ตอนที่แล้วสงครามดาวศักดิ์สิทธิ์ : ตอนที่4 หลี่มู่คืออาจารย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปสงครามดาวศักดิ์สิทธิ์ : ตอนที่6 การฟ้องร้อง

สงครามดาวศักดิ์สิทธิ์ : ตอนที่5 ขี้ขลาด?


ตอนที่5 ขี้ขลาด?

“มันเป็นอย่างงั้นไปได้ยังไง?” เจงลองซิง ลูบเคราสามเส้นของตัวเอง หลังจากนั้นก็พูด “หลี่มู่ไม่ใช่พวกอ่อนแองั้นสินะ? แล้วเขามาเป็นอาจารย์ศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แม้ว่านักรบที่ส่งไปจะอยู่ในระดับจ้อยฟอสแต่การโดนฆ่าในการโจมตีเดียวนี่มันแปลกๆนะ หรือว่าบางทีข่าวกรองอาจจะผิดพลาดรึเปล่า?”

เจงลองซิงยังมีหน้าที่อีกอย่างนึงนั่นคือ1ใน4ของอาจารย์บลัดดี้มูน

และเขาเป็นคนที่บงการในการลอบสังหารหลี่มู่

แม้ว่าจ้อยฟอสจะเป็นศิลปะการต่อสู้ขั้นแรก แต่ก็ยังมี จ้อยฉี จ้อยมาย และอื่นๆอีก อย่างไรก็ตามคนที่จะมาอยู่ในระดับ จ้อยฟอสได้นั้นก็ต้องมีพละกำลังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือเรียกได้เลยว่าเป็นนักรบศิลปะการต่อสู้ระดับ3 ในโลกที่ไร้กฎหมาย

และในการส่งนักรบมาลอบสังหารหลี่มู่นั้นแต่ละคนก็จัดว่าอยู่ในระดับ จ้อยฟอสระดับ3 ส่วนตัวหัวหน้าอยู่ในระดับ จ้อยฉีเลยด้วย แต่ทว่านักรบพวกนี้ไม่สามารถกำจัดเด็กอายุ15ได้ แถมยังเสียพรรคพวกไป2คนอีก

“บางทีอาจเป็นเพราะว่าหลี่มู่ปกปิดพลังของเขาเอาไว้ ไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าเขาจะเป็นศิลปะการต่อสู้..” นักรบชุดดำพูด

เจงลองซิงก็กำลังนึกถึงช่วงเวลาที่เจอหลี่มู่ในตอนเช้านี้

เด็กชายที่นั่งบนเก้าอี้ผู้พิพากษา ที่ทำตัวเงียบขรึม แต่จริงๆแล้วกำลังกังวลอย่างมาก ซึ่งเพียงแค่มองดูก็รู้แล้วว่าเป็นพวกมือใหม่ ไม่มีสัญญานใดๆบอกว่าเป็นศิลปะการต่อสู้เลย ...

ถ้าหากเขาปกปิดพลังไว้แบบนั้นจริงล่ะก็ เขาต้องเป็นคนที่น่ากลัวมาก

ในทางตะวันตกของจักรวรรดิฉิน หรือแม้แต่ทั่วทั้งดินแดนทั้งหมด ศิลปะการต่อสู้และเผ่าถือว่าพิเศษมาก ขนาดที่ว่าสามารถลุกขึ้นมาต่อกรกับรัฐบาลได้ หลายๆจักรพรรดิที่เกิดขึ้นมานั้นล้วนแล้วแต่มาจากกลุ่มศิลปะการต่อสู้หรือเผ่า ต้องบอกเลยว่ารัฐบาลและโลกไร้กฎหมายนั้นปกครองอำนาจร่วมกันอยู่

เจงลองซิงนั้นเดิมทีเป็นแค่คนขนอาวุธธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อเขามาเข้าร่วมกับบลัดดี้มูน และเขาทำผลงานได้ดีจึงได้เลื่อนขั้นมาเป็นระดับอาจารย์ที่มีอำนาจสั่งการสิ่งต่างๆในบลัดดี้มูน จนทำให้เจงลองซิงกลายมาเป็นทูตของเมืองไต๋ไบ๋ได้พร้อมกับอำนาจควบคุมกองกำลังทหาร

ในตอนนี้ทางตะวันตกของจักรวรรดิฉินกำลังวุ่นวาย รัฐบาลถูกแทรกแซง ซึ่งนี่เป็นสัญญานว่าจักพรรดิฉินกำลังจะถึงวันล่มสลาย

เจงลองซิงได้วางแผนไว้ทุกอย่าง หากผู้พิพากษาคนใหม่ถูกลอบสังหาร หลังจากนั้นเขาก็จะฆ่าโจววูที่เป็นรองผู้พิพากษาทิ้งส้ะ และหลังจากนั้นเขาก็จะนำบลัดดี้มูนเข้ามาเป็นแกนอำนาจและสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาได้

เจงลองซิงนี่ร้ายจริงๆ

สำหรับเขา เมืองไต๋ไบ๋อยู่ในตำแหน่งที่ดี เป็นเมืองที่จะทำให้กอบโกยสิ่งต่างๆมาได้มาก ทั้งชื่อเสียงเงินทองหรือแม้แต่พละกำลัง

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้แผนของเขาจะมีปัญหานิดหน่อย

ในห้องลึกลับ เจงลองซิงที่พยายามนั่งคิดจนสุดท้ายก็คิดออกว่าจะทำยังไงต่อ “แผนต้องดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะรอช้าไม่ได้แล้ว ข้าจะสั่งให้นักรบที่เก่งกว่าไปจัดการกับหลี่มู่ส้ะ ต้องฆ่าเขาก่อนที่เขาจะสร้างผลงาน... ต้องไม่มีอะไรผิดพลาดในแผนการข้า”

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ดวงอาทิตย์เริ่มแย้มบาน

มีดวงอาทิตย์สองดวงเหมือนเช่นเคย ดวงนึงใหญ่ดวงนึงเล็ก ซึ่งอยู่ซ้อนกันหน้าหลัง

มันเป็นแดดที่อบอุ่น สดชื่นในยามเช้า

หลี่มู่เดินออกมาจากห้องด้วยสภาพร่างกายที่ยังเพลียๆ

“ท่านอาจารย์หนุ่ม คุณ...” เด็กหญิงสาวหมิงยื่อจ้องมองหลี่มู่ หลังจากนั้นเธอก็กรีดวิ่งพร่านไปทั่ว “อาจารย์ตัวเหม็นจังอะ แล้วไอรอยดำๆพวกนั้นมันคืออะไร? เหม็นเน่าจริงงง”

หลี่มู่รู้สึกพูดไม่ออก

เขาใช้เวลาทั้งคืนในการฝึกเซี่ยนเที่ยนจนเข้าถึงภาวะที่ขยับตัวไม่ได้แบบที่ไม่เคยพบมาก่อน ช่วงเวลาทั้งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วและหลี่มู่ก็ไม่ดูให้ดีๆก่อนที่จะออกมานอกห้อง จนทำให้หมิงยื่อมาเห้นรอยดำที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของเขา

อาการเหม็นเปรี้ยวฟุ้งไปทั่ว

แม้แต่เขาเองก็ยังได้กลิ่นนั้น

“เอ้าสวัสดี? เตรียมน้ำร้อนให้หน่อยสิ อยากอาบน้ำจัง..”

หลี่มู่ตัดบทในทันที

และแน่นอนว่าคนระดับหลี่มู่ในตอนนี้ หากเขาต้องการสิ่งใดขอแค่บอก จะมีคนรับใช้หามาให้ทันที ในไม่ช้าก็มีน้ำร้อนจัดเตรียมไว้ให้อย่างดีในอ่าง

หลังจากอาบน้ำเสร็จหลี่มู่ก็รู้สึกสดชื่นมาก

เขาตกใจมากเมื่อล้างคราบดำออกจากผิวไปแล้ว ผิวของเขาก็ดูเรียบเนียนมากขึ้น เมื่อมองเข้าไปในกระจกผมของเขาก็ยาวขึ้นมากในเวลาเพียงแค่คืนเดียว แม้แต่ความสูงของตัวเขาเองก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย

“ทักษะเซี่ยนเที่ยนนี่มันสุดยอดขนาดนั้นเลยหรอ มันมีผลขนาดนี้เว้ย”

หลี่มู่ประหลาดใจมาก แต่ก็มีเรื่องอื่นให้เขากังวลใจแทรกเข้ามาทันที

เขาไม่มีชุดอะไรใส่เลยนอกจากชุดทางการ

เขาไม่ต้องการที่จะใส่รองเท้าแตะหรือกางเกงที่นำมาจากโลกอีกต่อไป เพราะว่าตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่เขาต้องรักษาภาพพจน์ตัวเองเอาไว้ไม่อย่างงั้นจะโดนคนสงสัยและนินทา อย่างไรก็ตามเขาเลือกที่จะเก็บรองเท้าแตะและกางเกงนั่นไว้ใส่ในวันครบรอบ 20ปี

หลี่มู่จำได้ว่าตอนเขาเดินทัวในห้องผู้พิพากษา เหมือนว่าเขาจะพบกล่องกล่องนึงที่อยู่ในห้องเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเป็นกล่องของอดีตผู้พิพากษาซึ่งบรรจุเสื้อผ้าไว้มากมาย บางทีเขาอาจจะยืมมาใส่ก่อนก็ได้ และเมื่อได้รับเงินเดือนมากพอก็ค่อยซื้อใส่เอง

เมื่อคิดๆดูแล้วก็น่าหงุดหงิดชะมัด การที่มาเป็นผู้พิพากษาแบบนี้ ทั้งโดนคนอื่นขำ นินทาใส่ แถมยังไม่มีเงินใช้อีก

หลี่มู่ที่หงุดหงิดก็เดินตรงเข้ามาในห้องเล่นแร่แปรธาตุทันที

ตำแหน่งที่ตั้งของห้องเล่นแร่แปรธาตุนั้นเงียบสงบมาก หลี่มู่ต้องเดินผ่านประตูลับที่อยู่ในห้องฝึกฝนเข้าไป ภายในห้องนั้นมีของทุกอย่างแล้วเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ เห็นได้ชัดเลยว่าผู้พิพากษาคนก่อนสนใจเรื่องนี้มาก

และทั้งหมดนี่ก็ทำให้หลี่มู่รู้สึกอบอุ่นคุ้นเคย

เพราะตอนอยู่ที่โลก ห้องของปู่ก็มีสภาพแบบนี้ในวัดแรนเด็ง

เขามองไปที่กล่องไม้เหล่านั้นและเปิดออกทันที

เขาไม่ได้จำผิดแต่อย่างใด เพราะเมื่อเปิดออกมันเป็นเสื้อผ้าหลายชุดอยู่ในนั้น

อย่างไรก็ตามเสื้อคลุมเหล่านั้นมีเนื้อผ้าคุณภาพดีซึ่งมีสีสันที่แตกต่างกัน ส่วนลวดลายนั้นมีการปักที่อกเป็นสัญลักษณ์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาว ดาวหาง สายฟ้า เจดีย์ มังกร และต่างๆนาๆ โดยแต่ละชุดคลุมนั้นก็จะมีเสื้อชั้นใน กางเกงและรองเท้าของตัวมันเอง

“โอ้ ดูเหมือนว่าผู้พิพากษาคนก่อนนี่จะละเอียดอ่อนกับการแต่งตัวดีนะ”

พูดตามตรงเลยว่าหลี่มู่เองชักอยากจะรู้แล้วว่าผู้พิพากษาคนก่อนเป็นยังไง อยากจะเดินตามขึ้นเขาไป

เขารีบใส่เสื้อด้านใส่และชุดคลุมน้ำเงินทันที ซึ่งมันก็มีขนาดที่ฟิตนิดหน่อย

วัตถุดิบที่ทอเสื้อคลุมนี้ขึ้นมานั้นนุ่มสบายมาก น่าจะเป็นฝ้ายบริสุทธิ์

หลี่มู่เดินออกจากห้องเล่นแร่แปรธาตุและกลับไปยังห้องตัวเองเพื่อไปส่องกระจก

ชายหนุ่มผอมเรียวหุ่นดีสวมใส่ชุดคลุมน้ำเงินทอง อย่างกับคนใส่ลัทธิเต๋าไม่มีผิด

“หล่อดีนิ”

หลี่มู่ชื่นชมตัวเอง

ข้อเสียเดียวของชุดนี้คือตรงช่วงแขนยาวเกินไปและยาวไปนิด

หลังจากนั้นอาหารเช้าก็มาถึง

เด็กทั้งสองไม่ได้ตกใจอะไรกับชุดที่หลี่มู่สวมใส่ขณะที่กินข้าวเช้าด้วยกัน

“ในที่สุด อาจารย์หนุ่มก็เป็นปกติเหมือนคนอื่นเขาสักที” ขิงเฟงทักหลี่มู่ทันที

หมิงยื่อก็รู้สึกดีใจมาก “อาจารย์หนุ่มนี่หล่อที่สุดเลย”

ต่อมาหลี่มู่ก็เข้าใจทันทีว่าในยุคของจักรพรรดิฉินนี้มุ่งเน้นไปทางลัทธิเต๋า จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมการแต่งกายของผู้พิพากษาถึงเป็นเช่นนี้

และก่อนที่พวกเขาจะทานข้าวเช้ากันเสร็จ หนึ่งในคนใช้ก็รายงานมาว่าโจววู รองผู้พิพากษามาเพื่อขอคำแนะนำจากหลี่มู่และคนอื่นๆ

“ไม่ว่างพบหน่ะ ไม่มีเวลา” หลี่มู่ปฎิเสธตรงๆ

เขาไม่ต้องการพบใครทั้งนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด

“โอ้ อาจารย์หนุ่ม ท่านต้องสู้หน่อยนะ” ขิงเฟงมองว่าหลี่มู่กำลังเป็นพวกขี้แพ้

หลี่มู่ก็โบกมาและรีบลุกหนีทันที

...

เพียงชั่วพริบตา เวลาสามวันก็ผ่านไป

ที่ด้านหน้าออฟฟิศรัฐบาล

“เขายังไม่อยากจะเจอพวกเราอีกหรอ?”

โจววู รองผู้พิพากษามองไปยังหมิงยื่อที่และถามทันที “ท่านผู้พิพากษาไม่ต้องการที่จะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรอ?”

หมิงยื่อเด็กสาวน่ารัก ที่ได้อยู่ได้กินได้ใช้ชีวิตในออฟฟิศรัฐบาลก็เริ่มดูดีมีผิวพรรณขึ้นเยอะ ก็พยักหน้าและตอบทันที “ท่านอาจารย์หนุ่มบอกว่าให้ท่านโจววูจัดการได้เลย และใช่เขาไม่ต้องการจะรู้เรื่องการเมืองใดๆ” หลังจากตอบไปแบบนั้นเด็กสาวคนนี้ก็หันหลังกลับวิ่งหนีทันที

“ก็นะ....”

รองผู้พิพากษาโจววูและพนักงานรัฐบาลคนอื่นมองหน้ากันแบบอึดอัดใจ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทุกคนเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อสอนให้หลี่มู่รู้ แต่ใครจะรู้หล่ะว่าผู้พิพากษาคนใหม่นี้จะหดหัวอยู่แต่ในห้องไม่อยากมาเจอใครเลย...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด