ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 29  วางกับดัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 31  หนุ่มหล่ออีกคน

Re-new ตอนที่ 30  คนพิเศษ


ตอนที่ 30  คนพิเศษ

ทั้งสามคุยกันไปขณะที่เดินไปตามถนนเพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง เมื่อพวกเขาผ่านเชิงเขาก็เห็นคน ๆ หนึ่งพร้อมกับกระเป๋าใบเล็กเดินอยู่ด้านหน้าของพวกเขา

ฉีโตวน้อยตาดี เขาจำคน ๆ นั้นได้ทั้งที่เดินอยู่ไกล ๆ “พี่สาม คนข้างหน้าเราเหมือนท่านพี่เฉียนเหวินเลย เขาคงกำลังกลับไปที่เมืองเพราะหมดเวลาหยุดพักแล้ว”

“ท่านพี่เฉียนเหวิน ! ท่านพี่เฉียนเหวิน !” เด็กน้อยป้องปากตะโกนเรียกชายคนนั้นโดยไม่รอคำตอบของพี่สาว

ชายคนนั้นหยุดเดินและหันกลับมามอง

ขณะที่พวกเขาเดินเข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ หยูเสี่ยวเฉาก็เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นชัดขึ้น เขามีผิวขาวเรียบเนียนหน้าตาดี ท่าทางสุภาพอ่อนโยน

“ท่านพี่จ้าว ฉีโตว...นี่ใช่พี่สามของเจ้าหรือไม่ ?” เฉียนเหวินยิ้มน้อย ๆ เขามองเด็กหญิงผิวซีดตาโตตรงหน้าอย่างสงสัย ฉีโตวเป็นเพื่อนของน้องชายเขา เฉียนหวู่  ในช่วงสองเดือนมานี้ เด็กน้อยพูดถึงพี่สามของเขาบ่อยเป็นอย่างมาก

ฉีโตวฉีกยิ้ม “ใช่แล้ว ท่านพี่เฉียนเหวิน พี่สามเหมือนพี่สาวคนโตของข้ามากใช่รึไม่ ? คนจำท่านพี่ของข้าสลับกันอยู่เรื่อย แล้วนี่ท่านพี่มองเพียงแค่ปราดเดียวเท่านั้น ท่านพี่รู้ได้เยี่ยงไร ?”

เฉียนเหวินจูงมือเด็กน้อยแล้วพากันเดินต่อ “ถึงข้าจะเจอพี่สาวคนโตของเจ้าแค่ไม่กี่ครา แต่เด็กในหมู่บ้านชาวประมงน่ะผิวคล้ำกันทั้งนั้นมิใช่รึ เพราะไปที่ชายหาดบ่อย ๆ พี่สามของเจ้าแทบจะไม่ได้ออกจากบ้าน ผิวก็เลยขาวกว่า”

ฉีโตวมองสำรวจสีผิวของพี่สาวแล้วก็พยักหน้า “จริงด้วย ! พี่สามยังไม่หายดีเป็นแน่ หน้าถึงได้ขาวมากเช่นนี้”

เด็กน้อยเคยได้ยินว่าคนป่วยส่วนใหญ่จะซีดเซียวกว่าคนทั่วไป เขาไม่เข้าใจคำว่า ‘ซีดเซียว’ และคิดว่าผิวขาวมากก็คือคนที่ไม่แข็งแรง

หยูเสี่ยวเฉ่ามีตัวอักษร ‘囧’ ตัวโต ๆ แปะอยู่บนหน้า ! ‘เฉียนเหวิน บัณฑิตที่ไหนเขาพูดเรื่องสีผิวของผู้หญิงแบบเปิดเผยกันบ้างเล่า’ ส่วนน้องชายงี่เง่าของนางนั้น‘พี่สาวผิวขาวเนียนก็เพราะใช้น้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ล้างหน้าทุกวันต่างหาก ป่วยอะไรกัน ? เยี่ยงนี้เขาเรียกว่าผิวขาวสว่างอมชมพูต่างหาก แข็งแรงมาก ๆ ด้วย ! ’

ทางด้านน้องชายผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เริ่มคุยต่อ “ท่านพี่เฉียนเหวินกำลังกลับเมืองไปเรียนหรือขอรับ ? เรากำลังจะไปขายสัตว์ที่จับมาได้กับท่านพี่ฮัน ไปด้วยกันนะ ท่านพี่เฉียนเหวิน !”

“เราต้องเดินกันไกลเลยนะกว่าจะถึงเมือง ไหวหรือไม่เจ้าตัวเล็ก ?”

“ไหวสิ ! ข้าเก่งจะตาย พี่สามยังสู้ข้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ !” อ่า นางโดนเผาอีกแล้ว

“ฉีโตว หากเจ้าเหนื่อยก็บอกข้านะ ท่านพี่เฉียนเหวินจะอุ้มเจ้าเอง”

...................

หยูเสี่ยวเฉาไม่คิดเลยว่าคนแรกที่เหนื่อยจะไม่ใช่ฉีโตวน้อยที่อายุ 5 ขวบ แต่เป็นตัวนางเอง ร่างกายของนางไม่เคยเดินเท้าเป็นระยะทางไกลเยี่ยงนี้ นางแข็งแรงขึ้นมากแล้วจากการกินน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ แต่พอเดินได้แค่ระยะทางสั้น ๆ ขาของนางก็ปวดเสียแล้ว  และรู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง

พวกเขาเดินกันมายังไม่ถึง 1 ใน 4 ของจุดหมายเลยด้วยซ้ำ แต่หยูเสี่ยวเฉาก็หน้าซีดเสียแล้ว นางเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วกัดฟันเดินต่อ

จ้าวฮันผู้มีร่างสูงกำยำแข็งแรงย่อมสบายอยู่แล้ว แม้แต่คนที่ดูอ่อนแออย่างเฉียนเหวินก็ไม่เหนื่อย เขาไม่ได้หอบและหน้าก็ไม่แดง ซ้ำยังก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว ฉีโตวน้อยวิ่งเล่นไปรอบภูเขาและชายทะเลมาตั้งแต่หัดเดิน แค่เดินบนถนนเส้นนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขาเป็นอย่างมาก เขากระโดดไปพลางส่งเสียงเจื้อยแจ้วไป ราวกับเป็นนกกระจอกตัวน้อยผู้ร่าเริง

เฉียนเหวินได้ยินเสียงหายใจหอบ ๆ จึงหันกลับไปมองเสี่ยวเฉาอย่างเป็นห่วง  “เสี่ยวเฉา เจ้าเอาตะกร้ามาสิ ข้าจะช่วยถือให้เจ้าเอง”

ในตะกร้ามีหมั่นโถวอยู่แค่ 2 อัน แต่นางรู้สึกเหมือนมีใครแกล้งกดตะกร้านางเอาไว้ นอกจากนั้นนางก็ปวดขามากจนแทบจะยกไม่ขึ้นแล้ว กระเป๋าเฉียนเหวินก็ดูไม่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยของหนัก ๆ อย่างหนังสือและหินฝนหมึก แล้วนางก็ไม่ได้สนิทสนมกับเขา แล้วจะให้เขาถือของให้นางได้เยี่ยงไร ?

“ไม่ต้องหรอก แค่พักสักหน่อยประเดี๋ยวข้าก็คงจะดีขึ้น !” เสี่ยวเฉาสั่นหัวแล้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นางนั่งลงข้างถนนแล้วอ้าปากหายใจอย่างเหนื่อยหอบ

ฉีโตวกัดนิ้วแล้วพูดว่า “พี่สาม ความเร็วแค่นี้เราอาจจะกลับไปไม่ทันตอนมืดนะ !”

เสี่ยวเฉากัดฟันแล้วฝืนลุกขึ้น นางพยักหน้าพูดว่า “งั้นก็รีบไปกันเถอะ ! พวกเราไม่อยากทำให้ท่านพี่เฉียนเหวินไปเรียนช้าหรอกนะ...”

ตอนนี้เองก็มีวัวเทียมเกวียนปรากฏขึ้นจากระยะไกล เกวียนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตลอดทาง  เมื่อมองดูดี ๆ แล้วพวกเขาก็เห็นว่าคนขับเกวียนก็คือเฒ่าจางจากหมู่บ้านซีชาน เมื่อเฒ่าจางเห็นพวกเขาก็ยิ้มอย่างใจดีและถามว่า “พวกเจ้าเป็นเด็กจากตระกูลเฉียนหมู่บ้านตงชานใช่หรือไม่ ? พวกเจ้ากำลังเข้าเมืองกันรึ ?”

ทุก ๆ 2 วันเฒ่าจางจะไปส่งฟืน 1 เกวียนที่เมือง ดูเหมือนช่างตีเหล็กในเมืองเป็นคนสั่งไว้ ฟืน 1 เกวียนจะได้ราคามากกว่า 50 อีแปะ ตราบใดที่มีครอบครัวคอยช่วย นี่ก็เป็นข้อตกลงที่ดีทีเดียวสำหรับครอบครัวจางที่มีเกวียนวัวเป็นของตนเอง

“ท่านปู่จาง เสี่ยวเฉาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อีกทั้งนางไม่เคยเดินทางไกล ๆ มาก่อน ขอให้นางขึ้นไปนั่งบนคานเกวียนได้หรือไม่ขอรับ ?” เฉียนเหวินเห็นว่าไม่มีที่ว่างให้คนขึ้นไปนั่งบนเกวียนเพราะมีฟืนกองอยู่เต็มไปหมด เขาจึงขอให้เสี่ยวเฉานั่งอยู่บนคานเกวียนแทน

“งั้นนี่ก็เสี่ยวเฉาตระกูลหยูสินะ ! ข้าได้ยินจากตาของเจ้าว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บที่หัว หายดีแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? พ่อแม่ของเจ้าปล่อยให้ลูก ๆ เข้าเมืองกันเองได้เยี่ยงไร ?”  เฒ่าจางอาศัยอยู่ใกล้กับครอบครัวของนางหลิวจึงตกลงทันที เขายกตัวเสี่ยวเฉาขึ้นบนเกวียน

ถึงแม้นางจะรู้สึกเจ็บที่โดนฟืนทิ่มหลังอยู่เป็นระยะ แต่มันก็ยังง่ายกว่าการเดินเท้ามาก เสี่ยวเฉามองน้องชายของนางขี่วัวอย่างตื่นเต้นหลังจากเฒ่าจางอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนหลังวัว

“ท่านพี่ฮัน ตะกร้าของท่านหนักมากมิใช่รึ ให้ข้าช่วยถือเถอะ” ยังไงเสียจ้าวฮันก็อายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น การเดินทางพร้อมกับแบกสัตว์ไปด้วยมากถึงเพียงนั้นจึงค่อนข้างเหนื่อย ในตะกร้าของเขามีสัตว์อยู่ 10 กว่าตัวซึ่งรวมแล้วน่าจะหนักเกิน 12 ชั่ง  หน้าผากของเขาจึงมีเหงื่อผลุดออกมาทั่วทั้งหน้า

เขามองหยูเสี่ยวเฉาที่นั่งโยกไปมาอยู่บนเกวียนแล้วสั่นหัว “ไม่หนักหรอก ข้าแบกเองได้ !”

ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงเมืองในยามซื่อ เมืองถังกู่ยังคงครึกครื้นเหมือนคราวที่แล้ว

เสี่ยวเฉากับน้องชายของนางขอบคุณเฒ่าจาง เฒ่าจางนัดเวลากลับหมู่บ้านกับพวกเขา ถ้าพวกเขาอยากขี่เกวียนกลับก็มาเจอเฒ่าจางได้ที่นอกประตูเมืองยามโหย่ว

หลังจากแยกกับเฉียนเหวินแล้ว จ้าวฮันก็ส่งไหดินเผาคืนให้เสี่ยวเฉาและจูงมือสองพี่น้องเดินไปตามถนน ถนนนั้นกว้างพอให้รถม้า 2 คันวิ่งได้ พวกเขาเห็นรถลากที่บรรทุกสินค้าจากท่าเรือวิ่งผ่านไปเป็นครั้งคราว ด้วยความที่เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าทางทะเลเข้าสู่เมืองหลวง เสี่ยวเฉาเห็นว่านี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีศักยภาพจะพัฒนาได้อย่างมากมายในอนาคต

“ที่ตลาดยามเว่ยจะไม่ค่อยมีคน เราไปที่ร้านฝูหลินกันก่อนดีหรือไม่ ?”  จ้าวฮันเคยตามท่านพ่อของเขามาขายสัตว์ที่ล่าได้อยู่หลายครั้ง เขารู้ว่าท่านพ่อของเขาทำธุรกิจกับร้านอาหาร 2 ร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ดังนั้นเขาจึงถามความเห็นของสองพี่น้องก่อน

หยูเสี่ยวเฉานึกถึงคราก่อนที่นางมีเรื่องกับร้านฝูหลินตอนที่มาขายหอยเป๋าฮื้อคราวที่แล้ว นางจึงแนะนำว่า “ข้าว่าเราควรไปที่ร้านเจินซิวก่อนดีกว่า !”

ร้านเจินซิวอยู่ไกลกว่าร้านฝูหลินเล็กน้อย จ้าวฮันจึงอยากไปที่ร้านฝูหลินก่อน  เขารู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสี่ยวเฉาพูดเช่นนั้น

“เสี่ยวเฉา เจ้าเคยได้ยินชื่อของร้านเจินซิวด้วยรึ ? ช่วงนี้กิจการของร้านเจินซิวดีกว่าร้านฝูหลินมากจริง ๆ พวกเขาต้องอยากได้เนื้อปริมาณเยอะเป็นแน่ ข้าได้ยินว่าร้านเจินซิวได้วิธีทำซอสสูตรพิเศษมาจากใครสักคน ผักที่ผัดกับซอสอะไรนั่นอร่อยกว่าอาหารประเภทเนื้อเสียอีก !”

“ซอสหอยนางรม ! ไห่ลี่ซือน่ะ ทางใต้เรียกมันว่า หอยอีรม !” ได้ยินว่ากิจการของร้านเจินซิวเจริญรุ่งเรืองเพราะซอสหอยนางรม หยูเสี่ยวเฉาก็ภูมิใจอย่างที่สุดและแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้

“ใช่ ๆ ! มันชื่อซอสหอยนางรม !” จ้าวฮันก้มหัวมองนางแล้วถามว่า “เสี่ยวเฉ่า  เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ? ท่านอาหยูบอกเจ้าเยี่ยงนั้นรึ ?”

แน่นอนว่าหยูเสี่ยวเฉาจะไม่บอกเขาเป็นแน่ ว่าสูตรของซอสหอยนางรมนั้นมาจากนาง ดังนั้นเด็กหญิงจึงแค่พยักหน้า

หลังจากเดินไปอีกประมาณ 1 เค่อ ป้ายร้านเจินซิวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา

“ว้าว ! สูงจัง !” ฉีโตวน้อยอ้าปากค้าง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาคารสามชั้นหลังจากเดินมาไกล ความหรูหราอลังการของร้านเจินซิวก็ทำให้เด็กน้อยประทับใจเป็นอย่างมาก

ยามอู่เป็นเวลาที่ยุ่งที่สุดของร้านอาหาร ด้านหน้าของร้านเจินซิวมีลูกค้าที่แต่งตัวด้วยผ้าไหมอย่างดีเดินเข้ามาไม่ขาดสาย มีรถม้าคันหรูจอดอยู่ใกล้ ๆ มากมาย ม้าตัวทั้งหลายถูกปลดอานออกและกำลังกินอาหารสัตว์อย่างสบายอารมณ์

“พี่สาม พวกเรา...พวกเรากลับมาตอนคนน้อย ๆ กันเถอะ” ฉีโตวสังเกตเห็นว่าทุกคนที่เดินเข้าออกร้านเป็นคนรวยที่แต่งตัวหรูหรากันทั้งสิ้น แล้วดูเสื้อผ้าที่มีแต่รอยปะชุนของพวกเขาสิ เขาจึงรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยและไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

จ้าวฮันจับมือเด็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉีโตว เรามิได้ไปขโมยอะไรหรือปล้นใครมาเสียหน่อย ไม่มีอะไรต้องอายมิใช่รึ ! พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ อย่าได้เดินไปที่ใดล่ะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปถามเอง”

หยูเสี่ยวเฉามองตามหลังอันสูงสง่าของเด็กหนุ่ม แล้วรู้สึกราวกับว่านางกำลังมองเด็กหนุ่มที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่สงครามครั้งแรกของเขา...

ตระกูลจ้าวทั้งตระกูลตั้งแต่ปู่จ้าวจนถึงจ้าวฮันที่อายุ 13 ปีทำให้นางรู้สึกประทับใจว่าพวกเขาไม่ใช่ตระกูลพรานธรรมดา ๆ พวกเขาให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและมีท่าทางของทหารที่ตระกูลพรานธรรมดา ๆ ไม่น่าจะมีได้

เด็กหนุ่มร่างสูงเข้าไปคุยกับเสี่ยวเอ้อที่คอยต้อนรับลูกค้า เขาวางตะกร้าที่แบกอยู่ลงแล้วเอากระต่ายป่าที่ยังกระตุกอยู่ออกมา และพูดบางอย่างกับเสี่ยวเอ้อคนนั้น  ตอนแรกเสี่ยวเอ้อก็ส่ายหัวเหมือนกับว่าพวกเขาจะไม่รับซื้อ

ความจริงแล้วร้านอาหารใหญ่ ๆ นั้นมักจะมีวิธีการที่ได้วัตถุดิบดี ๆ มาอยู่แล้ว  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รับสินค้าจากคนอื่นแบบส่งเดช

“พี่ชาย ข้าเพิ่งจับสัตว์พวกนี้มาได้ตอนเช้า ยังสด ๆ ทุกตัวเลยนะขอรับ ดูกระต่ายตัวนี้สิ ยังมีชีวิตอยู่เลยนะขอรับ !” จ้าวฮันพยายามขายของอย่างเต็มที่ พวกเขาจะมาเสียเที่ยวมิได้

เสี่ยวเอ้อหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยนะ แต่ร้านเราไม่ต้องการสัตว์อะไรแล้วล่ะ ตอนนี้มันก็ยังร้อนอยู่เลย เราจะซื้อไว้เยอะเกินไปไม่ได้ มันเก็บรักษายาก ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

“สัตว์ที่เราเอามาส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่เลยนะขอรับ ถึงจะเก็บเอาไว้ข้ามคืนแล้วขายพรุ่งนี้ มันก็ยังสดมาก กว่าข้ากับน้อง ๆ จะมาถึงที่นี่ได้ลำบากมากเสียทีเดียวเลยนะขอรับ เพราะงั้นช่วยยกเว้นให้เป็นพิเศษด้วยเถอะขอรับ” จ้าวฮันชี้ไปทางเสี่ยวเฉากับฉีโตวที่ยืนอยู่

“เรารับไว้มิจริง ๆ ...” เสี่ยวเอ้อคนนั้นหยุดพูดกลางคันเมื่อมองไปทางที่จ้าวฮันชี้

ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อเห็นเด็กหญิง เขาเดินอ้อมจ้าวฮันเข้าไปหาเสี่ยวเฉาทันทีพร้อมกับยิ้มกว้าง

“คุณหนูหยู ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอคุณหนูอีก ! ตั้งแต่คุณหนูกลับไปคราที่แล้ว  นายน้อยของเราก็ถามถึงคุณหนูอยู่หลายคราเลยขอรับ เขากลัวว่าจะมีพวกงี่เง่าบางคนจำคุณหนูมิได้ตอนที่คุณหนูมาส่งสัตว์ครั้งต่อไป เขาก็เลยให้ข้ามาคอยต้อนรับแขกแทน...  !”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด