Returning From The Immortal World - 231
......................................................................................................................................................................................
8.30
ถังซิ่วได้สวมเสื้อคลุมสีขาวที่หลี่ฮงจี้ได้เตรียมเอาไว้ให้ก่อนที่จะนั่งรอคนไข้คนแรกอย่างสงบ ข้างๆเขาได้มีเด็กหญิงอายุประมาณ20ปีซึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่สงสัย ดั่ยซินหยูนั้นเป็นนักศึกษาที่เพิ่งได้รับบรรจุใหม่มาไม่กี่เดือน
อย่างไรก็ตามเธอนั้นพอมีความสามารถด้านการแพทย์เพราะปู่ของเธอเป็นหมอด้านการแพทย์แผนจีนและพ่อแม่ของเธอเองก็ทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ดังนั้นเธอจึงได้รับการถ่ายทอดมาจากทางบ้าน
เธอเองนั้นรู้สึกสงสัยเรื่องของถังซิ่วแต่ก็ยังรู้สึกบูชาเขาอย่างมากเพราะเขามีอายุเท่าๆเธอแต่กลับสามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้
“ก๊อก ก๊อก......”
ประตูห้องตรวจได้ถูกเคาะพร้อมกับญาติผู้ป่วยหลายๆคนกำลังเดินเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้คิ้วของถังซิ่วต้องขมวดเข้าหากันนั่นก็เพราะเขารู้จักชายชราคนนี้ เขาเป็นเพื่อนของผู้นำสำนักมังกรรุ่งโรจน์ หยางเซียนหยู
“สวัสดีหมอเทวดาถัง”
หยางเซียนหยูเองก็ได้ยิ้มออกมาขณะที่เดินเข้ามาในห้อง
ถังซิ่วได้พยักหน้าให้กับเขาพร้อมกับมองไปที่เตียงของหญิงชราที่ถูกนำเข้ามา เขาได้เดินไปจับข้อมือของเธอเพื่อตรวจชีพจร หลังจากผ่านไปประมาณ30วินาทีเขาก็มองไปที่หยางเซียนหยูพร้อมกับถามออกมาว่า
“คุณคงได้พาเธอไปตรวจมาก่อนแล้วใช่ไหม ? หมอคนอื่นว่าอย่างไรบ้าง?”
หยางเซียนหยูก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
“พวกเขาบอกว่าเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแต่ฉันไม่เชื่อ”
ถังซิ่วก็ได้ถามออกมาว่า
“คำพูดนั้นหมายความว่าไง ?”
หยางเซียนหยูเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ต่อให้เธอเป็นโรคหลอดเลือดในสมองจริงแต่ก็ไม่มีทางที่จะพูดถึงเรื่องเทพและปีศาจแปลกๆพวกนั้นอย่างแน่นอน ฉันคิดว่าเธอไม่น่าจะเป็นโรคหลอดเลือดแต่เธอต้องมนต์มากว่า”
ถังซิ่วได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า
“คุณพูดถูก เธอนั้นได้หลงไปในมนต์”
หยางเซียนหยูเองก็ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับพูดออกมาว่า
“หมอเทวดาถัง ในเมื่อคุณรู้ว่าเธอตกอยู่ในมนต์สะกดแสดงว่าคุณก็ต้องมีวิธีรักษา ? เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นฉันต้องขอโทษจริงๆเพราะฉะนั้นอย่าได้ถือสาหาความเลย”
ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า
“เรื่องก่อนหน้านี้ก็ปล่อยมันไปเถอะ ! ที่จุดพลังตรงสมองของเธอนั้นมีพลังงานที่ชั่วร้ายอยู่ โชคดีที่มันยังไม่รุกล้ำเข้าไปยังจิตใจของเธอมิเช่นนั้นเธอคงเปลี่ยนเป็นไอ้โง่ไปแล้ว”
“เฮ้ นายพูดอะไรกัน ?”
หยางเจิ้งติงที่ยืนอยู่ข้างๆหยางเซียนหยูนั้นได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“หุบปากซะ !”
หยางเซียนหยูเองก็ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปพร้อมตะโกนใส่เขาทันที
หยางเจิ้งติงได้พูดออกมาว่า
“พ่อ ไอ้เด็กนี้มันพูดไร้สาระอะไร แม่จะไปตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดอะไรกัน หมอที่โรงพยาบาลเองก็ได้บอกว่าเธอเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง ! เราทำตามการรักษาโรคปกติเถอะผมเชื่อว่าแม่จะต้องกลับมาเป็นปกติอย่างแน่นอน !”
“เพรี้ย !!!!!”
หยางเซียนหยูได้ตบไปที่ใบหน้าของเขาทันทีพร้อมกับตะโกนออกมาว่า
“หากว่าแกกล้าพูดออกมาอีกแม้แต่คำเดียวฉันก็จะถือว่าฉันไม่มีลูกแบบแก !”
หยางเจิ้งติงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ก้มหัวและยืนนิ่งเงียบ
ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า
“พวกคุณออกไปซะ !”
หยางเซียนหยูได้เข้าใจความหมายของคำพูดถังซิ่วผิดไปพร้อมกับรีบพูดออกมาว่า
“หมอเทวดาถัง อย่าได้ลดตัวลงมายุ่งกับลูกฉันเลย ฉันสั่งสอนเขามาไม่ดีเองแต่ยังไงคุณก็ต้องช่วยภรรยาของฉันนะ !”
ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาว่า
“ฉันหมายถึงให้พวกคุณออกไปรอข้างนอกแล้วฉันจะได้รักษาเธอ”
“ดี ดี ดี !”
หยางเซียนหยูเองก็รู้สึกมีความสุขมากๆพร้อมกับพาลูกๆของเขาออกมาข้างนอก
ถังซิ่วได้มองไปที่ดั่ยซินหยูพร้อมพูดออกมาว่า
“ก่อนหน้านี้ได้บอกให้เธอไปเตรียมเข็มเงินมาแล้วใช่ไหม เธอไปฆ่าเชื้อพวกมันซะ”
“ได้เลย”
ดั่ยซินหยูเองก็ได้ปฏิบัติตามอย่างนอบน้อมพร้อมกับเอาเข็มเงินมาให้ถังซิ่ว
ถังซิ่วได้ยกหญิงคนนั้นขึ้นมาในท่านั่งพร้อมกับพูดว่า
“ถอดเสื้อผ้าเธอออกซะยกเว้นกางเกงใน”
ดั่ยซินหยูเองก็ไม่ได้ลังเลพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของหญิงชราออกพร้อมกับที่ถังซิ่วได้สอดเข็มเงินลงตามจุดพลังกลางหลังของเธอ
ถังซิ่วได้สอดเข็มไปตามจุดพลังอย่างนุ่มนวลขณะที่มือของเขาขยับไปมา
หลังจากผ่านไปสองนาที
“ค๊อก ค๊อก...”
หญิงชราคนนั้นก็ตื่นขึ้นจากอาการหมดสติพร้อมกับไอออกมาหลายครั้ง
ท่าทางของถังซิ่วเองก็เปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะดึงเข็มออกมาแล้วปักมันลงไปพร้อมทำอย่างงี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บิด ดึงออก ปัก
เขาได้ทำมันทั้งหมดนี้ซ้ำกันถึง9ครั้ง
“เหม็นจัง !”
ดั่ยซินหยูที่ยืนอยู่ข้างๆถังซิ่วนั้นได้เห็นว่ามีควันสีขาวๆไหลออกมาจากจุดที่ถังซิ่วได้ดึงเข็มออกมา
ถังซิ่วได้วางเข็มในมือลงพร้อมกับนวดไปที่ใบหน้าของหญิงชราคนนั้น แน่นอนว่าเขาเองก็ได้ส่งพลังแห่งดวงดาราไปให้เธอในขณะที่เขากำลังนวดเพื่อให้มันฟื้นฟูสภาพของเธออย่างเงียบๆ
เขาใช้เวลาในการรักษาไม่กี่สิบนาทีเมื่อเขาถอนมือของเขาออกมานั้นหน้าตาของหญิงชราก็กลับเป็นปกติพร้อมกับเก็บเข็มเงินไว้แล้วพูดออกมาว่า
“ช่วยเธอสวมเสื้อผ้าแล้วเรียกญาติผู้ป่วยเข้ามา”
ดั่ยซินหยูเองก็ได้มองไปที่รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของหญิงชราด้วยความโง่งมแต่เธอก็ตื่นขึ้นจากคำพูดของถังซิ่ว หลังจากนั้นก็ถามขึ้นว่า
“ถัง.......คุณหมอถัง เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรงั้นหรอ ? ขอโทษทีที่ฉันนั้นใจลอย”
ถังซิ่วได้ย้ำประโยคเมื่อครู่อีกครั้งก่อนที่จะเดินไปที่อ่างล้างมือพร้อมกลับมานั่งที่โต๊ะของเขา
ทันใดนั้นหยางเซียนหยูและลูกๆของเขาก็ได้เดินเข้ามาพร้อมมองไปที่รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของหญิงชราด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“หมอเทวดาถัง ภรรยาของฉัน.....”
ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า
“ฉันได้รักษาเธอไปแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก เดี๋ยวฉันจะจดใบสั่งยาให้คุณไปแล้วหลังจากนั้นก็ต้มมันให้เธอดื่มซะ ไม่กี่วันเธอก็น่าจะดีขึ้นแต่ฉันคิดว่าคุณเองก็ควรจะระวังไว้ให้ดีเพราะไม่รู้ว่าที่บ้านของเธอจะมีปีศาจชั่วร้ายเหลืออยู่อีกไหม หากวาไม่ระวังแล้วโดนรุกลานอีกครั้งโดยวิญญาณชั่วพวกนั้นมันจะเป็นการยากมากที่จะรักษาเธอ”
หยางเซียนหยูเองก็ถามออกมาด้วยความตกตะลึกว่า
“เธอไม่เป็นไรแล้ว ?”
ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า
“เป็นอะไรไป ? ไม่เชื่อคำพูดฉัน ?”
หยางเซียนหยูเองก็ได้ส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า
“ฉันเชื่อคำพูดของคุณ ในที่สุดฉันก็ได้พาภรรยามารักษาเสียทีหลังจากที่รอคุณอยู่ที่เมืองนี้มานาน ขะ-ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ”
ถังซิ่วได้พูดออกมาด้วยความสับสนว่า
“ก่อนหน้านี้ที่เจอคุณที่สำนักนั่น ? หรือว่าเพราะ.......”
หยางเซียนหยูเองก็ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“ก่อนหน้านี้ที่ไปที่นั่นก็เพราะว่าฉันกำลังหาตัวคุณ ได้ยินมาว่าคุณสามารถรักษาเด็กน้อยที่เป็นโรคประหลาดที่เกาะจิงเหมินได้ ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าคุณเป็นหมอเทวดาเพราะฉะนั้นจึงได้ออกตามหาข่าวของคุณไปทั่วและรู้ว่าคุณอยู่ที่เมืองนี้ เจียงเฟิงที่เป็นหัวหน้าสำนักนั้นก็เป็นเพื่อนฉันมาหลายปีและเราเองก็ได้ไปเจอคุณโดยบังเอิญ....”
ถังซิ่วได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“หากว่าคุณไปเจอเขียงเฟิงอีกครั้งแล้วฝากบอกเขาด้วยว่าการเปิดสำนักนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สามารถสร้างคนที่จะปกป้องประเทศของเราแต่การที่คนที่มีความสามารถกลับรังแกคนอ่อนแอนั้นก็ควรจะปิดสำนักไปซะ!”
หยางเซียนหยูเองก็ได้พูดออกมาว่า
“หมอเทวดาถัง คุณไม่รู้หรอกว่าเพื่อนของฉันนั้นเป็นคนที่มีความยุติธรรมเป็นอย่างมาก ตลอดชีวิตมานี้ฉันยังไม่เคยเห็นเขารังแกคนอ่อนแอแม้แต่น้อย เขาเองเกลียดคนเช่นนั้นมากและต้องการสั่งสอนพวกมันทุกคนและเมื่อเขารู้ว่ามีคนประเภทนี้อยู่ในสำนักของเขานั้นก็ได้โกรธเป็นอย่างมากพร้อมกับเก็บกวาดสำนักใหม่ทั้งหมด”
ถังซิ่วก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ฉันเข้าใจแล้ว !”
เมื่อพูดจบถังซิ่วก็ได้เขียนใบสั่งยาให้แก่หยางเซียนหยูพร้อมกับพูดว่า
“ไปหายานี้มาและตั้งใจปรุงมันให้ดี”
“ขอบคุณหมอเทพดาถัง”
หยสงเซียนหยูได้พูดแสดงความขอบคุณออกมา
ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะขณะที่มองไปที่หลังของพวกเขาที่กำลังเดินออกไป เขาได้มองไปที่ดั่ยซินหยูพร้อมถามออกมาว่า
“รู้สึกอย่างไรบ้าง ?”
ความรู้สึกช๊อคบนใบหน้าของเธอได้หายไปทีละนิดก่อนที่จะแสดงท่าทางสรรเสริญออกมาพร้อมพูดว่า
“คุณหมอถัง คุณช่างน่าทึ่งจริงๆ ! วิญญาณร้ายที่คุณพูดถึงเมื่อกี้นี้ฉันไม่ค่อยเข้าใจมันนัก”
ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า
“หากว่าอยากจะมีความรู้ด้านการแพทย์ก็ไม่ใช่แค่รู้สภาพของผู้ป่วยธรรมดาเท่านั้นแต่ก็ยังมีผู้ป่วยบางประเภทที่ยากจะพบเจอ อย่างเช่นผู้ป่วยเมื้อครู่ที่ได้ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดนั่น ! ในโลกนี้มีพลังวิญญาณ พลังแห่งความตาย พลังแห่งซากศพ พลังแห่งความชั่วร้าย....... ดังนั้นหากว่าพบเจอกับผู้ป่วยแบบนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าพวกเขาเป็นโรคปกติทั่วไป บางอย่างมันไม่สามารภอธิบายได้ด้วยวิทยาศาตร์แต่มันก็มีอยู่จริง”
ดั่ยซินหยูเองก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า
“ฉันจะจำคำแนะนำของคุณหมอถังให้ขึ้นใจ”
ถังซิ่วรู้สึกพึงพอใจกับการวางตัวของเธอมาก มันช่างแตกต่างกับคนที่มองคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอกอย่างซันเหว่นจิงเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าการที่จะให้เธอเป็นผู้ช่วยนั้นถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีใช้ได้ ดังนั้นเขาคิดว่าหากผ่านเรื่องบอกนี้ไปแล้วเขาจะสอนบางอย่างให้แก่เธอ
“ก๊อก ก๊อก .....”
เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นพร้อมกับคนไข้ที่ได้เดินเข้ามาขณะที่กำลังกุมท้องของเขา หลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเขาก็ได้พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เจ็บปวดว่า
“สวัสดีครับคุณหมอ ผม.... ผมปวดท้องมากๆ เจ็บปวดมากๆ”
ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า
“ไหนยื่นมือมาสิ”
ชายหนุ่มคนนั้นได้ยื่นมือออกมาก่อนที่ถังซิ่วจะเริ่มตรวจชีพจรของเขาพร้อมปรากฏรอบยิ้มขึ้นบนใบหน้า เขาได้เดินไปข้างหลังชายหนุ่มคนนั้นแล้วตบไปที่หลังของเขา
“ผั๊ว ผั๊ว ผั๊ว.....”
เสียงตบเป็นชุดๆนั้นได้ทำให้ญาติผู้ป่วยที่รออยู่ด้านนอกถึงกับมองหน้ากันอย่างงงงวย ดั่ยซินหยูเองก็มีความรู้สึกสงสัยเช่นกัน
ถังซิ่วได้มองไปที่ดั่ยซินหยูก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“เธอสามารถตรวจชีพจรได้ไหม ?”
ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“รู้นิดหน่อยค่ะ ฉันได้เรียนรู้มันมาจากคุณปู่ว่าอาการป่วยบางประเภทสามารถรับรู้ได้ผ่านทางการตรวจชีพจร”