ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0355 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0357 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0356 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 356 : เมืองวิญญาณขั้วเหนือ

พอฉินหยุนได้ยินนามเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เขาอึ้งไปวูบ!

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยโหดเหี้ยมเป็นเรื่องจริง กระทั่งเป็นปีศาจน้อยตัวหนึ่งก็ว่าได้ ฉินหยุนได้เผชิญกับตัวเองมาแล้ว!

แต่ตอนนี้ นางถึงกับได้เป็นองค์หญิงแห่งแคว้นยุทธ์เชี่ยว!

“องค์ชายเจ็ด ท่านมั่นใจหรือว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นยุทธ์เชี่ยว?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “นางลวงหลอกต่อท่านหรือเปล่า?”

“ไม่ผิดพลาดแน่! เมืองวิญญาณขั้วเหนือ เป็นอาณาเขตของแคว้นยุทธ์เย่ว์ แต่องค์ชายแห่งแคว้นยุทธ์เย่ว์ลำดับที่หนึ่งร้อยเก้า ก็ปวดหัวกับเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่น้อย!” หงเหยียนกล่าว “ได้ยินว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เพิ่งได้รับพระราชทานยศองค์หญิง เป็นองค์หญิงลำดับที่สามร้อย!”

ฉินหยุนตอบ “ดูเหมือนแคว้นยุทธ์หงของท่านจะมีตำแหน่งน้อยไปหน่อยหรือไม่ ฟังไปแล้วคล้ายราชอาณาจักรยุทธ์แห่งอื่นมีจำนวนตัวเลขค่อนข้างมากเลยทีเดียว”

“แคว้นยุทธ์หงของเรามีเพียงสิบตำแหน่ง! เว้นแต่หนึ่งในนั้นเสียชีวิต จึงค่อยมีคนขึ้นมารับตำแหน่งแทน เป็นข้าโชคดี องค์ชายลำดับที่เจ็ดเสียชีวิต พรสวรรค์ข้าก็ไม่แย่ รวมกับมารดาข้าเป็นที่โปรดปราน จึงได้เป็นองค์ชายเจ็ดเช่นทุกวันนี้!” หงเหยียนยิ้มภูมิใจต่อโชคชะตา

เขาถอนหายใจ “เดิมข้าคิดเข้าเทือกเขาเมฆมังกร ดูว่าจะพบเจอเสด็จพ่อได้หรือไม่ เขาจะได้ช่วยเหลือข้า ไม่คิดเลยว่าแม้กระทั่งเงาก็ไม่พบ!”

ฉินหยุนรู้สึกตอนนี้ ว่าหงเหยียน องค์ชายลำดับที่เจ็ด เป็นปลาตัวใหญ่ ก่อนหน้าที่โรงเตี๊ยม ชัดเจนว่าหงเหยียนกล่าวคำพูดทั้งหลาย เพื่อชี้นำเขาให้เกิดความประทับใจแรกพบ

กระนั้น จากที่ได้พบพาน เป็นเพราะหงเหยียนข้นแค้น ดังนั้นจึงไม่คิดอวดร่ำรวย เขากระทั่งฝืนตัวเองทำเป็นไม่โลภมากอย่างไร้สาระ ทำตัวสง่างาม ผู้อื่นจะได้ไม่เหยียดหยามต่อเขา

บุตรแห่งราชันยุทธ์ที่จมโคลนปลักจนสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ย่อมไม่คิดจบสิ้น อันที่จริงเป็นหงเหยียนเองด้วยซ้ำที่แสวงหาการดูถูกเหยียดยาม ใครใช้ให้เขาแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้นไม่สิ้น เรื่องนี้จะกล่าวโทษผู้ใดได้!?

ฉินหยุนและหงเหยียน เดินทางผ่านภูเขาแห้งแล้ง ใช้เวลากว่าสองวันจึงค่อยมาถึงประตูเมืองวิญญาณขั้วเหนือ

เมืองวิญญาณขั้วเหนือล้อมไว้ด้วยกำแพงสูงหลายสิบเมตร มีอาคมใหญ่ป้องกันเป็นปราการแน่นหนา

ประตูเมืองปิดเอาไว้แน่น หลายผู้คนเรียงแถวอยู่ด้านนอก รอคอยให้ประตูเปิดจะได้เข้าไป ทุกตอนเช้าและบ่ายของวัน ประตูจะเปิดออกเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ให้ผู้คนได้เข้าและออก

หงเหยียนสวมใส่หมวกฟางปิดบังศีรษะล้านเลี่ยนและเส้นวิญญาณอัคคี

เขาและฉินหยุนกำลังต่อแถวอยู่นอกประตูเมือง

ก่อนหน้านี้ฉินหยุนได้ถามต่อหงเหยียน ถึงความพิเศษของเส้นวิญญาณอัคคี ว่ามันทำได้เพียงดูดกลืนพลังคุณลักษณะอัคคีเพียงอย่างเดียวจากพลังวิญญาณเก้าตะวัน

นอกจากนี้ หากเป็นพื้นที่ร้อนเพียงใด เขาก็ยิ่งดูดกลืนพลังวิญญาณอัคคีที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้มากเท่านั้น

ขณะพวกเขาต่อแถวกันอยู่ ประตูพลันเปิดออก

“นี่ยังไม่ถึงเวลา มีเรื่องอันใดกัน?” ขณะหงเหยียนกล่าวคำจบ ไม่ไกลออกไป เขาได้เห็นขบวนรถลากขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนคล้อยลงจากท้องฟ้า

“เป็นเจ้านั่น! องค์ชายลำดับที่หนึ่งร้อยเก้าแห่งแคว้นยุทธ์เย่ว์!” หงเหยียนแค่นเสียงเย็น “ในอดีต ข้าเองก็มีขบวนยิ่งใหญ่เช่นนั้น น่าเสียดายที่สูญเสียแก่เด็กสาวนั่นจนหมดสิ้น!”

ฉินหยุนทำได้แต่ยืนต่อแถวขณะพูดคุยกับหงเหยียนไปเรื่อย เขาไม่คิดเข้าไปในเมืองวิญญาณขั้วเหนือ เขาไม่มีเหรียญม่วงมากถึงหนึ่งหมื่นเหรียญ จึงไม่อาจซื้อตั๋วเข้าเมือง

ขณะขบวนรถลากเคลื่อนต่ำลงมา ชายในชุดสีทองหรูหราก้าวเดินออก อีกฝ่ายร่างสูง ผอมบาง และผิวขาวกระจ่าง รวมกับชุดหรูหราของอีกฝ่าย ยิ่งให้บรรยากาศของชนชั้นสูง

นี่คือองค์ชายลำดับที่หนึ่งร้อยเก้าแห่งแคว้นยุทธ์เย่ว์ เย่ว์ฉา!

หากนำมาเทียบเปรียบ หงเหยียนสวมใส่ชุดสีดำสนิท กางเกงก็ขาสั้นรุ่งริ่ง ชุดสีน้ำเงินนี้ไม่ทราบเขาฉกฉวยมาจากผู้ใด กระทั่งหมวกฟากยังคล้ายหล่นพื้นโดนเหยียบย่ำไปไม่ใช่น้อยแล้ว สภาพไม่คล้ายองค์ชายเลยแม้แต่น้อย

“ฮ่าฮ่า นั่นไม่ใช่องค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นยุทธ์หงที่โด่งดังหรอกหรือ? ตัวจริงเสียงจริงเลยนี่? ข้านึกว่าจำคนผิดเสียอีก!” เย่ว์ฉาโบกพัดในมือ ก้าวเดินออกขณะยิ้มเหยียด

กว่าสองร้อยคนที่ต่อแถว พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า สายตาหันมองทางหงเหยียนด้วยความตกตะลึง!

หงเหยียนอย่างไรแล้วก็เป็นผู้มีชื่อเสียง เพราะเขาเป็นถึงองค์ชายลำดับที่เจ็ดแห่งแคว้นยุทธ์หงด้วยอายุยังเยาว์ พรสวรรค์นับได้ว่าดีเลิศ เป็นปกติที่จะถูกพูดถึงบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ ผู้คนของเมืองวิญญาณขั้วเหนือ ยังได้ทราบว่าหงเหยียนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ประลองกันทั้งสิ้นเจ็ดครั้งครา และเป็นเขาที่พ่ายแพ้ทุกนัดประลอง สูญเสียทุกสิ่งอย่างแก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ย

ตอนนี้หงเหยียนปรากฏตัวที่นี่ ชัดเจนว่าคิดมาพลิกกระดานล้างมือ!

หงเหยียนเมินเฉยเย่ว์ฉา ยังคงสนทนากับฉินหยุนต่อ

เย่ว์ฉามองที่ฉินหยุน ผู้ซึ่งยืนด้านหลังหงเหยียน ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนจาง “หงเหยียนเอ๋ย ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะหาข้ารับใช้ใหม่ได้รวดเร็วเพียงนี้! ไม่เลว ดูยังเยาว์ไม่น้อย แต่กลับอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว!”

หงเหยียนกล่าวต่อฉินหยุน “อย่าไปสนมัน!”

เย่ว์ฉายังคงมองที่ฉินหยุนและกล่าว “เจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของหงเหยียน ก็เพียงเพราะเหรียญม่วงงั้นสิ! เอาอย่างนี้เป็นไร เลียฝุ่นออกจากรองเท้าข้าสักนิด เรียกหาข้าเป็นนายท่าน ข้าจะรับเจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของข้า!”

“ข้ารับประกันได้ ว่าจะได้รับการดูแลดีกว่าไอ้คนที่อยู่ข้างเจ้าตอนนี้!”

ฉินหยุนรับฟังคำพูดของเย่ว์ฉาเงียบงัน หาได้เผยความแตกตื่นใดไม่

เย่ว์ฉาเป็นบุตรแห่งราชันยุทธ์ แม้ลำดับหนึ่งร้อยเก้า แต่สถานะนับว่าสูงส่ง เพราะเขาได้รับความมั่งคั่งมาไม่น้อย ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าหลายต่อหลายคน จึงยินดีเป็นข้ารับใช้แก่เขา

ขณะที่องค์ชายอย่างหงเหยียน ผู้ซึ่งมีตัวตนแปลกประหลาด กลับเผยท่าทีตื่นตกใจออกมา

“เย่ว์ฉา เขาเป็นสหายข้า!” หงเหยียนกราดเกรี้ยวตะโกนออก

“เป็นเช่นนี้!” เย่ว์ฉาหัวเราะ “เช่นนั้นสหายผู้นี้ ให้ข้ามอบต่อเจ้าสักหมื่นเหรียญม่วง เพียงแค่พูดออกมาว่า ‘หงเหยียน ไอ้หน้าโง่!’ ก็พอแล้ว สนใจหรือไม่?”

“ความรู้สึกของผู้อื่นอย่าได้สนใจนัก สหายก็ถือเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันได้! ได้เห็นเจ้าสภาพยากไร้เช่นนี้ ดังนั้นจึงให้โอกาสได้รับเหรียญผลึกบ้าง! หมื่นเหรียญม่วงถือว่าไม่น้อย! วางใจ ข้าเย่ว์ฉา ย่อมไม่คิดกลับคำพูด!”

ฉินหยุนมองที่หงเหยียนและตะโกนออก “หงเหยียน ไอ้หน้าโง่!” ดังลั่น

เย่ว์ฉาพอได้ยินเช่นนี้ เขาหัวเราะดังลั่น จากนั้นนำเอาถุงใบใหญ่ที่บรรจุเหรียญม่วงออกมา ขว้างโยนมันให้แก่ฉินหยุน

เรื่องนี้ทำเอาหลายผู้คนล้วนอิจฉา!

“หงเหยียน เจ้าเห็นหรือไม่? กระทั่งว่าเป็นองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นยุทธ์หง ก็หาได้มีผู้ใดมองเจ้าเป็นองค์ชายเพราะรูปลักษณ์นั่น เจ้าเพียงแค่โชคหล่นทับจึงเป็นองค์ชายก็เท่านั้น! ไม่ได้คู่ควรกับข้าแม้สักนิ้วเลยด้วยซ้ำ!” เย่ว์ฉาหัวเราะยินดี

ฉินหยุนเปิดถุงออก ยิ้มกว้างแก่หงเหยียน “องค์ชายเจ็ด ตามที่ตกลงกัน ข้ารับเจ็ดสิบ ท่านเอาไปสามสิบ มารับส่วนแบ่งสามพันเหรียญม่วงของท่านไป!”

หงเหยียนหัวเราะ เร่งรีบเข้ามารับสามพันเหรียญม่วงจากถุง “ได้เจอคนโง่เช่นนี้ ถึงขั้นขว้างโยนเงินอย่างไม่รู้คุณค่า คุ้มค่ายิ่งนัก!”

เมื่อครู่ หงเหยียนและฉินหยุนได้ตกลงกันแล้วเพราะจะได้รับทรัพย์ก้อนใหญ่ พวกเขาย่อมไม่คิดปล่อยไปอย่างแน่นอน

ที่ต้องทำก็เพียงแค่ก่นด่าสักคำหนึ่ง มิตรสหายที่ดีต่อกัน ตะโกนด่ากันไม่นับเป็นอะไร

รอยยิ้มที่ใบหน้าเย่ว์ฉาแข็งค้าง กลับกลายเป็นความดำมืดเข้าแทนที่

เดิมเขาคิดว่าหงเหยียนจะต้องโกรธเกรี้ยว เพราะถูกสหายข้างกายหักหลัง เขาไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อได้รับหนึ่งหมื่นเหรียญม่วง ทั้งยังทำให้เขาดูเป็นคนโง่ผู้หนึ่ง!

“ไอ้หน้าโง่เหรียญม่วง ถึงกับให้ผลกำไรก้อนใหญ่เช่นนี้!” หงเหยียนยิ้มยินดี รับถุงเหรียญม่วงใบใหญ่ไว้ เขาไม่มีกระเป๋ามิติเก็บของ จึงได้แต่ห้อยมันเอาไว้ข้างกาย

ทางด้านฉินหยุน เขาครอบครองอุปกรณ์มิติเก็บของ จึงเก็บมันไปโดยทันที

ผู้ที่ครอบครองอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของ หาได้ใช่ผู้ยากไร้ไม่ นอกจากนี้ ยังเป็นถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เย่ว์ฉากลับกลาย รู้สึกว่าถูกหงเหยียนลวงหลอก แต่กระนั้น หงเหยียนก็ยังเป็นผู้มีสถานะองค์ชาย

ด้วยเหตุนี้ สายตาเขาจับจ้องที่ฉินหยุน บุคคลไร้ค่า ที่กล้าลวงหลอกเหรียญม่วงไปจากเขา!

พอคิดเช่นนี้ กายจึงทะยานออกด้วยโทสะ!

เย่ว์ฉาชี้นิ้วที่ฉินหยุน กล่าวออกอย่างเกรี้ยวกราด “สวะชั้นต่ำ เจ้ากล้าล้อเล่นต่อข้าหรือ! มาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถเพียงใด กล้าประลองกับผู้ติดตามข้าหรือไม่? หากเจ้าชนะ เจ้าก็ได้หนึ่งหมื่นเหรียญม่วง หากเจ้าแพ้ ก็ไม่ต้องจ่ายอันใด! แน่นอน ชีวิตต่ำต้อยของเจ้าต้องจบสิ้นที่นี่!”

หงเหยียนดึงชายเสื้อฉินหยุนเป็นการห้ามไม่ให้รับปาก

“องค์ชายลำดับที่หนึ่งร้อยเก้าแห่งแคว้นยุทธ์เย่ว์ เอาอย่างนี้เป็นไร? แม้ข้า หงเหยียนเป็นองค์ชายลำดับที่เจ็ดแห่งแคว้นยุทธ์หง ข้าก็ไม่เคยปรามาสต่อผู้ใด กระทั่งเป็นผู้ติดตามเจ้า ข้าก็ยินดีกระทำกับเขาเสมือนการประลองยุทธ์ทั่วไป ให้ประลองกันอย่างยุติธรรมบนลานประลองยุทธ์เป็นอย่างไร!”

น้ำเสียงของหงเหยียนเปี่ยมด้วยความอาจหาญและชอบธรรม เขายิ้มให้ข้ารับใช้เฒ่าชราอีกฝ่าย ทั้งจริงใจและมีมารยาท นี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การนับถือติดตามประการหนึ่งแล้ว!

หากเทียบกับเย่ว์ฉา ผู้ซึ่งปรามาสมองเหยียดต่อผู้อื่น ตัวตนของสองคนนี้แตกต่างกันชัดเจนเกินไป!

เย่ว์ฉาแค่นเสียง “หงเหยียน ผู้ใดไม่รู้พละกำลังแท้จริงของเจ้า? ข้ารับใช้ข้าหากสู้กับเจ้าย่อมต้องพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว! ให้สหายสวะของเจ้าออกมาสู้!”

ฉินหยุนตอบ “เป็นเจ้าพูด ว่าตราบเท่าที่ข้าชนะ จะได้รับหนึ่งหมื่นเหรียญม่วงใช่หรือไม่?”

“ข้าย่อมรักษาคำพูด หนึ่งหมื่นเหรียญม่วงถือว่ามากมหาศาลสำหรับเจ้า แต่กับข้าไม่นับเป็นอะไร!” เย่วฉาคิดอยากชนะ เพื่อกู้หน้ากลับคืน จากการที่ต้องเสียหนึ่งหมื่นเหรียญม่วงเมื่อครู่นี้ไป

ฉินหยุนพยักหน้ารับตกลง “ย่อมได้ เช่นนั้นให้ข้าประมือกับผู้ติดตามเจ้า!”

เย่ว์ฉาพอได้ยินดังนี้ เขาจึงหัวเราะออก “ตัดสินใจได้ดี!”

เขามองที่ชายวัยกลางคนใบหน้าเหี้ยมโหดและกล่าว “หากเจ้าจัดการมันได้ ข้าจะตบรางวัลให้หนึ่งหมื่นเหรียญม่วง!”

ใบหน้าของชายวัยกลางคนเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น เร่งร้อนรับคำขณะฝีเท้าก้าวเดินออกมา

ผู้คนล้วนถอยออกพ้นห่าง เพื่อให้ทั้งสองได้มีพื้นที่ประลอง

ฉินหยุนมองชายวัยกลางคน ท่าทียังคงสงบ

ชายวัยกลางคนในชุดดำเหยียดหยัน “ดูสภาพตัวเจ้า สมควรเป็นข้ารับใช้ แต่กลับบอกว่าเป็นสหายงั้นหรือ น่าขันนัก! สุนัขเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาเท็จต่อองค์ชายเย่ว์ฉา? ข้าจะแสดงพลังให้เจ้าได้เห็น ว่าผู้เหนือกว่าเป็นอย่างไร!”

“เริ่มได้!” ผู้ตะโกนเริ่มการประลองคือเย่ว์ฉา

ชายวัยกลางคน คล้ายทราบดีล่วงหน้า กายพุ่งออกโดยทันที กระทั่งชักนำอาวุธออกมา เป็นตะขอสีดำคู่หนึ่ง มันตวัดอย่างดุดันเข้าใส่ฉินหยุน

“มารดามันเถอะ กระทั่งใช้อาวุธ!” หงเหยียนสบถร้องออก จากนั้นจึงตะโกนบอกต่อฉินหยุน “น้องหยุนระวังด้วย สุนัขรับใช้ข้างกายเย่ว์ฉาสมควรแข็งแกร่งระดับหนึ่ง!”

ฉินหยุนหลบซ้ายขวา การโจมตีแม้ดุดัน แต่เขากลับหลบได้ง่ายดายยิ่ง

เย่ว์ฉาลอบอึ้งยามได้เห็นการเคลื่อนไหวของฉินหยุนที่รวดเร็ว

หงเหยียนไม่คิด ว่าฉินหยุนที่ดูยากไร้กลับครอบครองพละกำลังดีเยี่ยมเพียงนี้

หลังหลบเลี่ยงพ้นการโจมตีของชายวัยกลางคน ฉินหยุนจึงได้เห็นออร่าของอีกฝ่ายอ่อนแรงลงวูบหนึ่ง จึงปลดปล่อยเคล็ดวิชาคลื่นยักษ์ ใช้วัชระกำลังภายใน ก่อเกิดเป็นคลื่นกระแทกเก้าระลอก!

ข้ารับใช้วัยกลางคนที่ประมาทจนหย่อนความระวัง เร่งร้อนร่นถอย คลื่นกระแทกเคลื่อนเข้าหาจากทุกทิศทาง มันโหมซัดเข้าใส่อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง!

“คิดเป็นสุนัขรับใช้กัดผู้อื่นแทนเจ้านาย เหตุใดจึงไร้ฟันไว้กัดผู้อื่น?” ฉินหยุนกล่าว พร้อมใช้หมัดอ่อนอัคคี ระเบิดแสงออกมาวูบหนึ่ง ขณะแสงสว่างวาบปรากฏ หมัดของเขาก็ซัดเข้าที่ปากของชายวัยกลางคนเข้าไปแล้ว!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด