Returning From The Immortal World - 239
.......................................................................................................................................................................................
ถังซิ่วเองก็ได้ปฏิเสธคำร้องของซูหลิงหยุนเพราะสิ่งที่เขาต้องการนั้นคือสมุนไพรและเข็มเงินแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์ที่แน่ชัดของคุณยายจึงไม่ได้นำพวกยารักษามา
“พี่ชายเบ็น พี่ง่วงหรือเปล่า ?”
ถังซิ่วได้ถามออกมา
ซูเปิ่นเองก็ได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดว่า
“ยังไม่ง่วงเท่าไหร่”
ถังซิ่วเองก็ได้พูดต่อว่า
“ก็ดี ถ้างั้นพี่มากับผม ! เราจะต้องออกไปหาวัตถุดิบบางอย่างเพื่อมารักษาคุณยาย”
“ได้เลย”
ซูเปิ่นเองก็ได้พยักหน้าตอบ
ถังซิ่วรู้จักนิสัยของ ซูเปิ่นมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเป็นคนที่เรียบง่ายถึงขั้นที่เป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจาแต่ว่าไม่ว่าจะใครหรือครอบครัวไหนที่มีปัญหาเขาก็จะไปช่วยเสมอ
จริงๆแล้วถึงถังซิ่วจะอยู่ที่นี้มานานกว่าสิบปีแต่เขาก็ไม่ได้ใช้สกุลเดียวกันซึ่งจริงๆแล้วเขาควรจะเรียกเฉินฮุยหยิงว่าป้าและผู้อาวุโสคนอื่นๆว่าป้าเช่นกันแต่เพื่อไม่ให้เขารู้สึกแปลกแยกจากที่นี่ซูหลิงหยุนจึงได้ให้เขาเรียกคนอื่นๆว่าลุง ตา ยาย
(*จริงๆแล้วคือแบบมันมีแยกฝั่งกันอะครับว่า paternal aunt(ป้าของพ่อ) – maternal aunt(ป้าของแม่)ซึ่งของไทยเราก็เรียกรวมๆใช่ปะงะ ป้าใช่ไหมงะ แอดก็ไม่แน่ใจเพราะแอดเป็นครึ่งจีน )
ถังซิ่วได้ขับรถพาซูเปิ่นออกไปด้านนอกวิลล่าอย่างรวดเร็วเพราะทางเหนือของหมู่บ้านตระกูลซูนั้นคือสันเขาหยูเซ่าและมันถูกล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำหลายสายพร้อมกับพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์
ซูเปิ่นที่ได้เห็นว่าถังซิ่วไม่ได้ขับรถเข้าไปในเมืองแต่กลับมุ่งหน้าไปทางสันเขาถึงกับถามออกมาด้วยความสับสนว่า
“ถังซิ่ว เราไปที่นั่นทำไมกัน ?”
ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“จำได้ไหมว่าตอนเด็กๆพี่ได้มาเก็บผลไม้ป่าจากที่นี่ ? ผมเองได้เห็นสมุนไพรป่าจากที่นี่มากมายและตอนนั้นเองผมก็นึกว่ามันเป็นเพียงแค่ต้นหญ้าเท่านั้น ตอนนี้ผมได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์มาแล้วแต่การที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของยายนั้นจำเป็นต้องใช้สมุนไพรพวกนั้น”
ซูเปิ่นเองก็ได้ยกนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า
“ถังซิ่ว นายมันน่าทึ่งจริงๆ เพิ่งจะเป็นเรียนที่สตาร์ซิตี้ได้เพียง6ปีแต่ไม่ใช่แค่กลับมาพร้อมกับรถหรูทว่ายังได้เรียนรู้วิชาการแพทย์มาอีก หากว่ารู้อย่างงี้ฉันน่าจะไปที่เมืองนั้นกับนาย”
ถังซิ่วเองก็ได้ยิ้มออกมาและไม่ได้ตอบกลับไป ทักษะของเขาได้มาจากการที่ถูกรถชนและปาฏิหาริย์นั่นต่างหาก หากว่าไม่ได้โชคดีครั้งนั้นตอนนี้เขาก็คงเป็นเด็กกระโปกที่กำลังตั้งใจเรียนและนั่งรอคะแนนสอบไปแล้ว
โชคชะตา ! มันช่างน่าพิศวงจริงๆ
หลังจากที่ถังซิ่วได้ขึ้นเป็นนิรันด์สูงสุดนั้นก็เลิกเชื่อในเรื่องโชคชะตาแล้ว เขาคิดว่าเขาเป็นคนกุมชะตาชีวิตของตัวเองและเส้นทางแห่งเซียนของเขา
วันที่มืดมิด
ถังซิ่วรู้สึกได้ถึงสายลมที่หนาวเหน็บพร้อมกับระงับอารมณ์ร้ายๆของเขาเอาไว้ เขาจะไม่ปล่อยเรื่องที่คุณยายถูกทำร้ายไว้แน่นอนไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพื้นหลังอย่างไรแต่กล้าที่จะมาทำร้ายคนที่เขารักนั้นไม่สามารถอภัยให้ได้
“จอดตรงนี้แหละ เราจะปีนเขากัน !”
ถังซิ่วที่กำลังอยู่ตรงตีนเขานั้นได้เดินออกมาจากรถขณะที่พูดออกมา
ซูเปิ่นเองก็ได้พูดออกมาด้วยความลังเลว่า
“ถังซิ่ว นายไม่กลัวคนอื่นขโมยรถไปหรือไง?”
ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ดึกขนาดนี้แล้วยังจะมีใครมาที่ภูเขานี่อีก ? ยิ่งไปกว่านั้นคือหากว่ามันมีความสามารถจริงก็เอาไปเลย ! เอาล่ะเราสนใจแค่เรื่องหาสมุนไพรก็พอแล้ว”
ซูเปิ่นเองก็ได้พยักหน้าพร้อมกับปฏิบัติตามถังซิ่ว เขารู้สึกสงสัยในตัวถังซิ่วเป็นอย่างมากว่าเขาไปเอาเงินมากมายมาจากไหนและความรู้ด้านการแพทย์ของเขาถึงระดับไหนแล้วกัน
สายลมได้พัดผ่านต้นไม้ตามภูเขา ถังซิ่วและ ซูเปิ่นเองก็เดินเข้าไปในป่านั้นอย่างสบายใจ ผ่านไปประมาณ20นาทีพวกเขาก็ได้ไปถึงครึ่งหนึ่งของเส้นทางแล้ว
“ถังซิ่ว นายต้องระวังไว้นะเพราะนายเองก็น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ของป่านี้ ต่อให้เป็นตอนกลางดึกเราก็สามารถพบกับสัตว์ป่าได้มากมาย มันจะเป็นปัญหามากๆหากว่าเราไปพบกับฝูงหมาป่าหรือหมีเข้า”
อุปนิสัยของซูเปิ่นนั้นเป็นคนง่ายๆและซื่อสัตย์แต่เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากๆ
“วางใจเถอะ !”
ถังซิ่วได้พยักหน้าของเขา ก่อนหน้านี้เขาเองเป็นคนที่ระมัดระวังมากว่าซูเปิ่นด้วยซ้ำแต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเรียนอีกแล้ว เขาใช้แค่สองถึงสามกระบวนท่าก็สามารถล้มสัตว์ป่าพวกนี้ได้หมดแล้ว
ซูเปิ่นเองก็ได้พูดออกมาว่า
“ถังซิ่ว ฉันรู้ว่านายเป็นเด็กที่ฉลาดมาตั้งแต่ยังเล็กแต่ก่อนหน้านี้ที่นี่ได้มีเสือดาวที่ดุร้ายปรากฏขึ้น พ่อของเก็นซี่ที่ต้องการจะล่าสัตว์นั้นได้ตายลงด้วยเงื้อมมือของมันในป่านี้ คนในหมู่บ้านเองก็ได้ระดมกำลังกันไปค้นหาในป่าแต่ก็พบเพียงแค่ซากกระดูกและเศษเสื้อผ้าของเขาเท่านั้นและพวกเขาเองก็ไปเจอเข้ากับเสือดาวตัวเท่าควายเข้า หากว่าครั้งนั้นพวกเขาไม่ได้พาปืนเข้าไปด้วยก็คงไม่มีโอกาสรอดออกมา”
ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“เสือดาวตัวเท่าควาย ? พี่ล้อเล่นหรือเปล่า ? หากว่ามันใหญ่ขนาดนั้นแล้วมันไม่ใช่สัตว์ประหลาด ?”
ซูเปิ่นเองก็ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“น่าจะเป็นอย่างนั้น เจ้าเสือดาวนั่นน่าจะเป็นสัตว์ประหลาด ความเร็วของมันนั้นเร็วกว่าเสือที่เราเห็นตอนเด็กๆกว่าเท่าตัวยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่เรากลับออกมานั้นฉันยังเห็นเลยว่าเจ้าเสือตัวนั้นสามารถกัดหมาป่าหลายตัวจนตายได้อย่างง่ายดาย ต้องรู้ก่อนนะว่ามันกำลังถูกล้อมด้วยฝูงหมาป่านะ !”
ดวงตาของถังซิ่วนั้นเปล่งประกายเพราะจากคำอธิบายของซูเปิ่นนั้นก็บอกได้ว่าเสือดาวตัวนั้นสามารถเปิดภูมิปัญญาของตัวเองได้แล้วแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบจากสัตว์ร้ายมากนักแต่การมีเก็บไว้ก็ไม่เสียหาย
“ถังซิ่ว เราต้องรีบหาแล้วนะเพราะแบตโทรศัพท์ของฉันจะหมดแล้ว เราจะไม่มีไฟฉายใช้แล้วนะ”
ซูเปิ่นที่เห็นท่าทางสบายๆของถังซิ่วนั้นก็ได้พูดเตือนสติเขาขึ้นมา
ถังซิ่วก็ได้แต่พยักหน้าแต่เอาจริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งแสงไฟจากโทรศัพท์ด้วยซ้ำแม้ว่าจะมืดมิดแต่เขาก็ยังสามารถเห็นพื้นที่รอบข้างได้อย่างชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ได้ใช้ตาในการหาสมุนไพรในที่แห่งนี้แต่เป็นจิตสัมผัสของเขาต่างหาก
ขณะที่เขาได้แห่จิตสัมผัสออกไปนั้นมันก็ได้ครอบคลุมพื้นที่รอบๆกว่า200เมตร ทำแค่นั้นเขาก็สามารถหาสมุนไพรที่เขาต้องการได้แล้ว
“เจอล่ะ !”
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีดวงตาของถังซิ่วก็เปล่งประกาย เขาได้พบสมุนไพรที่เขาต้องการในพื้นที่แยกของภูเขา มันคือสมุนไพรหญ้ามังกรเงิน
“ถังซิ่ว นายต้องการหาอะไรงั้นหรอ ?”
ซูเปิ่นเองก็ได้มองไปทีหญ้าในมือของถังซิ่วด้วยท่าทางแปลกๆพร้อมถามออกมาด้วยความสงสัย
ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“มันคือหญ้ามังกรเงินซึ่งสามารถสลายเลือดคั่งและฟื้นฟูกระดูก สมุนไพรชนิดนี้นั้นหาไม่ง่ายเลยและผมจำได้ว่าเคยเห็นมันอยู่ที่นี่ตอนเด็กๆ”
ซูเปิ่นเองก็ได้ถูจมูกของเขาพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา
“หากว่ารู้ว่าหญ้านี่มันดีก่อนหน้านี้ก็คงดี ฉันได้ตัดมันไปเป็นโหลเลยเพื่อเป็นอาหารให้แกะเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง มันมีหญ้า...........สมุนไพรพวกนี้อยู่เยอะเลยล่ะ ตอนนี้หญ้าพวกนั้นก็คงยังอยู่ในกองพวกนั้นแหละ”
“อะไรนะ !”
ถังซิ่วได้มองไปที่ซูเปิ่นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ต้องรู้ก่อนนะว่าหากนำหญ้าเหล่านี้ไปขายในตลาดก็มีราคามากกว่า1พันหยวนแล้ว เขา...เขากลับเอาไปเป็นอาหารแกะ ?
นี่.....
นี่มันหรูหราและน่าเสียดายเกินไปไหม ?
ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะของเขาพร้อมฝืนยิ้มออกมา
“พี่เบ็น พี่กลับไปหาหญ้าแบบนี้ทันที จำไว้ว่ามันมีราคามากๆหากว่าพี่สามารถหามาได้ผมจะให้ราคาต้นละ1พันหยวน”
“อะไรนะ ?”
ซูเปิ่นเองถึงกับจ้องมองอย่างงงงวย เขาเกือบจะตกใจตายกับคำพูดของถังซิ่วแล้ว
1000 ?
ที่บ้านของเขาเปิดฟามและต้องจ่ายค่าจ้างต่างๆ เขาจะเหลือกำไรต่อปีเท่าไหร่กัน ? คงไม่มากกว่า2หมื่นหยวน ? แต่ไอ้หญ้าพวกนี้กลับมีราคาถึงต้นละ1พันหยวน หากว่าหามาได้2-3ต้นก็เพียงพอต่อการที่เขาจะฟันฝ่าอุปสรรค์ในปีนี้ได้
“ถังซิ่ว นายไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม ?”
ซูเปิ่นได้ถามออกมาด้วยหน้าตาที่จริงจังอย่างมาก
ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ผมไม่ได้ล้อเล่น หากว่าหามาได้ผมก็จะรับมันที่ราคาต้นละ1พันอย่างไรก็ตามที่ภูเขานี้มีสัตว์ป่าอยู่มากพี่กลับไปหามันที่บ้านดีกว่าการที่ต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่”
ซูเปิ่นเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าฉันจะกลับไปเพื่อหาว่ามันยังมีเหลืออยู่บ้างไหม”
“ดี !”
ถังซิ่วได้พยักหน้าของเขา
หลังจากนั้นพวกเขาไม่ได้อยู่ในภูเขาอีกแล้วแม้ว่าถังซิ่วจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พบสัตว์ร้ายตัวนั้นแต่บาดแผลของยายเขานั้นสำคัญกว่า เขาไม่สามารถล่าช้าไปกว่านี้
พวกเขาได้กลับไปที่หมู่บ้านตระกูลซูอีกครั้ง ซูเปิ่นเองก็ได้ไปที่บ้านหลักเพราะถังซิ่วได้บอกมาว่าเขาต้องการเข็มเงินและหัวหน้าหมู่บ้านเองก็มีมันพอดีดังนั้นถังซิ่วเองก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหามันอีก
“ลูกเจอสิ่งที่ลูกต้องการหรือเปล่า ?”
เมื่อซูหลิงหยุนเห็นว่าถังซิ่วกลับมาแล้วนั้นเธอก็ได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“เจอแล้วครับ รอให้พี่เบ็นกลับมาก่อนแล้วผมจะเริ่มรักษาคุณยาย”
แม้ว่าเฉินฮุยหยิงนั้นจะง่วงนอนมากๆแต่เพราะเธอเป็นห่วงซางฉีจึงไม่ได้กลับไปพักผ่อนแต่อย่างใดยิ่งไปกว่านั้นคือลูกชายของเธอก็ได้ออกไปกับถังซิ่วดังนั้นเธอจึงต้องรออยู่ที่นี่ เมื่อได้ยินเสียงของถังซิ่วนั้นเธอก็ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า
“ไม่ใช่ว่าเบ็นเอ๋อไปกับเธอหรอ ? เขาไปที่ไหนกัน ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“เขาได้ไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อขอยืมเข็มเงินครับ”
เฉินฮุยหยิงเองก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“อ่อใช่ ก่อนหน้านี้เขาเป็นหมอแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนก็ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นและทำให้คนตายแต่ก็ยังเป็นหมอในหมู่บ้านของเรา !”
ซางฉีเองก็กำลังนิ่งเงียบหลังจากคุยกับลูกสาวเธอก็ได้เรียกถังซิ่วมาทันทีหลังจากที่เห็นเขาแล้วพูดว่า
“ซิ่วน้อย ยายมันช่างไร้ประโยชน์จริงๆพวกเขาแค่ทุบตีเบาๆแต่กลับทำให้กระดูกยายหักหมดแล้ว”
ถังซิ่วเองก็ได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดว่า
“คุณยายแก่แล้วนะ ตอนเด็กๆก็ยังตีผมได้อยู่หรอกแต่ผมก็ชอบเค้กที่คุณยายทำมากๆเลยล่ะ”
แม้ว่าซางฉีกำลังแบบรับความความเจ็บปวดอยู่นั้นแต่เธอก็ยังยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“รอให้ขายายหายก่อนแล้วจะทำเค้กให้หลานกินนะ”
ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ขอบคุณครับคุณยาย ผมรู้ดีว่านอกจากคุณแม่แล้วก็มีคุณยายนี่หล่ะที่ดีกับผม”