ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0301 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0303 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0302 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 302 : ปรักปรำ

ฉินหยุนหันมองหลันฮัวอวี้ด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน เขาไม่ทราบว่าตนได้หลอมกระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศขึ้นมา!

“ผู้อาวุโสหลัน ท่านมั่นใจหรือขอรับว่าเรื่องนี้เป็นจริง?” คนผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัยเปี่ยมล้น

“เป็นจริง ทว่านี่คือกระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศคุณภาพต่ำที่สุด อย่างไรแล้ว นี่ก็ดีกว่ากระดูกเหล็กกล้าระดับสูงอย่างแน่นอน!” หลันฮัวอวี้มั่นใจอย่างยิ่งจากประสบการณ์ของตนเอง เขาไม่คิดว่าตนมองผิดพลาดไป

ถึงตอนนี้เอง อาจารย์จารึกหลายต่อหลายท่านต่างเดินเข้ามาทีละคน รับเอากระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศไป ชั่งน้ำหนักหลายร้อยจินของมัน หลังพวกเขาได้สัมผัสกันเรียบร้อย ฝีปากล้วนไม่อาจพูดออก ทำได้แต่กลับไปที่นั่งตนเองอย่างกระดากใจ

พวกเขา อาจารย์จารึกเฒ่าที่ภาคภูมิในตัวเอง กลับโดนปีศาจน้อยตัวหนึ่งก้าวเหนือกว่าจนได้!

“เหอะ!” จี้ไค่หลินคำรามออกด้วยความอิจฉา เขาเองก็คิดอยากเป็นอาจารย์จารึก ทว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้

ได้เรียนรู้วิถีจารึก ถือเป็นสิ่งที่เขาริษยาอย่างถึงที่สุดแล้ว!

หลันฮัวอวี้เร่งรีบจบการชั่งน้ำหนักกระดูกเหล็กกล้าระดับสูงอื่นโดยเร็ว

หากไม่นับฉินหยุน ที่หนักที่สุดก็ราวสามร้อยกว่าจินเท่านั้น หากไม่มีฉินหยุน น้ำหนักเท่านี้ถือว่าสูงล้ำแล้ว

กระดูกเหล็กกล้าระดับสูงที่หลันเฟิงจินหลอมขึ้น น้ำหนักอยู่ที่สองร้อยหกสิบจิน เท่านี้ถือได้ว่าดีแล้ว มันอยู่ถึงระดับที่เจ็ดในระดับย่อย!

“การแข่งขันรอบนี้เสร็จสิ้น ฉินหยุนได้รับอันดับหนึ่ง เขาจะได้รับรางวัลจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม เป็นผังวิญญาณระดับกลาง ผังควบคุมลม!” หลันฮัวอวี้ประกาศเสียงดัง เป็นผลให้อาจารย์จารึกหลายคนอึ้งไปยามมองฉินหยุนด้วยความอิจฉาสุดกู่

ผังควบคุมลม เป็นผังที่ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย

หากเขาแกะสลักลงบนอุปกรณ์ ก็สามารถทำให้บินได้ หากผสานกับผังโทเทมสัตว์บินได้บนอุปกรณ์เดียวกัน ก็จะยิ่งช่วยให้บินได้เร็วและดียิ่งขึ้น

สำหรับอาจารย์จารึกหลายท่าน กระทั่งเป็นผังควบคุมลมระดับต่ำก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่านี่คือระดับกลาง!

ทุกคนต่างอึ้งในความใจกว้างนี้ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม หากผังควบคุมลมเป็นรางวัลของรอบแรก เช่นนั้นรอบที่สองเล่า?

ฉินหยุนรับแผ่นหนังสัตว์นั้นไว้ และเก็บมันโดยไม่แม้แต่จะมอง จากนั้น เขาจึงกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายโดยทันที

หลังจากรอบที่หนึ่งสิ้นสุด ฝูงชนจึงไปจากห้องโถงหลักแห่งนี้ พวกเขาล้วนจากไปพร้อมสีหน้าตื่นตะลึงที่ยังไม่อาจจางหาย

ฉินหยุนเหนื่อยไม่น้อย เขาตามจ้าวฉวนกลับไปยังบ้านพักในป่าของหลันฮัวอวี้

เมื่อกลับถึงบ้านหลังน้อย ฉินหยุนเข้าห้องพักของตนเอง ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อหลันฮัวอวี้และหลันเฟิงจินกลับมาถึง พวกเขาจึงพบจ้าวฉวนนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินตรงทางเข้า เขากำลังพิจารณากระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศที่ฉินหยุนหลอม

“เหล่าจ้าว หากเป็นเจ้า จะสามารถหลอมกระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศ โดยทำขึ้นจากวัสดุระดับสูงในเวลาที่สั้นเพียงนั้นได้หรือไม่?” หลันฮัวอวี้เอ่ยถาม ร่องรอยความประหลาดใจยังคงเผยที่ใบหน้า

จ้าวฉวนส่ายศีรษะ “ข้าไม่ทราบ ข้าไม่เคยตั้งใจกับเรื่องเช่นนี้มาก่อน ต่อให้เป็นไปได้ ก็ไม่มีทางเทียบกับฉินหยุนได้!”

หลันเฟิงจินประหลาดใจ “ท่านก็ไม่อาจหรือ? นึกว่าสำหรับท่านจะเป็นเรื่องง่ายเสียอีก”

หลันฮัวอวี้ขมวดคิ้วกล่าว “ข้าสามารถทำได้ แต่อย่างมาก ก็เพียงหลอมออกมาได้เป็นกระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศหนักหกร้อยจิน ข้าไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าฉินหยุน เพราะโดยพื้นฐานของข้าแข็งแกร่งกว่าเขา หากเขามีระดับการฝึกฝนเทียบเท่าข้า เขาสมควรเหนือล้ำกว่าข้าแล้ว!”

“ท่านปู่ การหลอมวัสดุนี้ แท้จริงสำคัญสำหรับอาจารย์จารึกหรือ? เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดรอบแรก ข้าได้ยินอาจารย์จารึกหลายท่าน บอกว่าการหลอมวัสดุหาได้หมายความถึงเป็นอาจารย์จารึกที่ดีเยี่ยมไม่ สิ่งสำคัญคือการแกะสลักผังวิญญาณต่างหาก!” หลันเฟิงจินเอ่ยถามเสียงเบา

หลันฮัวอวี้ยิ้มตอบ “เจ้าไม่เชื่อในตัวฉินหยุนหรือ? เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้? เจ้าคิดว่าวัสดุที่หลอมโดยฉินหยุนไม่ดีหรือ?”

ใบหน้าของหลันเฟิงจินโป่งพองขึ้นเล็กน้อย นางทราบว่าฉินหยุนสามารถขัดเกลากระดูกเหล็กกล้าระดับราชัน เรื่องนี้ก็ถือว่าน่าตื่นตะลึงยิ่ง!

“เด็กน้อยผู้นี้ ด้วยอายุยังไม่ถึงยี่สิบยังน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้! มันทำเอาข้ารู้สึก ราวชีวิตตนเองไม่นับเป็นอะไร!” หลันเฟิงจินบุ้ยปาก

มีเพียงอยู่ต่อหน้าปู่ของนาง นางจึงค่อยแสดงออกท่าทีเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ออกมา

หลันฮัวอวี้เผยใบหน้าเคร่งขรึมกล่าว “เสี่ยวจิน เจ้าต้องทราบอยู่แล้ว ว่าการหลอมวัสดุคือส่วนพื้นฐานที่สุดของอาจารย์จารึก ตอนนี้ พวกเจ้าล้วนเพียงแต่คิดว่าสามารถซื้อหากระดูกเหล็กกล้าระดับสูง กระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศ และกระดูกเหล็กกล้าระดับราชันได้โดยตรง แต่หลังจากนั้นเล่า? อุปกรณ์วิญญาณระดับราชัน หรืออุปกรณ์ลึกล้ำ พวกมันล้วนต้องขัดเกลาอย่างเข้มงวดตามพิมพ์เขียว”

“ยกตัวอย่าง อาวุธวิญญาณระดับราชันจำเป็นต้องมีพิมพ์เขียว จากนั้นจึงใช้กระดูกเหล็กกล้าระดับราชันน้ำหนักนับหนึ่งพันจินเพื่อขัดเกลา หากเจ้าไม่มีสิ่งที่ต้องการตามแบบแผน รวมถึงผังวิญญาณที่ใช้แกะสลัก หากคิดใช้พวกมันในภายหน้า จะกลายเป็นเกิดปัญหาขึ้นมาได้”

จ้าวฉวนพยักหน้า “เช่นกัน อุปกรณ์วิญญาณบางอย่างจำเป็นต้องใช้วัสดุพิเศษเพื่อขัดเกลา หากเจ้าไม่อาจหาซื้อวัสดุ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องขัดเกลามันขึ้นด้วยตนเอง!”

หลันฮัวอวี้ถอนหายใจ “ในพื้นที่รอบนอกเช่นนี้ อาจารย์จารึกหลายต่อหลายคน ล้วนไม่ให้ค่าเรื่องการขัดเกลาวัสดุ เพราะพวกเขามีสายตาตื้นเขิน แต่ที่แดนยุทธ์อ้างว้าง หากไม่อาจผ่านการขัดเกลาวัสดุ ก็ไม่มีทางที่จะได้เป็นอาจารย์จารึกระดับวิญญาณ!”

“ในการทดสอบอาจารย์จารึกระดับวิญญาณ มันก็มีการทดสอบขัดเกลาวัสดุขึ้น!” จ้าวฉวนยิ้มให้ “เด็กน้อย หากเจ้าต้องการเป็นอาจารย์จารึกระดับวิญญาณ เช่นนั้นก็ต้องทุ่มเทในส่วนนี้ให้มากขึ้น!”

หลันฮัวอวี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “คงไม่ใช่ว่าฉินหยุนเรียนรู้วิถีจารึกแห่งเต๋าด้วยตนเองใช่หรือไม่? นี่สมควรต้องมีอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คอยชี้แนะแก่เขา ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ให้ความสำคัญกับการขัดเกลาวัสดุเพียงนี้ กระทั่งเป็นข้า บางครั้งตัวข้าเองก็ละเลยการชี้แนะเรื่องขัดเกลาวัสดุเช่นกัน!”

ถึงครานี้ หลันเฟิงจินค่อยเข้าใจกระจ่างชัด ว่าการขัดเกลาวัสดุสำคัญเพียงใด

ฉินหยุนยังพักผ่อนอยู่ในห้อง เขาไม่ทราบว่าด้านนอกมีการพูดคุยอะไรกันเกิดขึ้น เพียงแต่หลับไปอย่างดิ่งลึกเพราะความเหนื่อยล้า

เช้าวันถัดมา ประตูห้องถูกเคาะ เขาลุกขึ้นมาเปิดประตู จึงพบว่าเป็นจ้าวฉวน

“การประลองยุทธ์รอบที่สองเริ่มแล้ว!” จ้าวฉวนหัวเราะกล่าว “หนึ่งรอบต่อวัน เจ้าต้องเข้าร่วมสองการแข่งขัน หนึ่งเช้า หนึ่งบ่าย เหนื่อยหน่อยแล้ว!”

ฉินหยุนยิ้มเก้กัง “ไม่มีทางอื่นแล้วนี่ขอรับ ในเมื่อข้าเข้าร่วมไปแล้ว ก็ได้แต่ทำให้ดีจนถึงที่สุด!”

เขาเปลี่ยนชุดเป็นสีขาวสะอาดเรียบร้อย เดินตามจ้าวฉวนมุ่งหน้าสู่ตำหนักยุทธ์วิญญาณ

ตอนนี้ ไม่มีผู้ใดทราบว่ารอบที่สองจะเป็นอะไร ทุกคนที่เข้ามาในตำหนักยุทธ์วิญญาณ ล้วนอยากรู้กันทั้งสิ้น

ทุกคนเพียงทราบว่ามีแต่เข้ารอบที่ห้า จึงเป็นการประลองยุทธ์ที่แท้จริง นั่นถึงเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุด!

พอฉินหยุนมาถึง เขาก็โดนจับจ้องด้วยสายตาของหลากหลายผู้คน มันมีทั้งอิจฉา นับถือ ริษยา รังเกียจ และเหยียดหยัน

นี่ถือว่าแตกต่างจากเมื่อวาน เพราะเมื่อวาน หลายคนหาได้คิดดีกับเขาไม่

แต่วันนี้ หลายคนได้เปลี่ยนมุมมองต่อเขา โดยเฉพาะเมื่อเขาแสดงศักยภาพในการแข่งขันจารึก มันเป็นสิ่งที่ผู้คนยากลืมเลือน

เมื่อวานหลายคนถูกคัดออก ดังนั้นจำนวนคนที่เข้าร่วมในวันนี้จึงน้อยลง

ชายชราที่รับผิดชอบเป็นประธานการแข่งขันในรอบที่สอง เขาเอ่ยเสียงกระจ่างชัดขึ้น “การประลองยุทธ์ในวันนี้ คือการทดสอบความเร็วและความอดทน พวกเจ้าแต่ละคนต้องแบกเหล็กน้ำหนักสองหมื่นจินสองก้อน และวิ่งไปทั่วห้องโถงแห่งนี้”

“ในชั่วระยะเวลาธูปไหม้ อย่างน้อยต้องได้หนึ่งร้อยรอบ ผู้ที่สามารถยืนหยัดจนถึงท้ายที่สุด จึงสามารถเข้ารอบถัดไป สำหรับผู้ที่สามารถเข้ารอบถัดไปได้ จะได้รับสิทธิ์แช่กายในบ่อลึกลับของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม!”

รางวัลนี้ทุกคนสามารถได้รับ มันทำเอาผู้เข้าร่วมหลายคนยินดีขึ้นมา

การฝึกแบกเหล็ก หาได้ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับศิษย์หลายคน พวกมันขนาดราวถังน้ำ กระนั้นกลับหนักถึงสองหมื่นจิน ด้วยผังวิญญาณที่แกะสลักไว้ จึงทำให้น้ำหนักของพวกมันเพิ่มมากขึ้นตราบเท่าที่ภายในมีพลังงาน พวกมันจึงหนัก

ทั้งสิ้นห้าร้อยคน ต่างถือก้อนเหล็กเอาไว้ ยืนรอเตรียมรับสัญญาณเพื่อออกวิ่ง!

ที่ตรงกลางทางวิ่งของตำหนักยุทธ์วิญญาณ คือกลุ่มคนขนาดใหญ่ มันทั้งแออัดขนาดที่สามารถชนปะทะกันได้!

“ในระหว่างการวิ่ง การปะทะย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง ตราบเท่าที่ไม่ใช่การเปิดศึก กระทบกระทั่งจึงทำได้!” ชายชรากล่าว

ผู้ฝึกตนหลายคนต่างเริ่มสบถออก เพราะนี่จะกลายเป็นทำให้พวกเขาเสียเปรียบ

ศิษย์ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีครามเคยฝึกเช่นนี้กันบ่อยครั้ง ย่อมเชี่ยวชาญวิธีการปะทะกับผู้อื่นเป็นอย่างดี

“อ๊าก!” อย่างกะทันหัน เสียงหนึ่งร้องตะโกน เป็นเด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงินทองคำ เป็นนักบุญวิญญาณสีคราม เขายืนอยู่ข้างฉินหยุน

“ฉินหยุนจงใจเหยียบเท้าข้า!” นักบุญคนนี้ร้องตะโกนออกด้วยสีหน้าโกรธเคือง

ฉินหยุนกลายเป็นมีโทสะ เขาตอบโต้ “ข้าไม่ได้ นี่เป็นการปรักปรำข้า!”

เขาไม่ได้เหยียบเท้าใครจริง!

“ถือก้อนเหล็กไว้สองก้อน หนักรวมสี่หมื่นจิน เหยียบเท้าผู้อื่นเช่นนี้ ย่อมต้องเจ็บปวดแน่แล้ว” จี้ไค่หลินมีโทสะเอ่ยเสียงเย็นต่อฉินหยุน “ฉินหยุน นี่ต้องเป็นเจ้าจงใจกระทำ! ผู้อาวุโสโปรดลงโทษฉินหยุน!”

“ผู้อาวุโส โปรดลงโทษฉินหยุน!” นักบุญผู้อื่นเองก็ร้องเป็นเสียงเดียวกัน

ฉินหยุนถือก้อนเหล็กไว้สองอย่างแน่นกระชับ กระนั้นตอนนี้ เขาคิดอยากขว้างปาใส่พวกคนตรงหน้าเสียนี่กระไร!

นักบุญกลุ่มนี้ ถึงขั้นร่วมมือกันปรักปรำเขา!

เพราะทุกคนรวมตัวกันไม่ห่าง รอคอยสัญญาณเริ่มออกวิ่ง จึงยากจะเห็นว่าเรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร!

เซี่ยอู๋เฟิง หลันเฟิงจิน และคณะที่รับชมอยู่นอกสนามประลอง พวกเขามีโทสะ ชัดเจนว่านี่เป็นการจัดฉากปรักปรำฉินหยุน!

“ฉินหยุน แม้การปะทะไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่จำกัดแค่ตอนวิ่ง และตอนนี้ยังไม่เริ่ม!” ผู้อาวุโสซึ่งรับหน้าที่จัดการแข่งขันเดินเข้ามา สีหน้าของเขาเย็นเยือก

ทันทีเมื่อผู้อาวุโสเดินเข้ามา นักบุญวิญญาณสีครามผู้นั้นจึงเร่งรีบถอดรองเท้าและถุงเท้าออก เขาเผยให้เห็นเท้าที่ปูดบวมรุนแรง ชัดเจนว่าโดนเหยียบเท้ามาจริง!

“ข้าไม่ได้เหยียบเท้าเขา!” ฉินหยุนโกรธเคืองจ้องมองที่นักบุญวิญญาณสีคราม เขาพูดออกทั้งยังกัดฟันแน่น

“ข้อเท็จจริงชัดเจนกว่าเสียงพูด หากเจ้าไม่ได้เหยียบข้า เหตุใดเท้าข้าจึงบาดเจ็บรุนแรงเพียงนี้?” นักบุญคนนี้กล่าวถามอย่างโกรธแค้น

ฉินหยุนไม่ทราบว่านี่มันเกิดอันใดขึ้น แต่เขามั่นใจว่าต้องเป็นการจัดฉาก ไม่เช่นนั้น นักบุญคนนี้คงไม่มีทางเข้ามาใกล้เขาแน่

“เอาละ พอได้แล้ว! ฉินหยุน ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจกระทำ กระนั้นก็ยังต้องมีการลงโทษ เจ้าต้องรอจนกว่าธูปจะไหม้ครึ่งดอกจึงค่อยออกวิ่ง และก้อนเหล็กต้องเพิ่มน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีกสี่หมื่นจิน!” ผู้อาวุโสกล่าวคำจบ เขาจึงหันเดินกลับและตะโกน “เตรียมเริ่มได้!”

ฉินหยุนต้องถอยอย่างโกรธเคือง ภายในใจเขาโกรธจนแทบบ้า

กลุ่มนักบุญก่อการสำเร็จ!

เขามองไปยังจี้ไค่หลินและคณะที่เผยรอยยิ้มต่ำทราม โทสะของเขายิ่งพวยพุ่ง!

“เริ่มได้!’

เว้นแต่ฉินหยุน ผู้ฝึกตนอื่นต่างออกวิ่ง พวกเขาวิ่งกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง!

ผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า เหล็กสองหมื่นจินทั้งสองก้อนในมือยังถือว่าเป็นเรื่องยากวิ่งออก โดยเฉพาะกับชั่วระยะเวลาธูปไหม้ การต้องวิ่งให้ได้หนึ่งร้อยรอบ เป็นการทดสอบความเร็วและความอดทนอย่างแท้จริง!

สำหรับฉินหยุน เขาต้องวิ่งหนึ่งร้อยรอบด้วยก้อนเหล็กสี่หมื่นจินในระยะเวลาครึ่งธูปไหม้ เรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด