ตอนที่แล้วCF:บทที่ 7 เพรชพลอยและหยก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปCF:บทที่ 9 ทุบลูกบากศ์

CF:บทที่ 8 มรกตเม็ดโต


CF:บทที่ 8 มรกตเม็ดโต

อู๋ ฮ่าวเหรินเข้าร่วมกลุ่มที่คนไม่เยอะจนเกินไป กลุ่มขนาด 100 คนที่ตอนนี้มี 30 คนแล้วและอีกบางคนยังไม่มา

มีอยู่ 20 กว่าคนที่ออนไลน์อยู่ แน่นอนว่าคนที่ออนไลน์อยู่ทุกคนเปิดการแจ้งเตือนซองแดง ตราบใดที่มีคนส่งซองแดงมาพวกเขาจะเห็นถ้าต้องการอะไร

สำหรับอู๋ ฮ่าวเหรินที่มีเพียง 390 เหรียญพลังงานและมีทรัพย์ยากรในโลกจริงเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับคนพวกนี้แล้ว เหรียญพลังงานทุกเหรียญจึงมีค่ามากๆ

เพราะฉะนั้นเมื่อมีใครส่งซองแดงมา ถ้าไม่ใช่ของที่เขาอยากได้มากๆแล้วอู๋ ฮ่าวเหรินจะไม่ฉกมันมา

“อุ๊ย พี่พ่อค้าของเก่าส่งข้อความมาล่ะ ดูเหมือนว่าเขาอย่างได้แร่บางอย่างอยู่ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะเก็บเหรียญพลังงานเลย”

สำหรับมือใหม่พวกนี้แล้วทุกโอกาสที่จะเก็บเหรียญพลังงานนั้นจะปล่อยมันผ่านไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เช่นพวกเจ้าถิ่นแบบจ้าวเรดาร์นั่น ผู้มีเครื่องสื่อสารที่ล้ำสมัยที่สุด

“เหมือนว่าจะเป็นหยก มรกตแล้วก็แร่อื่นๆน่ะ ทำไมอยากได้แร่พวกนี้ล่ะพี่พ่อค้าของเก่า?”

เมื่อชายคนนั้นถาม เขาก็ส่งซองแดงออกมาแล้ว เมื่อเห็นคำอธิบายบนซอง ก็ไม่มีใครแย่งอู๋ ฮ่าวเหรินฉกมันเพราะมันเป็นแร่ที่อู๋ ฮ่าวเหรินอยากได้ และสำหรับพวกเขามันไม่จำเป็นเลย

“พี่พ่อค้าของเก่า ฉันส่งแร่ที่นายอยากได้แล้ว แต่โชคร้ายหน่อยที่ระดับเราต่ำไป ตอนนี้ฉันส่งได้จำนวนมากเท่านี้ต่อครั้ง ถ้านายเห็นว่ามันไม่พอเดี๋ยวฉันจะส่งซองแดงให้อีก”

“เฮ้ยๆ แกกล้าส่งของแบบนี้ให้พี่เขาแล้วเอาเหรียญพลังงานไปหรอ”

อู๋ ฮ่าวเหรินอ่านคำอธิบายบนซองแดงแล้วทันทีที่ตาเขาเป็นประกายเขาก็คว้าซองแดงนั้นแล้วจ่ายสองเหรียญพลังงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นส่วนที่ระบบบังคับหักออกไป

“ไม่เป็นไรๆ ฉันอยากได้แร่ไปเรียนแกะสลักแร่โบราณน่ะ”

หลังจากส่งข้อความนี้ไป อู๋ ฮ่าวเหรินก็ไม่อธิบายข้อมูลอะไรให้คนที่สนใจอีก เขาดูของที่อยู่ในซองแดง เขาบื้อไปหน่อยเพราะว่ามันเป็นไปได้ที่แร่นี้อาจจะมีค่าเท่าหินอ่อนในโลกเดิม

หยกชิ้นหนึ่ง รูปร่างสี่เหลี่ยม ขนาดหนึ่งลูกบาศ์ก์เมตร เพราะว่ายังไม่ได้เอาออกมาเลยไม่สามารถรู้คุณภาพของมันได้ แต่จากคำอธิบายบนซองแดงแล้วมันน่าจะเป็นของคุณภาพดี

ดูเหมือนว่าถ้าระบบไม่มีการจำขนาดของที่ส่งผ่านตามระดับอย่างชัดเจนล่ะก็ ขนาดหยกที่ส่งมาต้องใหญ่กว่านี้แน่

อู๋ ฮ่าวเหรินอยากเห็นว่าหยกนี้เป็นอย่างไรแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขายังอยู่ข้างถนน และเขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วถูกจับไปวิจัย

ระหว่างที่เดินไปตามทาง เขาก็อ่านช่องสนทนาของระบบซองแดงไปด้วย ผู้คนกำลังคุยกันเรื่องที่เขาฉกซองแดงของแร่มีค่า

ในสายตาของคนพวกนี้ เขาเป็นดั่งเจ้าถิ่นแบบจ้าวเรดาร์ และตำแหน่งเจ้าถิ่นมันเป็นของคนที่มีเงินมหาศาล

“พี่แร่ ครอบครัวนายทำธุรกิจเกี่ยวกับหินแร่ใช่ไหม?”

“ใช่สิ ไม่งั้นนายคิดว่าฉันจะเอาแร่ขนาดใหญ่มาตั้งแต่แรกได้ยังไง? เมื่อกี้ฉันไปคัดดูรายชื่อหินในคลังสินค้ามา พอเจอก็ตัดออกมาสักชิ้นจากคลังเลย”

“นี่มันวันโชคดีของฉันจริงๆที่ได้เจอเจ้าถิ่นเช่นพ่อค้าของเก่า พี่ชายถ้ามีอะไรที่ต้องการอีกก็บอกฉันเลย ฉันจะหาให้ทันที”

“ใช่แล้วจากชื่อของเจ้าถิ่น เราจะเห็นว่าเขาเป็นพ่อค้าของเก่าจริงๆ ว่ากันว่าถ้าเขามาครั้งหนึ่งแล้ว กว่าจะมาอีกก็สามยุคถัดไปเลย”

อู๋ ฮ่าวเหรินอ่านช่องสนทนาแล้วถึงกับพูดไม่ออก เขาคือคนที่จนที่สุดที่ถูกเรียกว่าเป็นเจ้าถิ่นเลย

อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สำคัญแล้ว ด้วยหยกชิ้นใหญ่ขนาดนี้ถ้ามันขายออกได้ เขาก็ถูกเรียกว่าเจ้าถิ่นในสังคมปัจจุบันได้เลย

เขาคิดเรื่องนี้แล้วส่งข้อความไปว่า “ฉันเป็นพ่อค้าของเก่า ผู้ที่ศึกษาโบราณวัตถุ ถ้านายต้องการโบราณวัตถุละก็ติดต่อฉันได้เลย”

การโฆษณาเบาๆแบบนี้ สามารถบอกจุดยืนของเขาได้ ถ้าในอนาคตเขาส่งของโบราณในซองแดง พวกเขาจะได้ไม่ตกใจ

“โอ้ พี่พ่อค้าของเก่าอยู่ที่นี่ ขอบคุณมากสำหรับมือถือโบราณนั่น ถ้าภายหน้ามีโบราณวัตถุแบบนี้อีกติดต่อฉันได้เลย” เรดาร์ส่งข้อความมา

ขึ้นอยู่กับสถาณการณ์ที่ชายคนนั้นจะเอามือถือไปศึกษาและกำหนดอายุของมือถือ

“เรดาร์มาพอดี บอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าตอนนี้บริษัทนายกำลังจะผลิตอุปกรณ์สื่อสารแบบไหน?”

“เอ่อ ฉันไม่รู้หรอก ยิ่งกว่านั้น ต่อให้ฉันรู้ฉันก็บอกไม่ได้ นั่นมันความลับทางการค้านะ พ่อฉันต้องรับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของตระกูลเรา”

เห็นว่าไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเรดาร์ บางคนก็เลิกถามต่อ ถ้าพวกเขาได้ข้อมูลมาเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถลงทุนในเขตนี้ได้ตามที่ข้อมูลบอก

ในขณะนี้ พี่แร่ที่ส่งหยกมาในซองแดงให้อู๋ ฮ่าวเหรินได้ส่งข้อความมาหาเขาว่า “พี่ชาย นายต้องมีหยกและแร่โบราณของโลกในยุคโบราณแน่ๆ ฉันอยากจะซื้อหน่อยน่ะ”

ข้อมูลนี้ทำให้อู๋ ฮ่าวเหรินสงสัย หยกและแร่อื่นๆ คงไม่ใช่หินเน่าๆตามท้องถนนหรอกนะ?

“อย่างไรก็ตาม พี่พ่อค้าแร่ นายกล้าพูดไหมว่าหยกและงานแกะสลักหยกจากช่วงเวลาในอดีตหน่ะ ตอนนี้ยังหาเจอได้ในพิพิธภัณฑ์และตกทอดมาในบางครอบครัวตั้งแต่เท่านั้น”

แม้ว่าจะสงสัยมากๆอู๋ ฮ่าวเหรินก็ไม่ถามออกไปมั่วๆ เขาไม่อยากเผยตัวตนของเขา ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเผยตัว

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลนั้นดูเหมือนว่าบางอย่างในยุคนี้นั้นล้ำค่าสุดๆในยุคของพวกเขา

อู๋ ฮ่าวเหรินคิดหาทางจะเก็บเหรียญพลังงาน แต่ไม่นานก็หมดหวังอีกครั้ง เพราะแม้ว่าเหรียญพลังงานจะสามารถส่งให้ผู้อื่นตรงๆได้ แต่มันจะไม่นับในจำนวนของเหรียญพลังงานที่ใช้ในการยกระดับ

ตอนนี้เขามีเหรียญพลังงานที่ใช้ในการยกระดับได้เพียง 3 เหรียญยังอีกไกลที่จะถึง 10,000 เหรียญ

แต่ว่า เขาจะอยู่ปะปนในกลุ่มระดับแรกสุดตลอดไปเลยก็ได้!

ของที่ได้จากกลุ่มระดับ1 สามารถทำให้เขาเป็นชายที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกได้ ใครจะไปกล้าคิดเรื่องเทคโนโลยีทรงพลังจากโลกอนาคต ยานอวกาศก็ดี สิ่งประดิษฐ์ล้ำสมัยก็ดี

ในเมื่อเราไม่คิดจะทำดังนั้นเราแค่ต้องหาทางทดสอบว่าอะไรบนโลกนี้จะผลิตเหรียญพลังงานได้มากที่สุด

ไม่นานอู๋ ฮ่าวเหรินก็พบว่าเขาทำได้เพียงซื้อของต่างๆมาทำการทดสอบ

แต่ดูหยกขนาดหนึ่งลูกบากศ์เมตรนี่แล้ว เขาคิดว่ามันไม่น่ายากที่จะทำเงินจากมัน ถ้ามันไม่ใช่ทองที่ไม่สามารถซื้อขายได้ตามอำเภอใจ แต่ถ้าเขามีทองขนาดหนึ่งลูกบาศ์กเมตรล่ะก็เขาคงมีใช้ไปตลอดชีวิตแน่นอน

แน่นอนว่าถ้าของแบบนี้ล้นตลาด มันก็จะไม่ทำเงินอีกต่อไป เขาส่งข้อความไปในระบบว่า เขามีเรื่องต้องไปทำ เขาจะออฟไลน์

ถึงอยากไรก็ตาม ซองแดงส่วนใหญ่ที่ส่งออกมากเขาก็ฉกมาหมดโดยไม่คำนึงถึงการใช้งาน

แม้ว่าบางอย่างสามารถใช้ได้ อู๋ ฮ่าวเหรินก็ไม่กล้าใช้อยู่ดี

ตอนนี้ต้องกลับไปจัดการหยกนี่ก่อน แล้วเอามันไปที่ร้านในวันพรุ่งนี้เพื่อดูว่าจะขายได้เท่าไหร่

หลังจากที่ลงมาจากรถเมล์ มันเป็นเวลา 11.30น. อู๋ ฮ่าวเหรินเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเล็กๆเพื่อซื้อของกิน

แล้วก็วิ่งไปที่ตู้กดเงินข้างๆร้านสะดวกซื้อ กดเงินสองพันหยวนที่เขามีในบัญชีออกมาทั้งหมด

เขาเดินพร้อมมองดูหยกขนาดใหญ่ที่วางอยู่ในระบบซองแดงอย่างสบายใจ ไปยังสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่

หญิงที่อาศัยอยู่ใกล้เห็นอู๋ ฮ่าวเหรินกลับมาก็มองดูรอบๆก่อนที่จะดึงเขามาแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ยัยม้าปากร้ายนั่นกลับไปแล้วอย่างกับจะไปหาเรื่องให้นาย เหาเร็นทำไมนายถึงได้หุนหันขนาดนั้น แต่มันก็บรรเทาความโกรธของนายได้จริงๆ

อีนั่นมันไม่มีค่าอะไรหรอก ในเมื่อทำงานอยู่ที่บ้าน เธอต้องขอนายช่วยเธอด้วยซ้ำ ถ้าเธอขอค่าเช่าสำหรับปีใหม่ เธอก็รอไม่ได้สักวันหรอก ยังไงก็ตาม นายขัดสนเรื่องเงินไหม ถึงฉันจะมีไม่มากก็เถอะ แต่ก็พอให้ได้สักร้อยนะ”

อู๋ ฮ่าวเหรินถอยออกมาเพราะฐานะของครอบครัวป้าคนนี้ไม่ค่อยดีนัก บางครั้งที่เธอออกไปตั้งแผงลอยเขาก็ตามเธอไป เงินร้อยหยวนอาจเป็นเพียงอาหารแค่มื้อเดียวของคนรวย แต่สำหรับป้าคนนี้มันเป็นรายได้ทั้งเดือนจากการตั้งแผงลอย

“ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ผมจัดการเองได้ บางทีผมอาจจะย้ายออกจากที่นี่หลังจากวันนี้น่ะ”

“โอ้ ย้ายออกหรอ ใช่ๆ ค่าเช่าบ้านของยัยนี่มันแพงเกินไป”

หลังจากแน่ใจแล้วว่าอู๋ ฮ่าวเหรินสบายดี หญิงชราก็เดินจากไป

อู๋ ฮ่าวเหรินมองแผ่นหลังของหญิงชรา เขาส่ายหน้าแล้วเดินไปยังบ้านของยัยม้าปากร้ายในลาน

“แม่ ออกมาดูเร็ว เจ้าสัตว์ตัวน้อยมันกลับมาแล้วเขามาทีบ้านเราเลย คงสำนึกผิดแล้วแน่ๆ ได้โปรดให้อภัยเขาเถอะ” เสี่ยว เฟิงตะโกนอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าอู๋ ฮ่าวเหรินจะถูกเขาฉีกหน้า

“ไหน? มันมาจริงๆด้วย วันนี้เราจะเล่นงานมันให้ยับ แล้วก็ปล่อยมันไป ถ้ามันทนไปทำงานต่อได้ ก็ให้ลุงของลูกเอาเปรียบมันต่อ ไม่งั้นเขาก็จะเสียงานไป”

พออู๋ ฮ่าวเหรินเดินมาถึงยัยปากร้ายก็เปิดประตูต้อนรับราวกับเป็นผู้ชนะที่รอให้อู๋ ฮ่าวเหรินไปร้องขอความเมตตา

อู๋ ฮ่าวเหรินดูสถานการณ์แล้วก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากจะฉีกหน้าคุณแม่ดีเด่นกับคุณลูกแสนดีคู่นี้เลยจริงๆ

“เอานี่ กุญแจบ้าน ฉันไม่ต้องการเงินเดือนของเดือนนี้ด้วย(จริงๆแล้วเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้คืน) เราจบกันแล้ว

ถ้าป้าขึ้นเสียงกับฉัน ฉันจะไปหาสามีที่ขี้ขลาดของป้าแล้วตะโกนอัดหน้าเขาว่า ฉันไม่ทำงานให้แล้ว!”

ในแววตาที่ไม่ตอบสนองของพวกเขา เห็นอู๋ ฮ่าวเหรินเดินตรงออกไปข้างนอก

ณ ตอนนี้อู๋ ฮ่าวเหรินคิดว่าด้วยหยกชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ให้ตายเถอะ! ใครมันจะไปทนลำบากเพราะพวกแกกัน มันเคยเป็นการเอาชีวิตรอด แต่ตอนนี้เหมือนว่าฉันจะไม่ต้องห่วงเรื่องเอาชีวิตรอดแล้ว เราไม่ต้องรอให้ใครมาช่วยเราแล้ว

“แม่ เขา...”

เสี่ยว เฟิงมองแผ่นหลังของอู๋ ฮ่าวเหริน พูดไม่ออก เขาไม่ได้ตื่นเต้นเพียงเพราะรออู๋ ฮ่าวเหรินมาขอโทษอย่างเดียว แต่ยังเตรียมจะจัดการเขาอย่างสาสม ไม่คาดคิดถึงผลลัพธ์แบบนี้เลย

ทางด้านยัยปากร้ายเองก็กำลังสำลักอยู่นาน จนเกือบจะกระอักเลือด เธอไม่คิดว่าอู๋ ฮ่าวเหรินจะทำแบบนี้ เขากล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขากำลังกลัวว่าจะเสียงานงั้นรึ!

ใช่แล้ว งานไงล่ะ งานของเด็กยากไร้นี่ยังอยู่ในมือเธอ ดูซิว่าเขาจะหนีจากเงื้อมือเธอไปได้หรือไม่ อู๋ ฮ่าวเหรินถ้าแกไม่เช่าบ้าน เรื่องนี้ก็จะถูกคิดบัญชีร่วมไปด้วย

คิดเสร็จแล้วก็ตะโกนไล่หลังอู๋ ฮ่าวเหรินว่า “ไปเลย แกไม่สมควรมีงานทำ ไปให้ไวเท่าที่จะทำได้ แล้วจะได้เห็นดีกัน”

“ฮ่าๆ ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ฉันจะลาออกเองเมื่อบริษัทกลับมาเริ่มงานนะ”

ยัยปากร้าย เข้าใจถึงสถานะของอู๋ ฮ่าวเหรินและไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย เธอคิดว่าจะเรียกพี่ชายเธอมา และให้เด็กยากไร้นี่ต้องกลับมาขอขมาเธอให้ได้

-------------------------------