขาก็เพิ่งเจอกับเด็กหญิงคนนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ถ้าอยู่ ๆ จะเอาหมั่นโถวไปให้โดยมิมีเหตุผล นางคงรู้สึกว่าเขาให้อาหารนางเพราะสงสารและดูถูก ช่างเถอะ ไว้หาโอกาสช่วยนางตอนที่พวกเขาคุ้นเคยกันมากกว่านี้ก็ยังมิสายมิใช่รึ

อากาศในเดือน 2 ยังคงหนาวอยู่มาก เมื่อลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดมา หยูเสี่ยวเฉาจึงตัวสั่นเทาด้วยความหนาว เสื้อนอกของนางเก่ามากแล้ว ฝ้ายข้างในก็เอามาจากเสื้อเก่า ๆ ของพี่ใหญ่ แล้วนำมายัดในเสื้อนอกของน้อง ๆ ดังนั้นฝ้ายจึงแข็งมากจนแทบจะติดกันเป็นก้อน นอกจากจะรู้สึกแข็งและใส่ไม่สบายแล้ว มันยังไม่อุ่นเอาเสียมาก ๆ เหตุใดนางถึงมิคิดจะซื้อฝ้ายใหม่ ๆ มายัดเสื้อนอกของพวกเขาตอนที่มีเงินกันล่ะ ?

เสี่ยวเฉาเป่าลมหายใจอุ่น ๆ ใส่มือตนเองที่เย็นจนรู้สึกเจ็บแสบ นางค้นหาพืชที่คุ้นเคยตามริมร่องน้ำข้างถนน ฉีโตวมีพลังเต็มเปี่ยม เขาทั้งกระโดดและวิ่งไปตลอดทาง เด็กน้อยเห็นพี่สาวหดคอเข้ามาเหมือนว่านางกำลังหนาว เขาจึงเอามือเล็ก ๆ ที่อบอุ่นของเขาจับมือนางไว้แล้วยิ้มกว้าง “พี่สาม มือข้าอุ่นมากนะ !”

เสี่ยวเฉาตื้นตันใจจนต้องเอาตัวเขามากอดและหอมอย่างอ่อนโยนที่แก้มของฉีโตวน้อย เด็กน้อยหน้าแดงทันที คนโบราณมักแสดงความรักด้วยการบอกเป็นนัย ๆ เสียมากกว่า  แม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังมิเคยหอมเขาเลย

ฉีโตวสะบัดมือพี่สาวออกด้วยความเขินแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเฉาวิ่งตามแต่ก็ไล่ไม่ทันจนกระทั่งนางหอบ แต่มันก็เป็นการดีที่ทำให้ร่างกายของนางอุ่นขึ้น

“ประเดี๋ยวก่อน ! ฉีโตว ข้าเจอจี้ช่ายแล้ว !” ที่ริมตลิ่งแห้ง ๆ มีพืชสีน้ำตาลอมเทาเล็ก ๆ ขึ้นอยู่บนพื้นดิน ใบหยัก ๆ เช่นนั้นเป็นจี้ช่ายที่นางรู้จักไม่ผิดเป็นแน่

ฉีโตวหันกลับมาและเดินมาดู เขาเอ่ยว่า “พี่สาม จี้ช่ายมิได้เป็นเช่นนี้ ใบมันเป็นสีเขียวยาว ๆ มีดอกไม้สีขาวอยู่ตรงกลางมิใช่รึ ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด