ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 54 โฆษณา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 56 ปีหายนะ

Re-new ตอนที่ 55 ปีใหม่


ตอนที่ 55 ปีใหม่

หยูเสี่ยวเฉาได้กลายเป็นหุ้นส่วนของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสชั้นนำในอนาคต นางใช้เวลาหลายวันครุ่นคิดว่าจะทำเยี่ยงไรให้พ่อแม่ปล่อยนางออกไปนอกบ้านเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ นั่นเป็นวิธีเดียวที่นางจะมีโอกาสโปรยน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ไว้รอบ ๆ กับดักที่พ่อของนางวางเอาไว้ เฮ้อ ! บางทีการมีพ่อแม่ขี้กังวลก็ลำบากอยู่เช่นกัน !

แต่สุดท้ายนางก็ทำไม่สำเร็จ มิใช่เพราะว่าพ่อแม่ของนางคัดค้าน แต่เป็นเพราะมีพายุหิมะอีกลูกต่างหาก พายุหิมะครานี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพายุลูกแรกเลย หมู่บ้านบนภูเขาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาสีขาวโพลน

ที่บ้านเก่าของตระกูลหยู หลังคาครึ่งหนึ่งได้พังลงมาเพราะหิมะตกทับถมกันหนาจนเกินไป

สามพี่น้องตระกูลหยูทำงานหนักท่ามกลางพายุหิมะเป็นเวลา 3 - 5 วันภายใต้การควบคุมดูแลของเฒ่าหยู และในที่สุดก็ซ่อมแซมบ้านเก่าของพวกเขาจนเสร็จ

เฒ่าหยูเป็นผู้ลี้ภัยที่หนีมายังหมู่บ้านตงชานพร้อมกับพ่อของเขาตอนที่เขายังเป็นเด็ก  บ้านเก่าของตระกูลหยูเป็นกระท่อมสองห้องที่ทำจากดินโคลนและฟาง ชาวบ้านของหมู่บ้านตงชานได้กุลีกุจอช่วยพวกเขาสร้างขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงพ่อที่ล่วงลับไปแล้วของเฒ่าหยู รวมทั้งความทรงจำในวัยเด็กของเขาด้วย พี่น้องสี่คนของตระกูลหยูล้วนเกิดและเติบโตขึ้นในบ้านเก่าหลังนี้

ดังนั้นถึงแม้ว่าตระกูลหยูได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งบ้านเก่าของพวกเขาแต่อย่างใด เฒ่าหยูจะมาที่บ้านเก่าอยู่บ่อย ๆ พวกเขาจะทำการซ่อมแซม 1 - 2 คราต่อปี เยี่ยงนั้นมันคงกลายเป็นบ้านร้างไปแล้ว

หิมะตกลงมามากเกินไปจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปล่าสัตว์บนภูเขา แผนการจับสัตว์หาเงินก่อนปีใหม่ของหยูเสี่ยวเฉาจึงต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้ราคาสินค้าก่อนวันปีใหม่ก็สูงขึ้นไปอีกระดับ ในทุก ๆ วันนางจางจะคิดคำนวนสัดส่วนอาหารของครอบครัวแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

โชคดีที่ทั้งครอบครัวเพิ่งจะอยู่บ้านกันในช่วงฤดูหนาว ตระกูลหยูที่กินอาหาร 2 มื้อต่อวัน  ถูกลดเหลือแค่การกินแผ่นแป้งแห้ง ๆ ในตอนเช้าและซุปเต้าเจี้ยวชวนแหวะในตอนเย็น  นอกจากนั้นแผ่นแป้งธัญพืชหยาบที่กินเป็นอาหารเช้าก็ไม่ใช่อาหารที่ทานได้ไม่อั้น

พวกผู้ชายจะได้แผ่นแป้งขนาดเท่าฝ่ามือกันคนละ 2 แผ่น ส่วนพวกผู้หญิงจะได้แค่คนละ 1 แผ่นเท่านั้น เด็กก็ยิ่งได้น้อยขึ้นไปอีก นางจางถึงขั้นหยุดแบ่งไข่ให้กับหยูไซตี้ ครอบครัวของพวกเขามีคนมากกว่า 10 คนซึ่งไม่สามารถหารายได้ตลอดทั้งฤดูหนาว ในช่วงฤดูหนาวนี้แม้แต่ไก่ของพวกเขาก็ยังออกไข่ไม่มากนัก พวกเขาได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ กินอยู่ที่บ้านขณะที่เงินเริ่มหมดไปเรื่อย ๆ

นางจางจ้องหยูไห่กับลูกสาวของเขาอย่างโกรธจัด ถ้าพวกเขาไม่เป็นหนี้เพราะค่ารักษาของนังเด็กเวรนั่นล่ะก็ เงินที่หยูไห่ได้จากการขายสัตว์คงพอให้พวกเขามีงานฉลองปีใหม่ที่หรูหราไปแล้ว ! สถานการณ์คงไม่เหมือนตอนนี้ที่พวกเขาต้องนับสัดส่วนอาหารก่อนจะทำอาหารในแต่ละมื้อ !

“ลูกรอง ! อีกสองวันก็ปีใหม่แล้ว วันนี้หิมะหยุดตก เจ้าใช้โอกาสนี้เข้าเมืองไปซื้อของที่ต้องใช้ในวันปีใหม่เสีย อย่างแรกครอบครัวเราเหลือแป้งข้าวฟ่างไม่มากแล้ว ซื้อแป้งข้าวฟ่างมาเพิ่มเอามาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็ไม่ว่าจะยังไงเราก็ต้องทำเกี๊ยวในวันปีใหม่ เยี่ยงนั้นก็ซื้อแป้งสาลีกับเนื้อมาด้วย 2 ชั่ง... !”

นางจางสั่งซื้อข้าวของยาวเหยียดแต่ไม่ยอมควักเงินออกมาสักอีแปะเดียว หยูไห่เกือบตอบตกลงแล้วแต่ลูกสาวคนเล็กของเขาก็ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ เขาหันไปมองและเห็นลูกสาวขยิบตาเป็นสัญญาณให้ หยูไห่เข้าใจความหมายของนางทันที แต่ถึงยังไงเขาก็เคยชินกับการเชื่อฟังนางจางมาตลอด 20 กว่าปี ดังนั้นจึงเกิดความลังเลขึ้นมา

แต่เมื่อเห็นสายตาน่าสงสารของลูกสาวและคิดถึงการตัดสินใจของตนเองแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าจะไปยืมรถเลื่อนที่บ้านท่านลุงใหญ่ แต่เงินซื้อของฉลองปีใหม่...”

ทันทีที่พูดถึงเรื่องเงิน นางจางก็ชักสีหน้าทันที “สองสามวันก่อนเจ้าไปขายสัตว์ในเมืองทุกวันเลยมิใช่รึ ? ต้องได้เงินมาเยอะเป็นแน่ เหตุใดยังต้องขอเงินข้าอยู่อีกในเมื่อตนเองก็มีเงิน ? ลูกรองมิมีผู้ใดในครอบครัวของเราเก็บเงินไว้ใช้ส่วนตัวกันหรอกนะ นี่เป็นกฎที่ห้ามฝ่าฝืน !”

“ท่านย่าเจ้าคะ หิมะที่สะสมในป่าบนภูเขายังไม่ละลายเลยด้วยซ้ำ สัตว์ที่ไหนจะออกมาให้จับเจ้าคะ ช่วงไม่กี่วันมานี้ท่านพ่อจับสัตว์ได้น้อยมาก ท่านย่าไม่เข้าใจหรือเจ้าคะว่าเราจะได้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว ? นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเราก็ต้องจ่ายหนี้ของพวกเราก่อนสิเจ้าคะ พอคืนเงินที่พวกเรายืมท่านปู่ใหญ่ไปเป็นค่ารักษาของข้าแล้ว พวกเราก็ไม่มีเงินพอจะซื้อยาด้วยซ้ำ โชคดีที่หมอซุนสงสารพวกเราเลยยอมให้เราติดค่ายาไว้ก่อนได้ ! ท่านพ่อเจ้าคะ หลังปีใหม่ท่านพ่อต้องขึ้นภูเขาให้บ่อยมากขึ้นนะเจ้าคะ จะได้คืนเงิน 10 กว่าตำลึงที่เราติดร้านยาถงเหรินไว้ให้หมด วันหน้าครอบครัวเรายังต้องพึ่งหมอซุนให้ช่วยรักษาอาการป่วยของพวกเราอีก”

เสี่ยวเฉารู้ดีว่าพ่อของนางพัฒนาขึ้นมากแล้วที่สามารถเอ่ยปากขอเงินจากนางจางได้  ดังนั้นนางจึงแทรกขึ้นมาและพูดทุกอย่างที่จำเป็นต้องพูด

10 กว่าตำลึงรึ ? นางจางอ้าปากค้างอย่างรู้สึกตกใจและมองเสี่ยวเฉาด้วยสายตาทิ่มแทงราวกับดวงตาของนางคือมีด ถ้าทำได้นางก็คงอยากจะหั่นนังเด็กตัวซวยนั่นออกเป็นชิ้น ๆ เป็นแน่ !

“ชิ ! กะอีแค่ป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ต้องใช้เงิน 10 กว่าตำลึงเชียวรึ ? ดูเหมือนครอบครัวเราจะมีคุณหนูผู้สูงศักดิ์มาเกิด น่าเสียดายที่มาเกิดผิดตระกูล ตาย ๆ ๆ เงิน 20 กว่าตำลึงนี่มากพอจะทำให้ทั้งครอบครัวใช้แบบประหยัด ๆ ไปได้ทั้งปีเลยมิใช่รึ จุ๊ ๆ ๆ...” นางหลี่เดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจพร้อมกับโหมไฟให้แรงขึ้นอีก

หยูไห่นึกถึงความไม่แยแสของครอบครัวในตอนที่ลูกสาวของเขากำลังจะตาย พวกเขาไม่ได้ใช้เงินของครอบครัวเป็นค่ารักษาลูกสาวเขาเลยสักอีแปะเดียว แต่ยังต้องทนให้คนพวกนั้นเหน็บแนมถากถางอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึมน่ากลัวขึ้นทันที เขาจึงเอ่ยพึมพำว่า  “ท่านพี่สะใภ้มิต้องห่วงหรอกว่าลูกสาวของข้าจะมีชีวิตเยี่ยงไร ! เพราะพวกเรามิได้ใช้เงินของท่านพี่สะใภ้มารักษาลูกสาวของข้าเลยสักอีแปะเดียว !”

“ต๊าย ! นี่โกรธข้างั้นรึ ! เจ้ามิได้ใช้เงินของข้าเป็นค่ารักษาลูกสาวเจ้า ข้าหลี่กุ้ยฮัว ก็มิได้ใช้เงินเจ้ามาเป็นค่าอาหารหรือน้ำดื่มเช่นกัน ! เจ้ามีสิทธิอะไรมาตะคอกใส่ข้า ? คิดว่าข้าจะยอมให้รังแกง่าย ๆ เยี่ยงนั้นรึ ?” นางหลี่ไม่ใช่บุคคลที่จะทนต่อการพ่ายแพ้ได้ นางเท้าสะเอวและขึ้นเสียงกลับทันที

เดิมทีหยูไห่ก็ไม่เก่งเรื่องการโต้เถียงกับคนอื่นอยู่แล้ว พอเห็นนางหลี่ทำท่าทางเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำเยี่ยงไรต่อดี

แต่หยูเสี่ยวเหลียนไม่ยอมทน “ท่านป้าใหญ่วิจารณ์คนอื่นได้ จิกกัดเหน็บแนมคนอื่นได้  แต่คนอื่นพูดถึงท่านป้าไม่ได้ ไม่ทราบว่าใช้ตรรกะอันใดรึเจ้าคะ ? ท่านพ่อของข้าพูดอะไรผิด ? ค่ารักษาของน้องข้าต้องใช้เงินเยอะ แล้วท่านพ่อผิดตรงไหนที่จะหาเงินมาเป็นค่ารักษาลูกสาวของตนเอง ? ต่อให้เป็นเงิน 200 ตำลึงก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตน้องสาวของข้าหรอก อย่าว่าแต่ 20 ตำลึงเลย !”

นางจางจ้องหน้าเสี่ยวเหลียนแล้วขว้างไม้กวาดในมือไปทางเสี่ยวเหลียนพร้อมกับตะโกนว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดสอดตอนผู้ใหญ่สนทนากันก็ได้ด้วยรึ ? ลูกรองเจ้าสั่งสอนลูกของเจ้าเยี่ยงไรกัน ?”

หยูเสี่ยวเฉาร้องออกมาอย่างตกใจ “ท่านย่าทำอันใดเจ้าคะ ? ทำข้าป่วยหนักไม่พอ ยังจะตีท่านพี่ของข้าอีก ! ท่านย่าน่าจะระวังการกระทำของตนเองให้มากกว่านี้หน่อยนะเจ้าคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวข้าล่ะก็ ท่านย่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสเสียดายเงินเลยด้วยซ้ำ !”

พอพูดถึงเงิน  แม้ว่านางจางจะโกรธจัดซักขนาดไหนก็ไม่กล้าระบายความโกรธใส่เด็ก ๆ โดยตรงอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก ๆ ในช่วงฉลองปีใหม่ล่ะก็ ดูจากความรักที่หยูไห่มีให้กับลูก ๆ ของเขาแล้ว เขาจะต้องพาลูกไปหาหมออย่างแน่นอน ต่อให้ต้องเป็นหนี้เพิ่ม  เขาก็จะให้ลูกได้รับการรักษาเป็นแน่ ผลที่ตามมาก็คือนางจะไม่ได้เงินจากหยูไห่เลยในช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง

เฒ่าหยูที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “พวกเจ้าหยุดได้รึยัง ! มิกลัวจะกลายเป็นตัวตลกของคนอื่นในช่วงปีใหม่รึเยี่ยงไรกัน ? ยายแก่ใช่ว่าเจ้าจะมิมีเงินเสียหน่อย เลิกคิดจะเอาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกรองได้แล้ว ! รีบเอาเงินออกมาเร็วเข้า ซื้อของงานปีใหม่สำคัญกว่ามิใช่รึ !”

“ข้ามีเงินอยู่นิดเดียว จะพอให้พวกเขาใช้รึ ?” นางจางเจ็บปวดที่ต้องเสียเงินมากกว่าถูกเฉือนเนื้อเสียอีก

เฒ่าหยูเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าก็เอาแต่พูดเรื่องเงิน ๆ ๆ ! สำหรับเจ้าเงิน 1 อีแปะยังใหญ่กว่าโม่หินอีกเสียล่ะมั้ง ! พวกเราก็แค่หาเงินกลับคืนมาตอนน้ำทะเลที่ชายฝั่งละลายในฤดูใบไม้ผลิมิได้หรือเยี่ยงไรกัน ? หลังปีใหม่ลูกใหญ่กับข้าจะไปออกเรือหาปลา ส่วนลูกรองก็ขึ้นไปบนภูเขา พวกเราจะหาเงินมาชดเชยค่าใช้จ่ายในช่วงฤดูหนาวเอง !”

นางจางไม่มีทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ได้อีกแล้ว นางจึงจำใจเปิดตู้ที่ล็อคเอาไว้พร้อมกับบ่นพึมพำ นางหยิบเงินอีแปะออกมา 1 พวงและก้อนเงินที่ขนาดเท่าเล็บอีกหลายก้อน หญิงชราเตือนหยูไห่ราวกับกลัวว่าเขาจะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย “เดี๋ยวนี้ของทุกอย่างแพงเป็นอย่างมาก เยี่ยงนั้นอย่าได้ซื้ออาหารมามากจนเกินไป พวกเรามีแป้งมันเทศอยู่ที่บ้านแล้ว  ถึงกินมากแล้วจะทำให้เสียดท้อง แต่มันก็ทำให้อิ่มได้เช่นกัน ! ส่วนแป้งสาลีกับเนื้อก็ซื้อมาให้พอสำหรับทำเกี๊ยว 1 มื้อเท่านั้นก็พอ...”

หยูเสี่ยวเฉามองเงินในมือของบิดาแล้วเบะปากพลางคิดในใจ “ต่อให้อยากซื้อ แต่เงินพวกนี้ก็ไม่มากพอจะซื้อของได้เยอะแยะหรอกมิใช่รึ ! จะต้องมาเตือนพวกเขาย้ำ ๆ อีกทำไมกัน ? เหอะ !

หยูไห่รับเงินมาแล้วออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ วันนี้เป็นวันที่แดดจ้าอย่างหาได้ยาก แม้ว่าหิมะบนพื้นจะสูงถึงน่องแล้ว แต่ก็ยังมีคนมากมายเข้าเมืองไปซื้อของสำหรับฉลองวันปีใหม่ คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ซื้อของที่จำเป็น พวกเขาจึงต้องฉวยโอกาสในวันที่อากาศดีเช่นนี้ไปซื้อของที่ต้องการ

ตอนแรกลุงใหญ่ของหยูไห่ก็วางแผนจะเข้าเมืองวันนี้เช่นกัน แต่เมื่อเห็นหลานคนโตอยากยืมรถเลื่อนและคิดว่าน่าจะอากาศดีเช่นนี้มากกว่า 1 วัน เขาจึงตัดสินใจจะเข้าเมืองในวันรุ่งขึ้นแทน

หยูไห่ไม่กล้าซื้อของที่ไม่จำเป็นจนมากเกินไปและตรงไปที่ร้านขายธัญพืชเพื่อซื้อแป้งข้าวฟ่าง 50 ชั่งและแป้งสาลี 5 ชั่ง หลังจากนั้นเขาก็ไปที่ร้านขายเนื้อและซื้อเนื้อมา 2 ชั่ง  เงินที่นางจางให้มามันไม่พอเขาจึงต้องใช้เงินของตนเองจ่ายด้วย

ขณะที่เดินไปตามถนน เขาก็เจอกับผู้จัดการร้านเจินซิว ผู้จัดการร้านรู้ว่าเด็กหญิงจากตระกูลหยูเป็นคนที่คุณชายของเขาให้ค่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาย่อมทักทายหยูไห่อย่างอบอุ่น เมื่อเห็นว่าหยูไห่ซื้อของฉลองปีใหม่แบบธรรมดาและเรียบง่าย เขาก็ได้ซื้อขนมกับน้ำตาลปั้นจากร้านขนมและยืนกรานให้หยูไห่รับเอาไว้ เขาได้บอกว่าคุณชายสามโจวสั่งให้เขาซื้อให้คุณหนูหยูกับน้องชายของนาง

หยูไห่ซื้อซาลาเปาเนื้อและไปที่ร้านไม้เพื่อเยี่ยมลูกชาย เขายังทิ้งเงินเอาไว้ให้ลูกชายอีกด้วย แต่หยูไห่ก็ไม่คิดหรอกว่าลูกชายของเขาจะใช้เงินที่ได้จากครอบครัว แต่คงจะเก็บมันเอาไว้แทน ซึ่งนั่นทำให้เกิดหายนะที่เกือบคร่าชีวิตของหยูฮัง

ปีใหม่ใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ ตอนเช้าของวันส่งท้ายปีเก่านางหลิวก็ทำงานยุ่งอยู่ในครัวพร้อมกับลูกสาวสองคนของนาง เนื้อ 2 ชั่งที่หยูไห่ซื้อมาส่วนใหญ่เป็นมันหมู นางหลิวตัดเอาส่วนหนึ่งมาทำเป็นน้ำมันหมู และเหลือกากหมูไว้สำหรับตอนเย็นที่ต้องผสมกับกะหล่ำปลีเพื่อยัดไส้เกี๊ยว

ผักฤดูหนาวมักจะเป็นหัวไชเท้าไม่ก็กะหล่ำปลี หยูเสี่ยวเฉาคาดเอาไว้แล้วว่าที่บ้านจะไม่มีอาหารมากพอสำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ ดังนั้นนางจึงปลูกถั่วงอกเอาไว้ที่ปลายเตียง อีกทั้งยังทำวุ้นเส้นด้วยแป้งมันเทศอีกด้วย

เมื่อมีวุ้นเส้นมันเทศ อาหารในงานปีใหม่ของพวกเขาก็ไม่จืดชืดแล้ว ต้มกะหล่ำปลีกับหัวไชเท้าและวุ้นเส้น, ผัดกะหล่ำปลีเปรี้ยว, หัวไชเท้าตุ๋น, ผัดเห็ดหูหนูกับกะหล่ำปลี, ยำหัวไชเท้ากรอบ,และผัดถั่วงอก... พวกเขายังหั่นเนื้อหมูมาผัดกับถั่วงอกและวุ้นเส้นอีกด้วย  สำหรับซุปนั้นพวกเขาทำซุปกะหล่ำปลีกับถั่วงอก

เมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟ แม้แต่นางจางที่จุกจิกจู้จี้ก็ยังประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด นางไม่เคยรู้เลยว่าหัวไชเท้า, กะหล่ำปลี, และถั่วงอกจะนำมาทำอาหารได้หลากหลายเช่นนี้

สำหรับรสชาตินั้นเห็นได้ชัดเจนจากปฏิกิริยาของทุกคน ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาเลย พวกเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินซึ่งนั่นเป็นคำยืนยันถึงความอร่อยได้อย่างชัดเจนที่สุด

เฒ่าหยูไม่ค่อยมีโอกาสได้ดื่มเหล้ามากนัก เขาเทเหล้าให้ลูกชายทั้งสามคนแล้วเอ่ยอย่างพอใจว่า “ฝีมือทำอาหารของสะใภ้รองพัฒนาขึ้น อาหารในวันนี้อร่อยเป็นอย่างมาก !”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด