ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0336 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0338 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0337 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 337 : สำนักวิญญาณหมัดมังกร

หญิงวัยกลางคนกลุ่มนี้ เดิมมาจากตำหนักตะวันตก ตำหนักทิศใต้ และตำหนักทิศเหนือ สองคนมาจากจักรวรรดิเทียนเชี่ยว เป็นผู้รับหน้าที่จับตามองเชี่ยวเย่ว์หลาน

ตอนนี้ พวกนางล้วนเข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง

พวกนางต่างอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า กระทั่งในตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง สถานะของพวกนางก็ยังสูงส่ง!

สำหรับฉินหยุน เขาคิดอยากให้พวกนางคุกเข่ายอมรับความผิด แต่พวกนางจะยอมรับได้อย่างไร?

หญิงวัยกลางคน ผู้ที่โดนตบหน้าร่างกระเด็นได้รับการช่วยพยุงขึ้น ครึ่งหน้าของนาง กลับกลายเป็นสีดำช้ำเพราะแรงตบ เส้นผมก็ยุ่งเหยิง คล้ายกึ่งไม่ได้สติเสียด้วยซ้ำ

“ฉินหยุน! จะอวดดีเกินไปแล้ว! อย่าได้คิดว่าเจ้าดีเลิศเพียงเพราะมีสองวิญญาณยุทธ์! พวกเราหาได้อ่อนแอดั่งขยะจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามไม่!”

“ข้าจะนับสอง หากเจ้าไม่คุกเข่าลงขออภัยต่อพี่หลัน ข้าจะลงมือ!” ฉินหยุนกล่าวเสียงเย็น “หนึ่ง... สอง!”

ทันทีที่กล่าวคำจบ หมอกสีดำจึงเริ่มทะลักออกจากร่างกายเขา ปกคลุมร่างหญิงวัยกลางคนกลุ่มนี้เอาไว้!

ถัดจากนั้น พื้นดินเริ่มสั่นไหว!

ดวงตาของฉินหยุนแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ!

เขาใช้พลังวิญญาณยุทธ์สั่นไหว!

หญิงชั่วช้าเหล่านี้ ทั้งหมดต่างอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่หนึ่ง!

ขณะคลื่นกระแทกเข้าปกคลุม ร่างกายพวกนางโดนสะกดข่มด้วยคลื่นกระแทก กระอักเลือดออกจากปากคำโตโดยทันที!

“คุกเข่า!”

ฉินหยุนคำราม พื้นดินยิ่งสั่นไหวรุนแรง!

กลุ่มหญิงโฉดที่อหังการเหล่านี้ เผยเสียงกรีดร้องน่าสังเวชออกขณะคุกเข่ากับพื้น กระเบื้องที่เริ่มปริแตก

กลุ่มศิษย์ที่ได้เห็นเรื่องราวนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเผยความหวาดกลัวออกอย่างรุนแรง!

กลุ่มผู้อาวุโสที่ทรงพลังอำนาจเหล่านี้ กลับโดนแรงกดดันสะกดข่มจนถึงขั้นคุกเข่า กระอักเลือดออก ทั้งหมดนี้ก็เพราะขุมพลังภายในขั้นสูงของฉินหยุน!

“ไสหัวไป!”

ฉินหยุนโบกมือ ตบหน้าหญิงเหล่านั้น ส่งร่างกระเด็นไกลออกไป

ถัดจากนั้น เขาช่วยพยุงร่างของหลันเฟิงจินขึ้นมา ก่อนจะบินมุ่งหน้าไปยังภูเขาสีเงินลึกลับของตำหนักตะวันออก เข้าสู่ถ้ำที่อยู่ยอดเขา

หลันเฟิงจินนั่งบนเก้าอี้ รับชมห้องโถงด้วยความตื่นเต้นยินดี “อาจารย์ ท่านถึงขั้นผ่านการทดสอบของประตูจารึก ช่างน่าเหลือเชื่อนัก! โชคไม่ดี ปู่ของข้ามุ่งหน้าสู่เทือกเขาเมฆมังกรแล้ว เขาน่าจะหาทางหวนคืนสู่แดนยุทธ์อ้างว้าง!”

ฉินหยุนยิ้ม “พี่หลัน ท่านเป็นศิษย์ข้า ในภายหน้า ท่านก็จะเป็นศิษย์ของสำนักจารึก! ลืมเลือนเรื่องตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงไป!”

“ตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงถือว่ายอดเยี่ยม! แต่เพราะกลุ่มหญิงโฉดเหล่านั้นริษยาต่อข้า เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงทำต่อข้าเช่นนี้!” หลันเฟิงจินแค่นเสียงกล่าว “อย่างไรแล้ว ข้ามีอาจารย์อยู่แต่แรก ย่อมไม่คิดรับผู้อื่นเป็นอาจารย์อีก!”

“เย่ว์หลาน ซือเยี่ย และอาจารย์หยาง พวกนางต่างเข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

หลันเฟิงจินพยักหน้ารับ “ใช่! อาการบาดเจ็บของฉีเย่ว์ร้ายแรง วิญญาณยุทธ์ของนางก็บาดเจ็บรุนแรง ผู้คนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงสามารถรักษานาง กระนั้น... ราคาที่ต้องจ่ายคือต้องอยู่ที่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง”

“เย่ว์หลานและซือเยี่ย ทั้งสองต่างเป็นศิษย์หญิงที่เลิศล้ำ พวกนางถูกพาตัวไปนานแล้ว ข้าได้ยินว่าได้รับการสอนสั่งโดยตรงจากจ้าวตำหนักวิญญาณสีม่วง!”

ฉินหยุนเดินไปมาในห้องโถง “จ้าวตำหนักใหญ่ไปยังเทือกเขาเมฆมังกรจริงหรือ?”

“เขาไปพร้อมปู่ของข้า พวกเขากล่าว ว่าคิดอยากสำรวจหลุมฝังเซียน หากพวกเขาไม่กลับมา เช่นนั้นก็คงไปแดนยุทธ์อ้างว้างแล้ว” หลันเฟิงจินตอบ

อย่างกะทันหัน เสียงตะโกนพลันดังจากด้านนอก

ฉินหยุนรับฟัง เสียงนี้เป็นของฉ่วยอี้ฮวย

เขาเร่งรีบเดินออกไป ร่อนลงที่พื้นเบื้องล่าง

ฉ่วยอี้ฮวย จ้าวตำหนักจากอดีตตำหนักตะวันออก และกลุ่มผู้อาวุโสขอบเขตวรยุทธ์เต๋าหลายสิบคนต่างอยู่ที่นี่ พวกเขาล้วนรับชมฉินหยุนด้วยอาการแตกตื่น

“ฉิน... ฉินหยุน เจ้าเป็นจ้าวสำนักจารึกแล้ว?” ฉ่วยอี้ฮวยสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

ฉินหยุนนำจี้ห้อยคอหยกออกมา “ข้าได้รับมันมา สงสัยนักว่านี่เป็นตราของจ้าวสำนักหรือไม่?”

ได้เห็นชิ้นหยก ฉ่วยอี้ฮวยและคณะต่างสูดลมหายใจเข้าลึก!

“แสดงความเคารพต่อราชัน!” ฉ่วยอี้ฮวยโค้งกายโดยทันที พร้อมทั้งกล่าวคำแสดงความนับถือ

ผู้อาวุโสคนอื่นที่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ต่างก็โค้งกายแก่ฉินหยุน

กระทั่งฉินหยุนยังประหลาดใจ ว่าจ้าวสำนักของประตูจารึกถึงกับมีตำแหน่งเพียงนี้!

“ทุกท่านอย่าได้มากมารยาทแล้ว! สถานการณ์ตอนนี้ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามเป็นอย่างไร?” ฉินหยุนขมวดคิ้วถาม “จ้าวตำหนักใหญ่ เข้าไปยังเทือกเขาเมฆมังกรนานหรือยัง?”

“ตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ได้ผนวกรวมเข้ากับตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง พวกเขาตอนนี้คือคนที่จัดการเรื่องราว! สำหรับตำหนักตะวันออก จ้าวตำหนักหลิงรับหน้าที่!” ฉ่วยอี้ฮวยมองไปยังหญิงชราข้างกาย

จ้าวตำหนักหลิงเป็นสตรีเพศ ดังนั้นนางจึงได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์โดยตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ภายในตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง นางถือเป็นผู้อาวุโส

“เช่นนั้น... จ้าวสำนักจารึกก็ถูกนับเป็นสมาชิกของตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงด้วย?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“ถูกต้อง! ทว่าก็สมควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงต่างทราบถึงความสำคัญของประตูจารึกเป็นอย่างดี!” จ้าวตำหนักหลิงกล่าว “จ้าวสำนักฉิน จดหมายนี้ส่งถึงท่านโดยจ้าวตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง!”

จ้าวตำหนักหลิงส่งมอบจดหมายมา

ฉินหยุนเปิดอ่านเนื้อหาด้านใน

จดหมายนี้มาจากจ้าวตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง เป็นการกล่าวขออภัยอย่างจริงใจต่อหลันเฟิงจิน และคิดเชิญเขาสู่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงเพื่อหารือ และให้นำหลันเฟิงจินร่วมทางไปด้วยได้

“พวกท่านเคยพบจ้าวตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงมาก่อนหรือไม่? นางเป็นคนเช่นไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“นางเป็นคนสุภาพยิ่ง! ย้อนกลับไปตอนอยู่แดนยุทธ์อ้างว้าง นางเองก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง! เรื่องราวของหลันเฟิงจินครั้งนี้ เป็นเพราะกลุ่มหญิงโฉดเหล่านี้กระทำการตามอำเภอใจ พวกนางย่อมถูกลงโทษสถานหนัก หากท่านคิดไปยังตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ข้าสามารถนำทางได้!” จ้าวตำหนักหลิงกล่าว

หญิงโฉดชั่วเหล่านั้น ถือเป็นเศษเดนตั้งแต่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามแล้ว เมื่อพบโอกาสได้ทำร้ายหลันเฟิงจิน พวกนางจึงก่อการโดยไม่ยั้งคิด!

ฉินหยุนคิดอยากพบเจอเชี่ยวเย่ว์หลาน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับ “เช่นนั้น ให้ข้าไปพร้อมพี่หลัน!”

เขาบินขึ้น นำหลันเฟิงจินลงมาด้านล่าง

หลังได้พักชั่วระยะหนึ่ง สีหน้าของหลันเฟิงจินค่อยดีขึ้นบ้าง ทั้งยังเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงงดงาม

ฉินหยุน หลันเฟิงจิน และจ้าวตำหนักหลิงขึ้นรถลากบินได้ มุ่งหน้าสู่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง

ตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ตั้งอยู่เพียงระยะสองร้อยลี้จากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึง

ฉินหยุนอยู่ในรถลากลอยฟ้า เปิดหน้าต่างออกดู เขาได้เห็นตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงอยู่เบื้องล่าง

ขนาดนั้นสมควรใกล้เคียงตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เว้นแต่สีเป็นสีม่วง

สิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่ภายใน ถูกก่อสร้างขึ้นจากผลึกแก้วสีม่วงเป็นประกายงดงาม

สถานะของจ้าวตำหนักหลิงที่นี่ค่อนข้างสูง นางสามารถส่งขบวนรถลากตรงเข้าตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ก่อนจะร่อนลงจอดที่ลานกว้างส่วนกลาง

ในลานกว้างแห่งนี้ มีหลายคนกำลังล้อมรอบสนามประลองยุทธ์ และที่สนามประลองยุทธ์ดังกล่าว ก็มีเสียงการต่อสู้อันตึงเครียดดังอยู่!

เมื่อฉินหยุนและคณะลงจากรถลาก พวกเขาจึงได้เห็นสตรีผู้หนึ่งในชุดสีม่วงอยู่บนลานประลอง นางกำลังประมือกับชายที่สวมใส่ชุดสีทอง

ทั้งสองต่างอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า

“จ้าวตำหนักหลิง นี่เรื่องอะไรหรือ? ศิษย์ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง กำลังประมือกับผู้ใดอยู่กัน?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“เขาคือศิษย์ของสำนักวิญญาณหมัดมังกร!” จ้าวตำหนักหลิงตอบ “ตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง สำนักวิญญาณหมัดมังกร สำนักวิญญาณสายลม และหุบเขาวิญญาณลอยล่อง ทั้งสี่สำนักต่างเคลื่อนคล้อยลงมาที่นี่ด้วยกัน!”

“ทั้งสี่สำนัก ล้วนเป็นสำนักระดับวิญญาณ พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นกองกำลังภายใต้สำนักระดับลึกล้ำ! สาเหตุว่าทำไมพวกเราถูกส่งมาที่นี่ ก็เพื่อสืบสวนถึงเรื่องราวของหลุมฝังเซียน!”

“ตอนนี้ พวกเราอนุญาตให้ศิษย์ได้ประลองฝีมือกันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำ! แม้สำนักเหล่านี้ต่างอยู่ภายใต้สำนักระดับลึกล้ำ พวกเขาบ่อยครั้งก็เปิดศึกกันเอง!”

ฉินหยุนไม่คิดว่าแปลก การปะทะระหว่างสำนัก ก็เหมือนขั้วอำนาจในจักรวรรดิ ถือเป็นการเมืองที่ดุเดือดประเภทหนึ่ง

เขายังประหลาดใจ ที่สำนักทรงพลังทั้งสี่นี้ กลับเคลื่อนคล้อยลงมาที่นี่ กล่าวได้ว่าแดนยุทธ์อ้างว้าง ให้ความสำคัญกับหลุมฝังเซียนมากมายเพียงใด!

ขณะที่ทางด้านหลุมฝังเซียน มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความลับมากมายของเซี่ยฉีโหรว!

“กรี๊ด!”

หญิงในชุดสีม่วงบนลานประลองยุทธ์ พลันส่งเสียงร้องออก นางถูกส่งร่างกระเด็นจนปะทะกับเสาอาคมของลานประลองยุทธ์

“ฮ่าฮ่าฮ่า... เด็กน้อย อย่าได้คิดว่าข้าจะเห็นใจ ให้ข้าได้เล่นสนุกก่อน!” ชายร่างกำยำจากสำนักหมัดมังกรยกยิ้มชั่วช้า ฝีเท้าค่อยก้าวเดินเข้าหาหญิงในชุดม่วง

ใบหน้าของหญิงในชุดม่วงแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มันเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง นางหลับตาลง ใบหน้านองน้ำตาอย่างไม่อาจอดกลั้น!

ฉินหยุนขมวดคิ้ว “นี่เป็นศึกเสี่ยงชีวิต?”

จ้าวตำหนักหลิงถอนหายใจ “ในชั่วระยะเวลาก้านธูป ผู้อยู่รอดบนลานประลองจึงเป็นผู้ชนะ! ในช่วงระยะเวลานี้ ค่ายอาคมใหญ่จะไม่ปิดตัวลง ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่ปล่อยให้คนด้านในกระทำตามต้องการ การประลองยุทธ์ มักโหดร้ายเช่นนี้เสมอ!”

หลันเฟิงจินขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาก่อน กระนั้นกลับไม่เคยเห็น! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการแข่งขันชิงความเป็นผู้นำของสำนัก ผลลัพธ์คือการสังเวยชีวิตของศิษย์ ช่างโหดร้ายนัก!”

เพียงอึดใจ ชุดของผู้หญิงคนนั้นฉีกขาดออก ถูกสายตาเล้าโลมของชายร่างใหญ่พิจารณามอง นางขณะนี้เหลือเพียงชุดชั้นใน!

“ชายคนนี้ คิดอยากข่มขืนหญิงผู้นั้นที่ตรงนั้นเลยงั้นหรือ?” ฉินหยุนกล่าวขมวดคิ้ว น้ำเสียงเจือปนด้วยความโกรธ

“อาจเป็นเช่นนั้น... ทว่าก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งได้!” ใบหน้าของจ้าวตำหนักหลิงก็เปี่ยมด้วยโทสะเช่นกัน

บรรดาศิษย์ที่รับชมการประลอง ต่างมาจากสี่สำนักที่แตกต่างกันไป นอกจากศิษย์หญิงจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ศิษย์ชายจากสำนักอื่น ล้วนมีสีหน้ามุ่งหวังต่อเรื่องราวเช่นนี้

ฉินหยุนมีโทสะ โดยทันที เขาทะยานผ่านอากาศออกไป

“สารเลวนัก จงหยุดเดี๋ยวนี้!” ฉินหยุนลอยตัวเหนือสนามประลองยุทธ์ คำรามออกด้วยเสียงดังก้อง

บรรดาผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ดูแลต่างทะยานกายออกมา

“เจ้าเป็นใคร? คิดก่อปัญหาหรือ?”

ชายชราในชุดสีทองกล่าวเกรี้ยวกราด ชุดสีทองของเขาเป็นเช่นเดียวกับของชายร่างใหญ่บนลานประลอง อีกฝ่ายสมควรเป็นผู้ฝึกตนของสำนักหมัดมังกร

ฉินหยุนกล่าวออกอย่างมีโทสะ “ไม่เห็นหรือว่าเดรัจฉานนั่นคิดทำอะไร?”

เบื้องล่าง ศิษย์หญิงของตำหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงได้เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาปรากฏตัวประหนึ่งเทพ พวกนางทั้งประหลาดใจและคิดนับถือ

พวกนางไม่เคยได้เห็นกับตา ว่าผู้กล้าสมควรเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้เมื่อพวกนางได้เห็นฉินหยุน จึงค่อยเข้าใจว่าผู้กล้าสมควรเป็นเช่นไร!

“นี่เป็นการประลองเสี่ยงชีวิต!”

ผู้อาวุโสนี้สัมผัสถึงออร่าของฉินหยุนได้ กระทั่งเขายังเผยความหวาดเกรง กระนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มอย่างฉินหยุนสามารถเผยออก

“อย่าได้เหยียดหยามการแข่งขัน! ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดกล้าเหยียดหยามการแข่งขันประลองยุทธ์ก่อการถึงเพียงนี้!” ดวงตาฉินหยุนเปี่ยมด้วยโทสะ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

เมื่อหญิงสาวบนลานประลองยุทธ์เห็นคนยืนหยัดเคียงข้าง นางถึงกับหวั่นไหว

กระนั้นนางก็ยังสิ้นหวัง เพราะหนทางเดียวที่จะช่วยนางได้ คือการทำลายค่ายอาคมของลานประลองยุทธ์!

ชายร่างใหญ่บนลานประลองยุทธ์หัวเราะชั่วช้า “ไอ้เวรด้านบนนั่น มันไม่เคยเห็นผู้อื่นหาความสุขในการประลองยุทธ์หรือไร? เช่นนั้นให้ข้าแสดงให้มันได้ดู ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“หากเจ้าอยากช่วยนางนี่ เช่นนั้นก็ต้องทำลายค่ายอาคมให้ได้ก่อน! ค่ายอาคมนี้จะไม่ปิดลงจนกว่าพลังงานที่เก็บเอาไว้จะถูกใช้จนหมด! กระทั่งขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณก็ไม่อาจปิดมันได้โดยง่าย ฮ่าฮ่าฮ่า! เบิกตาเจ้าให้กว้าง รับชมว่าข้ามีความสุขเพียงใด!”

“นางสารเลวผู้นี้ ร้องไห้หาอันใด? อีกไม่นานจะถูกข้าปลิดชีพอยู่แล้ว จงสุขสมร่วมกับข้าก่อน!”

ชายวัยกลางคนที่ต่ำช้า ตบใบหน้าหญิงในชุดม่วงที่ร้องไห้ออกอย่างไร้ซึ่งความเมตตา เสียงหัวเราะต่ำช้ารัวไม่หยุด การกระทำนี้ ยิ่งอัปลักษณ์เลวทรามกว่ารูปลักษณ์ของเขาด้วยซ้ำ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด