ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 32  นักชิม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 34 เรียนหมอ

Re-new ตอนที่ 33  ถูกตี


ตอนที่ 33  ถูกตี

หยูเสี่ยวเฉาสังเกตเห็นสายตาของหยูฮังมองไปรอบ ๆ ขณะที่พูด และเข้าใจว่าอาการบาดเจ็บของเขามิใช่แค่นั้นเป็นแน่ นางนึกถึงเรื่องสั้นที่เคยอ่านตอนเรียนประถมชื่อว่า ‘Vanka’  ในเรื่องนั้นเด็กฝึกงานคือแรงงานฟรีที่มักจะถูกทุบตีอย่างโหดร้ายด้วยเหตุผลเล็ก ๆ อยู่เสมอ

หยูเสี่ยวเฉามองใบหน้าซูบผอมและร่างผอม ๆ ของพี่ชายที่อายุ 11 ปีของนางจึงได้รู้ว่าชีวิตที่ร้านไม้ของเขาช่างแย่เอาเสียมาก ๆ นางตอบคำถามของหยูฮังพร้อมกับหยิบเอากระเป๋าผ้าที่ใช้ห่อหมั่นโถวออกมา

“ทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดี ท่านพี่ฮันสอนข้าวางกับดักจับกระต่ายป่า วันนี้ข้าได้เงินมา 1 ตำลึงจากการขายสัตว์ที่จับมาได้ด้วยนะเจ้าคะ พี่ใหญ่มิต้องกังวล ถ้าอยู่ที่ร้านไม้แล้วไม่มีความสุขก็กลับบ้านเถอะ ครอบครัวเรามีอาหารมากพอให้ทุกคนกินนะเจ้าคะรวมถึงท่านพี่ด้วย...”

“ข้าทำได้ดีนะ ! หัวหน้าช่างชมข้าบ่อย ๆ เลยว่าทำงานดีแล้วก็ตั้งใจฝึกฝน เขายังพูดอีกด้วยว่าจะสอนข้าไสไม้เร็ว ๆ นี้ อีก 2 ปีตอนที่ข้าฝึกงานจบ ข้าก็จะสามารถหาเงินช่วยครอบครัวได้ ว่าแต่ว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุใด ?” หยูฮังเปลี่ยนเรื่องทันทีและแอบลูบขาที่บาดเจ็บจากการถูกตี

ฉีโตวแกะขนมน้ำตาลออกจากกระดาษห่อแล้วยัดมันใส่ปากพี่ชายพร้อมกับยิ้มกว้าง “นายน้อยของร้านอาหารเจินซิวเลี้ยงข้าวพวกเราด้วยล่ะ ! อาหารเต็มโต๊ะไปหมด พี่ใหญ่ข้าเก็บไก่ไว้ให้ท่านพี่ครึ่งตัวด้วยนะขอรับ เป็นไก่ตุ๋นกับโสมล่ะ ท่านพี่ลองชิมดูเร็วเข้า !”

“ท่านพี่ฮัน ข้าขอบคุณที่ช่วยพาน้อง ๆ ของข้ามาเยี่ยม แต่ที่นี่มันไกลจากหมู่บ้านมากเกินไป ร่างกายของเสี่ยวเฉาก็ไม่ค่อยจะดี เดินไกล ๆ มิไหวหรอกขอรับ พวกเจ้าไม่ต้องมาที่นี่อีกนะเข้าใจหรือไม่ ?” หยูฮังไม่รับไก่ตุ๋นที่เสี่ยวเฉาส่งมาให้และกล่าวขอบคุณจ้าวฮัน จากนั้นก็หันไปเตือนน้อง ๆ ของเขา

เสี่ยวเฉาสั่นหัวแล้วพูดว่า “มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ระหว่างทางที่มาที่นี่พวกเราเจอท่านปู่จางมาส่งฟืนที่เมือง พวกเราขอยืมชามนี้มาจากร้านเจินซิว ท่านพี่รีบกินเข้าเถอะเจ้าค่ะ ถ้ากินไม่หมดก็ห่อกระดาษเก็บไว้กินทีหลังก็ได้ ทิ้งเอาไว้จนถึงตอนเย็นก็ไม่เสียหรอก ข้าเอาหมั่นโถวมาให้ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ มันเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ก่อนที่ข้าจะออกมา ข้าก็เลยเอามาให้ท่านพี่ 2 ชิ้น...”

เสี่ยวเฉามองออกว่าพี่ชายของนางถูกปฏิบัติไม่ดีนักที่ร้านไม้ นางจึงตัดสินใจว่าจะส่งอาหารมาให้เขาบ่อย ๆ “ที่นี่มีของกินเยอะแยะอยู่แล้ว ข้ากินหมั่นโถวจนเบื่อแล้ว พวกเจ้าเอาหมั่นโถวกลับไปกินเองเถอะ แล้วไม่ต้องส่งอาหารมาให้ข้าอีกนะ อาหารที่ร้านไม้จัดให้ก็ดีมากอยู่แล้ว !”

หยูฮังปกปิดความจริงที่ว่าเขากินแต่แป้งถั่วแข็ง ๆ กับน้ำเย็นทุกวันเพราะไม่อยากให้ทางครอบครัวต้องเป็นห่วง

ถ้าหากหยูเสี่ยวเฉาเป็นเด็กอายุ 8 ขวบจริง ๆ ก็คงถูกหลอกไปแล้ว นางลอบถอนหายใจแล้วแกล้งทำเป็นโกรธ

“อะไรกัน ? ท่านพี่กินอาหารดี ๆ จนเคยตัวแล้วก็เลยดูถูกหมั่นโถวของพวกเรางั้นรึ ? ถึงที่นี่จะมีอาหารดี ๆ ให้กับท่านพี่ทุกวัน แต่มันก็เทียบกับความตั้งใจดี ๆ ของครอบครัวเรามิได้หรอก รีบ ๆ รับไปสิ ! เยี่ยงนั้นข้าจะโกรธจริง ๆ แล้วนะเจ้าคะ !”

หยูฮังอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ในใจรู้สึกถึงความอบอุ่นที่คุ้นเคย  เขารับกระเป๋าผ้าที่น้องสาวยัดใส่มือมาเงียบ ๆ เขามาเป็นเด็กฝึกงานที่นี่เกือบ 3 เดือนแล้ว และถูกคนงานและช่างไม้ของร้านนี้ด่าว่าและทุบตีอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าเขาจะหิวจนเวียนหัวและไม่มีแรง แต่เขาก็ยังคงต้องทำงานหนักอยู่ทุกวัน

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างทุกคืน มีหลายครั้งที่เขาเกือบจะทนไม่ไหว...แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นเขามักจะคิดถึงครอบครัว คิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนของแม่ สายตาที่คอยให้กำลังใจของพ่อ และใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างน่ารักของพวกน้อง ๆ...

เหตุผลเดียวที่เขาทนมาได้นานขนาดนี้ก็เพราะครอบครัวของเขา !

“หยูฮัง ! หายหัวไปไหนแล้ว ? จะอู้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ? ไม้ที่สั่งไว้มาถึงแล้ว ยังไม่กลับมาทำงานอีกรึ ? เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ ...”

เจ้าของร้านจางมองออกมาและสำรวจเครื่องแต่งกายของเสี่ยวเฉากับฉีโตว เขาเบะปากอย่างดูถูกแล้วตะคอกใส่หยูฮัง

หยูฮังกอดกระเป๋าผ้าเอาไว้แน่นแล้วฝืนยิ้ม “ผู้จัดการจางดูเหมือนจะใจร้าย แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนดีมากนะ เขามักจะทำดีกับพวกเรา...ข้าต้องไปทำงานแล้ว  กลับกันดี ๆ ครั้งหน้ามิต้องส่งอาหารมาอีกล่ะ ข้าสบายดี...”

“เหตุใดถึงยังไม่มาอีก ? ถ้าไม่อยากทำงานก็ไสหัวออกไป ! ขยะอย่างเจ้าเลี้ยงไปก็เปลืองข้าวสุกเสียเปล่า ๆ !” ผู้จัดการจางด่าอย่างหงุดหงิดราวกับกำลังสั่งสัตว์เลี้ยงที่ยอมจำนนต่อเจ้านาย

หยูเสี่ยวเฉามองตามหลังพี่ชายขณะที่เขารีบวิ่งเข้าไปข้างใน นางตัดสินใจว่าจะพาหยูฮังกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เด็กฝึกงานไม่มีอิสระและถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังถูกคนอื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ดังนั้นนางจะเป็นคนปกป้องครอบครัวของนางเอง !

ฉีโตวถือถุงขนมไว้ในมือ แต่เหมือนว่าขนมน้ำตาลจะหมดความหวานไปเสียแล้ว  เด็กน้อยพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ฉีโตวเงยหน้าขึ้นมองพี่สามของเขาแล้วพูดว่า

“พี่สาม ถ้ามีวิธีที่ทำให้โตเร็ว ๆ แล้วล่ะก็ ถ้าข้าโตขึ้น ข้าจะเป็นเหมือนท่านพ่อ  ข้าจะจับสัตว์มาเยอะ ๆ จะได้หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวของพวกเรา เยี่ยงนั้นคนอื่นจะได้ไม่ดูถูกพวกเรา ท่านพี่ใหญ่ก็จะไม่โดนคนอื่นรังแกด้วย...”

หยูเสี่ยวเฉาลูบหัวเด็กน้อยนางอยากยิ้มให้เขา แต่นางกลับถอนหายใจออกมาแทน

“พี่สาม ท่านพี่ฮัน พวกเราจะไปไหนกันต่อหรือขอรับ ?” ฉีโตวหมดอารมณ์ตื่นเต้นและเดินคอตกออกไป

จ้าวฮันสังเกตเห็นว่าสองพี่น้องอารมณ์ไม่ดีเอาเสียมาก ๆ เขาคิดนิดนึงแล้วพูดว่า  “ยังมีเวลาอีกมากโข เยี่ยงนั้นหลังจากไปส่งปลาให้ท่านอาสามของพวกเจ้าแล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันดีหรือไม่ ?”

ทั้งสามหาบ้านเช่าของหยูป่อเจออย่างรวดเร็ว เขาไปเรียนและไม่ได้อยู่ที่บ้าน  เสี่ยวเฉาปฏิเสธนางจ้าวที่บอกให้นางพักที่นั่นอย่างสุภาพ พอนางออกจากบ้านพร้อมจ้าวฮันและน้องชาย พวกเขาก็เริ่มเดินเล่นไปตามท้องถนนเส้นยาว

ถนนสายหลักทั้ง 3 สายของเมืองถังกู่มีร้านอาหารและโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ตอนนี้โรงเตี๊ยมและร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดทั้งหมดอยู่ในความครอบครองของตระกูลโจว

คนรวยบางคนที่มาเที่ยวทะเลจะพักอยู่ในเมืองถังกู่ ถนนจึงเต็มไปด้วยพวกชนชั้นสูงที่สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ และขี่อยู่บนหลังม้า เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นรถม้าสวย ๆ พร้อมกับคนรับใช้เดินตาม

พวกเขาเดินมองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ อย่างเพลิดเพลิน

ฉีโตวถือขนมที่พี่สาวซื้อมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ถือถังหูลู่ใส่ปาก เขามองทุกอย่างด้วยความสนใจ ในเมืองมีแต่ของใหม่ ๆ น่าสนใจเต็มไปหมด

“หือ ? พี่สาม นั่นท่านลุงจ้าวกับท่านพ่อมิใช่รึ ?” ฉีโตวเอามือที่ถือถังหูลู่ชี้ไปทางฝูงชนข้างหน้า เขามองให้ดีอีกครั้งแล้วยืนยันว่า “เป็นท่านพ่อจริง ๆ ด้วย ! พี่สาม  รีบเข้าไปหาท่านพ่อกันเร็วเข้า...”

หยูเสี่ยวเฉารีบห้ามน้องชายพร้อมกับสั่นหัว “อย่าได้เข้าไปหาท่านพ่อเด็ดขาด ! ถ้าท่านพ่อรู้ว่าเราขายสัตว์ที่จับมาได้ พวกเราจะยังเก็บเงินเอาไว้เองได้อีกงั้นรึ ? ถ้าเงินเข้ากระเป๋าท่านย่าหมด พวกเราทั้งหมดก็จะต้องอด ๆ อยาก ๆ แล้วฤดูหนาวก็จะหนาวจนแข็งเลยมิใช่รึ !”

ฉีโตวมองขนมน้ำตาลกับถังหูลู่ในมือ ถ้าท่านย่าเอาเงินไปหมด เขาจะได้กินถังหูลู่กับขนมน้ำตาลอีกหรือไม่ ?

“พี่สาม เช่นนั้นพวกเราควรทำเยี่ยงไรดี ?” ฉีโตวนับถือพี่สามของเขา ตั้งแต่ที่นางได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะก็ราวกับว่านางได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

เวลาที่เขาติดตามนาง ไม่เพียงแต่จะได้กินเนื้อเท่านั้น เขายังสามารถหาเงินมาเก็บไว้ได้อีกด้วย แม้แต่ท่านย่าก็ไม่กล้าลงโทษนาง พี่สามเป็นคนใจกว้างมากอีกด้วย นางเต็มใจซื้อขนมแพง ๆ เพื่อให้เขากิน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าเขาจะสนับสนุนทุกอย่างที่พี่สามคิดจะทำในอนาคต นี่คือสัญญาที่เขารักษาเอาไว้อย่างมั่นคงตลอด 30 ปี

หยูเสี่ยวเฉาไม่คิดว่าแค่ขนมกับถังหูลู่ที่ราคาเพียงแค่ 12 อีแปะจะทำให้น้องชายจงรักภักดีกับนางได้

เสี่ยวเฉาจับน้องชายเอาไว้และดึงแขนเสื้อของจ้าวฮันให้หลบเข้าไปในตรอก ถ้านางหลบได้ไม่เร็วพอคงถูกท่านพ่อจับได้แล้วเป็นแน่

“มีอะไรเยี่ยงนั้นรึ ?” จ้าวปู้ฝานที่แบกกวางตัวผู้ถามขึ้นเมื่อเห็นหยูไห่เพื่อนสนิทของเขามองกลับไปด้านหลังหลายครา

มีสัตว์เล็ก ๆ หลายตัวห้อยอยู่ที่ร่างของหยูไห่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพึมพำอย่างลังเลว่า “เมื่อครู่...ข้าว่าข้าเห็นเสี่ยวเฉากับฉีโตว...”

“ลูกสาวคนที่สามกับลูกชายคนเล็กน่ะรึ ? เจ้าแน่ใจแล้วรึ ? พวกเขาจะเดินไกลถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน คนหนึ่งก็ร่างกายอ่อนแอ อีกคนก็แค่เด็ก 5 ขวบมิใช่รึ ? คาดว่าคงจะเป็นคนอื่นที่หน้าตาคล้ายกับพวกเขา” จ้าวปู้ฝานไม่ได้คิดเลยว่าลูกชายของเขาเองนั่นแหละ ที่เป็นคนพาเด็ก 2 คนมาที่เมือง

เสี่ยวเฉาที่กำลังเดินดูสินค้าอย่างสบายใจหลังหลบท่านพ่อได้สำเร็จ จากนั้นไม่นานก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

[เจ้านาย ๆ ! ข้าสัมผัสถึงพลังวิญญาณแถวนี้ได้ อยู่ทางขวาของเจ้า เร็วเข้า พาข้าไปตรวจดูเร็ว ! ] หินศักดิ์สิทธิ์ตื่นเต้นร้อนรนจนลืมคำปฏิญาณของตนเองว่า ‘จะไม่ยอมรับเสี่ยวเฉาเป็นเจ้านายเด็ดขาด’ พลังที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นแรงเป็นอย่างมาก ถ้ามันดูดซับพลังนั้นได้จะดียิ่งกว่าแช่น้ำ 10 วันเสียอีก

หยูเสี่ยวเฉารีบมองไปทางขวาทันที ‘ร้านขายยามิใช่รึ ? ’

“ถงเหรินถัง...พี่สาม ข้าจำตัวอักษรพวกนี้ได้ด้วยล่ะ !” หน้าของฉีโตวเหนียวไปหมดหลังจากที่กินถังหูลู่จนหมดแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มแป้นราวกับอยากได้คำชม

น้องชายนางอ่านออกด้วยรึ ? เยี่ยงนี้ก็คงต้องชมกันหน่อยแล้ว หยูเสี่ยวเฉาเอ่ยปากชมเด็กน้อย “สมกับเป็นน้องชายของข้าจริง ๆ รู้ตัวหนังสือด้วยด้วย ! บอกข้าหน่อยสิว่าเจ้าไปเรียนมาจากที่ใด ?”

ฉีโตวยิ้มกว้างอย่างมีความสุขและพูดด้วยความภูมิใจว่า “พี่สาม ท่านพี่ใหญ่เรียนจากท่านอาสามมาเยอะแยะเลยขอรับ แล้วพี่ใหญ่ก็เอามาสอนพวกเรา 3 คนด้วย  ข้าจำได้ 200 กว่าตัวแล้ว...ท่านพี่บาดเจ็บที่หัวอาจจะจำไม่ได้แล้ว !”

“ถึงข้าจะจำบางอย่างไม่ได้ แต่ข้าก็ยังจำตัวอักษรพวกนี้ได้นะ” มันสะดวกขึ้นเยอะเมื่อเจ้าของร่างเดิมก็รู้ตัวอักษรอยู่บ้าง

ฉีโตวพยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่สาม ตอนเรียนท่านพี่เรียนได้เร็วที่สุดในหมู่พวกเรา 3 คนเลยด้วยซ้ำ ! ท่านอาสามยังบอกว่าท่านพี่น่าจะมีความจำที่ดีมาก ๆ ถ้าท่านพี่เป็นผู้ชาย ครอบครัวของเราคงส่งท่านพี่เข้าโรงเรียนไปแล้วเป็นแน่”

เสี่ยวเฉาจับน้ำเสียงอิจฉาของเขาได้ นางจึงลูบหัวเขาแล้วพูดว่า “ฉีโตวของเราก็ฉลาดมากเลยนะ  5 ขวบเองแต่จำตัวอักษรได้เยอะขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าพี่สามมีเงิน ข้าจะส่งเจ้าไปเรียนที่โรงเรียนปีหน้า”

ฉีโตวนึกถึงคุณชายผู้ร่ำรวยที่ให้เงินพี่สาวของเขาซึ่งน่าจะพอสำหรับค่าเล่าเรียน 1 ปี เด็กน้อยยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิมเมื่อมีความหวังว่าเขาจะได้ไปเรียน

จ้าวฮันที่เดินตามหลังสองพี่น้องเงียบ ๆ รู้สึกแปลกใจที่เห็นเสี่ยวเฉาเข้าไปในร้านยา “เสี่ยวเฉารู้สึกไม่ดีรึ ? ถ้าเจ้าป่วยต้องไปรักษานะ อย่าได้ปล่อยไว้ อย่ากลัวว่าจะเสียเงิน...”

‘ท่านพี่น่ะสิป่วย ! ’ แต่หยูเสี่ยวเฉาก็ข้องใจในความสามารถด้านการรักษาของหมอโหยวหมอของหมู่บ้านอยู่เช่นกัน ตอนที่วิญญาณของนางย้ายเข้ามาในร่างนี้ นางก็อยู่ในสภาพย่ำแย่อยู่แล้ว หวังว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรจากอาการป่วยในอดีตของนางหลงเหลืออยู่อีก นางควรให้หมอในเมืองจับชีพจรดูเสียหน่อย เพื่อจะได้รักษาอาการเจ็บป่วยเสียหรือไม่ก็จะได้สบายใจอีกด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด