ตอนที่แล้วReturning From The Immortal World - 229.5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปReturning From The Immortal World - 231

Returning From The Immortal World - 230


.......................................................................................................................................................................................

รุ่งอรุณยามเช้า แสงอาทิตย์ได้สาดส่องไปที่โลกทั้งใบเหมือนเป็นการปลุกทุกชีวิตขึ้นจากความมืดมิด หลังจากที่ได้ทานอาหารเช้านั้นถังซิ่วก็ได้รีบตรงไปที่โรงพยาบาลจีนทันที

“ถังซิ่ว ในที่สุดเธอก็มา”

หลี่ฮงจี้ได้มายืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วที่ทางเข้าของโรงพยาบาล ข้างๆเขาเองก็ได้มีคนระดับสูงของโรงพยาบาลแห่งนี้เช่นกันและเมื่อมองเห็นถังซิ่วนั้นเขาก็รีบเดินออกมาทักทายทันที

ถังซิ่วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า

“นี้ก็ยังไม่ถึง8โมงเลย นี่ผมมาสายงั้นหรอ ?”

หลี่ฮงจี้เองก็ได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดออกมาว่า

“ไม่ไม่ ไม่ได้สายแต่ฉันแค่ทนไม่ไหวจึงได้รีบมาที่นี่เท่านั้น มาๆ ฉันจะพาเธอไปดูห้องทำงานและหากว่าไม่ถึงพอใจก็สามารถย้ายในภายหลัง”

“ดี”

ถังซิ่วได้ตอบตกลงพร้อมกับพูดว่า

“ผู้อำนวยการหลี่ ผมมาที่นีเพื่อตรวจคนไข้ คุณไม่จำเป็นต้องนำพวกเขามาดูหรอก !”

หลี่ฮงจี้เองก็ได้คลุกคลีกับถังซิ่วมาแล้วและเขาเองก็รู้ว่าถังซิ่วไม่ชอบโอ้อวดความสามารถของตัวเองดังนั้นเขาจึงให้เหล่าผู้นำระดับสูงนั้นกลับไปพร้อมกับพาถังซิ่วไปที่ห้องทำงานของเขา

“สถานที่โอเค อย่างไรก็ตามคุณช่วยหาผู้ช่วยมาให้ผมด้วยเวลาที่ผมต้องการอะไรเขาจะได้จัดการได้ทัน”

ถังซิ่วได้มองไปที่ห้องทำงานของเขาพร้อมกับพูดออกมา

หลี่ฮงจี้เองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉันจะช่วยเธอเองจะได้เรียนรู้ทักษะการแพทย์ของเธอด้วย”

ถังซิ่วได้พูดตลกๆออกมาว่า

“คุณเป็นถึงผู้อำนวยการแต่กลับมาเรียนรู้การแพทย์จากผม หากว่าเรื่องนี้หลุดรอดออกไปมันจะไม่สร้างปัญหาหรือไง ? รีบๆไปจัดการมาได้แล้ว !”

หลี่ฮงจี้เองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าแล้วพูดว่า

“เธอรออยู่ที่นี่แหละ โรงพยาบาลของเราเปิดตอน8.30 ฉันจะไปหาผู้ช่วยมาให้เอง”

“ได้”

ถังซิ่วได้ไปนั่งที่โต๊ะของเขาพร้อมกับมองไปที่เครื่องตรวจฟังของแพทย์พร้อมอุปกรณ์อื่นๆพร้อมกับโยนมันไปในตู้ทันทีเพราะสำหรับเขาแล้วสิ่งเหล่านี้มันไม่จำเป็น การแพทย์จีนนั้นใช้การสังเกต ดูที่ท่าทางลีตรวจชีพจรก็สามารถรู้ถึงสถานการณ์ของผู้ป่วยได้แล้ว

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีหลี่ฮงจี้ก็ได้นำผู้หญิงวัยกลางคนมา หญิงคนนี้ได้สวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมซุกมือทั้งสองลงในกระเป๋าและท่าทางเหมือนเป็นหมอที่มีชื่อเสียง

“ถังซิ่ว นี่คือคนที่ฉันไปหามาให้เธอ หล่อนมีชื่อว่าซันเหว่นจิงซึ่งเป็นหมอที่น่าทึ่งของโรงพยาบาลเรา หล่อนคุ้นเคยกับสมุนไพรฉันได้กำชับไว้แล้วว่าหากเธอต้องการอะไรก็สามารถบอกหล่อนได้ทันที”

หลี่ฮงจี้ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ถังซิ่วได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“เอาล่ะ คุณกลับไปได้แล้ว ! ให้เธอรออยู่นี่”

คิ้วของซันเหว่นจิงขมวดเข้าหากันก่อนที่จะรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของถังซิ่ว เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า

“ผู้อำนวยการหลี่อย่าเพิ่งไป คุรกำลังเล่นตลกอะไรกัน ? ให้ฉันวางงานทั้งหมดแล้วมาช่วยเด็กงั้นหรอ ?”

ท่าทางของหลี่ฮงจี้เปลี่ยนไปทันทีก่อนที่จะตะโกนออกมาว่า

“หุบปากซะ ถังซิ่วนั้นเป็นหมอที่ฉันเชิญมาด้วยตัวเองและเขามีความสามารถที่น่าทึ่งมาก เธอก็ทำงานไปตามที่โรงพยาบาลได้มอบหมายไว้ให้ก็พอแล้วหากว่าเธอไม่พอใจก็บอกฉันมาได้เลย ฉันจะได้ไล่เธอออก”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ผู้อำนสยการ ฉันปฏิบัติตามคำสั่งของคุณอย่างเคร่งครัดแต่การที่คุณให้ฉันมาอยู่กับเด็กที่นี่มันจะไม่เป็นการเสียเวลางั้นหรอ? เขายังเด็กอยู่มากต่อให้มีปรมาจารย์ด้านการแพทย์มาสอนเขาก็ตามแต่เขาก็คงยังไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก คุณอย่าจ้องอยู่สิ หรือว่าฉันพูดอะไรผิดไป”

ท่าทางของหลี่ฮงจี้กลายเป็นน่าเกลียดโดยทันทีก่อนที่จะจ้องไปที่ซันเหว่นจิงพร้อมหันไปมองถังซิ่วด้วยท่าทางอึดอัดแล้วพูดว่า

“ถังซิ่ว นายนั้นคงไม่ลดตัวลงมาเถียงกับหล่อนหรอกใช่ไหม เธอมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เอาล่ะฉันจะไล่หล่อนออกทันทีพร้อมกับหาหมอคนอื่นมาเป็นผู้ช่วยให้เธอเอง”

ถังซิ่วนั้นก็ไม่ค่อยพอใจกับท่าทางของซันเหว่นจิงเช่นกัน เธอคงพอมีความสามารถอยู่บ้างถึงได้กล้าเถียงกับผู้อำนวยการอย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาต้องการคือหมอธรรมดาที่เชื่อฟังเขาดังนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า

“เอางั้นแล้วกัน ! หล่อนมันตาต่ำเกินไปแต่กลับได้รับมอบหมายความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ให้ ผมเองก็แต่ต้องการมาตรวจคนไข้เท่านั้นและไม่ต้องการเรื่องน่ารำคาน !”

ท่าทางของซันเหว่นจิงเองก็เปลี่ยนไปก่อนที่จะมองไปที่ถังซิ่วด้วยความโกรธแล้วก่นด่าออกมาว่า

“นายพูดว่าอะไรนะ ? นายนั่นแหละตาต่ำที่กลับได้รับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่! ยังเป็นเด็กน้อยแต่กลับกล้าเหินเกริมขนาดนี้ ผู้อำนวยการของเรานั้นสุภาพกับนายนั่นก็เพราะ ...เพราะอุปนิสัยของเขาเป็นคนที่ใจดี”

หลี่ฮงจี้เองก็มองไปทีซันเหว่นจิงด้วยท่าทางโง่งม เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนที่ฉลาดอย่างเธอกลับไม่สามารถมองเรื่องพวกนี้ออกรวมไปถึงท่าทางที่เขาแสดงต่อถังซิ่วมันยังไม่ชัดเจนพอ ?

“ซันเหว่นจิงหากว่าไม่ต้องการถูกพักงานก็หุบปากซะ ! ฮึ้ม......ไม่ว่าวันนี้เธอจะเป็นยังไงแต่ตราบใดที่กล้าล่วงเกินถังซิ่วก็เท่ากับล่วงเกินฉัน !ฉันจำได้ว่าฉันเองก็ได้บอกเธอไปแล้วว่าถังซิ่วคือหมอระดับปรมาจารย์ที่ฉันทุ่มเทเพื่อเชิญเขามายิ่งไปกว่านั้นคือฉันลืมบอกเธอไปว่าทักษะของเขาอยู่สูงกว่าฉัน”

“อะไรนะ ? เป็นไปไม่ได้ !”

ซันเหว่นจิงเองก็รู้สึกช๊อคเป็นอย่างมาก เธอมองไปที่ถังซิ่วและหลี่ฮงจี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีท่าทางดูถูกต่อถังซิ่วแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องทันที

วันนี้เธออารมณ์แปรปรวนอย่างมากเพราะพบว่าคุณแม่ที่สุดของเธอนั้นตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ตับและเป็นระยะที่สองและที่ยิ่งกว่านั้นคือเนื้อร้ายได้แพร่กระจายไปรอบๆแล้ว มันไม่มีวิธีที่จะรักษาเลย จากผลวินิจฉัยนั้นบอกว่าคุณแม่ของเธอน่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน1ปี

ดังนั้นเธอเกลียดตัวเองมากที่ไม่มีความสามารถเธอทำอะไรเพื่อคุณแม่ของเธอไม่ได้เลย เธอเองก็เกลียดคนที่ใส่ชุดคลุมหมอที่ไม่มีความสามารถเช่นกัน อายุของถังซิ่วเองก็ดูเหมือน20กว่าๆ เธอไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถมากมายนักและไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถมากไปกว่าผู้อำนวยการ เธอคิดว่าการที่ผู้อำนวยการประจบเขานั้นจะต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน

เธอนั้นเป็นหมอและไม่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องไปประจบประแจงเด็กน้อยที่ยังไม่ได้เรียนรู้วิชาอะไรเลย

หลี่ฮงจื้ที่มองไปที่หลังของซันเหว่นจิงที่กำลังเดินออกไปนั้นก็ได้มองไปที่ถังซิ่วด้วยท่าทางขอโทษก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป

เมื่อออกมาด้านนอก

เขารีบตามซันเหว่นจิงไปทันทีก่อนที่จะก่นด่าออกมาว่า

“วันนี้เธอเป็นอะไร ? ฉันโปรดปรานเธอเป็นอย่างมากและหวังว่าเธอจะสามารถเป็นผู้ช่วยของเขาเพื่อเรียนรู้วิชาแพทย์ของเขามา แต่ความโชคดีนี้กลับถูกทำลายจรหมดสิ้นในมือของเธอ !”

ซันเหว่นจิงเองก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้ผู้อำนวยการดังนั้นเธอจึงได้พูดออกมาว่า

“ผู้อำนวยการ คุณอย่าล้อฉันเล่นเลย หากว่าเจ้าเด็กนั่นมีความสามารถจริงแล้วทำไมถึงต้องการความช่วยเหลือจากฉัน ?”

หลี่ฮงจี้ได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า

“เธอหุบปากเดี๋ยวนี้ เธอเองก็น่าจะรู้จักนิสัยของฉันดี หากว่าเขาไม่มีความสามารถจริงแล้วฉันจะจัดห้องตรวจขนาดใหญ่นั่นให้เขาทำไมกัน ? หากว่าเขาไม่มีความสามารถจริงแล้วฉันจะต้องแบกหน้าไปขอร้องเพื่อให้เขามาตรวจคนไข้ให้งั้นหรอ ? ก่อนหน้านี้ฉันเองก็หลงคิดไปว่าเธอเป็นคนที่ฉลาดและมีความคิด น่าเสียดายที่วันนี้เกิดอะไรขึ้น ? เธอไม่สามารถที่จะเข้าใจได้แม้กระทั่วเรื่องแค่นี้ ?”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้ตอบกลับไปด้วยความสับสนว่า

“นี่คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม ? เขา......”

หลี่ฮงนจี้เองก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงต่ำว่า

“เธอยังจำหญิงสกุลมู่ก่อนหน้านี้ได้ไหมที่เธอนำลูกของเธอมาที่นี่ด้วยโรคที่แปลกประหลาดเพื่อขอความช่วยเหลือจากเรา ?”

ซันเหว่นจิงได้พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า

“จำได้ค่ะ ! ได้ยินมาว่าแม้แต่คุณเองก็ไม่สามารถรักษาเด็กคนนั้นได้และสกุลมู่เองก็ได้นำเธอไปหาหมอชื่อดังทั่วประเทศแต่ก็พบว่าไม่มีใครรักษาเธอได้ ผู้อำนวยการ ทำไมคุณถึงได้พูดเรื่องนี้ในตอนนี้ ?”

หลี่ฮงจี้ได้แสยะออกมาพร้อมกับพูดว่า

“ใช่ โรงพยาบาลทั่วประเทศนี้ไม่สามารถรักษาโรคแปลกประหลาดนั่นได้ไม่ว่าจะเป็นหมอตะวันตกหรือแพทย์แผนจีนก็ตามสกุลมู่เองก็ได้ไปหามาหลายพันคนแล้ว เธอได้ตะเวนไปทั่วทุกหนแห่งแต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาลูกของเธอได้ ทว่าถังซิ่วคนนั้นกลับทำได้ !!!”

“คุณพูดจริงงั้นหรอ ?”

ปฏิกิริยาแรกของซันเหว่นจิงคือเธอติดว่าผู้อำนวยการนั้นกำลังพูดโกหก

หลี่ฮงจี้เองก็ได้แสยะออกมาว่า

“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเธอก็น่าจะได้ยินจากหมอชั้นยอดในโรงพยาบาลว่าได้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีตระปูฝังอยู่ระหว่างหัวใจใช่ไหม ?”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ตอนนั้นฉันติดธุระอยู่แต่ก็ได้ยินเรื่องราวมาหลังจากนั้น อย่าบอกนะว่า.......... คนที่รีบมารักษาเธอวันนั้นคือเขา ?”

หลี่ฮงจี้เองก็ได้แสยะออกมาว่า

“นอกจากเขาแล้วยังมีใครมีความสามารถขนาดนั้นอีก ? เธอ เธอ .....ฉันไม่รู้จะพูดกับเธอยังไงดี ความโชคดีนี้กลับเสียเปล่าเพราะเธอ ช่างมันเถอะ ฉันผิดเองที่มองคนผิดไป เธอกลับไปทำงานของเธอได้แล้ว”

หลังจากที่พูดจบหลี่ฮงจี้ก็ได้หันหลังแล้วเดินจากไป

ซันเหว่นจิงเองก็มองไปที่หลี่ฉงจี้อย่างงงงวย เธอรู้สึกเสียใจ

หากว่า.....

หากว่าผู้อำนวยการไม่ได้โกหกก็แสดงว่าถังซิ่วคนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์ ? เธอเสียโอกาสที่สวรรค์ประทานมางั้นหรอ ? อย่างไรก็ตามจากอายุของเขาแล้วต่อให้เขาศึกษาด้านการแพทย์มาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์แม่ก็ตามแต่มันก็ยังไม่พอที่จะทำให้เขาเชี่ยวชาญขนาดนั้นไม่ใช่หรอ ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วเธอก็ไม่ได้เดินกลับไปที่ห้องทำงานของเธอแต่กลับเดินไปที่แผนกผู้ป่วยภายนอกพร้อมมองไปที่คุณแม่ของเธอที่กำลังนอนอยู่ หากว่าเธอไม่สามารถรักษาได้อย่าว่าแต่ปีเลย แค่3-5เดือนเธอก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้

“เหว่นจิง แม่ไม่เป็นไรหรอกลูกกลับไปทำงานเถอะ งานของลูกสำคัญกว่าเยอะดังนั้นอย่าได้มาที่นี่บ่อยนัก”

หญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด