Returning From The Immortal World - 226
.......................................................................................................................................................................................
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ตราบใดที่เธอไม่ขอร้องเรื่องพวกนั่นอีกก็พอแล้วแต่หากว่าเธอยังจะพูดฉันก็จะถือว่าเราไม่ได้พบกันในวันนี้”
ฮวงจี่ได้พูดอย่างหงุดหงิดว่า
“นายจำเป็นต้องทำขนาดนี้ ? นายรู้ไหมว่าการที่จะได้เป็นโปรเฟสเซอร์ของโรงเรียนสอนดนตรีเรานั้นเป็นความฝันของใครหลายคน ทำไมนายถึงได้ปฏิเสธตลอดเลยละ ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ฉันได้พูดไปแล้วและจะพูดอีกครั้งว่าตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจเกี่ยวกับคนตรีแม้แต่น้อย ฉันไม่สามารถใช้ชีวิตโดยการเล่นดนตรีอย่างเดียวหรอกนะ ดังนั้นเธอก็ควรเคารพการตัดสินใจของฉัน”
“นายยย.....”
ฮวงจี่ได้หายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเธอนั้นก็ได้จ้องมองไปที่ถังซิ่วก่อนที่เธอจะดึงแขนเสื้อของฮวงจี่แล้วพูดว่า
“พี่สะใภ้ เขาคือถังซิ่วที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีที่พี่เคยเล่าให้ฉันฟังใช่ไหม ? สวัสดี ฉันซูซิงเหม่ยเป็นน้องสาวของสามีฮวงจี่ ฉันได้ยินเธอพูดถึงคุณบ่อยๆแต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะมาที่เมืองนี้”
ถังซิ่วได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า
“ฮวงจี่ ฉันได้พูดไปแล้วนะ เอาล่ะ ฉันขอตัว ไปกันเถอะโปรเฟสเซอร์ฮู!”
โปรเฟสเซอร์ฮูได้มองไปที่ถังซิ่วด้วยความประหลาดใจส่วนเหล่ใบยี่และมู่หวางหยิงเองก็ได้รู้สึกโง่งมเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนมาขอร้องให้ถังซิ่วไปเป็นโปรเฟสเซอร์ของโรงเรียนสอนดนตรีทองคำ พวกเขารู้ดีว่าโรงเรียนแห่งนั้นเป็น1ใน3ของโรงเรียนที่ดีที่สุด ที่นั่นได้ผลิตนักร้องชื่อดังมามากมาย !
ไปเป็นโปรเฟสเซอร์ ?
อย่าบอกนะว่าความสามารถด้านดนตรีของเขาจะเทียบเท่ากับด้านศิลปะ ?
ใบหยูเองก็ได้หรี่ตาลงก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณถัง ซูซิงเหม่ยนั้นเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเราและเธอเองก็มีความสามารถด้านการวาดรูปเช่นเดียวกับน้องชายของเธอ ในเมื่อพี่สะใภ้ของเธอนั้นเป็นเพื่อนของคุณงั้นจะให้พวกเขาไปนั่งห้องเดียวกับคุณเลยไหม ? เราจะได้คุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้กับเธอ”
คิ้วของถังซิ่วขมวดเข้าหากันก่อนที่จะมองไปที่ใบหยูแล้วพูดว่า
“น้องชายเธอ ? เธอเองก็สกุลซูอย่าบอกนะว่าไอ้เจ้านั่นเป็นน้องชายของเธอ ?”
ซูซินเหม่ยเองก็ได้ถามออกมาว่า
“ถังซิ่ว คุณรู้จักน้องชายฉันด้วยงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วได้กรอกตาก่อนที่จะเดินออกไปข้างๆทันที
ใบหยูได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง
“ซูซินเหม่ย ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนที่มีนิสัยดีแต่น้องชายของเธอนั้นฉันรับไม่ไหวจริงๆ ฉันขอประกาศไว้เลยว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป”
ซูซินเหม่ยเองก็ได้สาปแช่งออกมาว่า
“ไอ้เด็กเวรนั่น ฉันรู้เรื่องที่เขาทำดีว่าสักวันจะต้องสร้างปัญหาเข้าอย่างแน่นอน ผู้จัดการใบ ถังซิ่ว เรื่องในวันนี้ต้องขอขอบคุณพวกคุณมากที่ส่วนสั่งสอนเขาไม่เช่นนั้นจะต้องพบกับหายนะในภายภาคหน้าอย่างแน่นอนหากว่าไม่ทำลายความเย่อหยิ่งของเขา ถังซิ่ว คุณสามารถไว้วางใจได้เลยว่าหากว่าเขาไม่ส่งมอบภาพให้ฉันจะกลับบ้านไปหักขาของเขาเอง”
ถังซิ่วที่ได้เห็นท่าทางจริงใจของเธอนั้นก็ได้พยักหน้าพร้อมถอนหายใจ
“มังกรที่มีบุตรเก้าคนนั้นก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน คำพูดนี้มันช่างสมเหตุสมผลจริงๆ เรื่องคำขอบคุณนั้นไม่จำเป็นหรอกตราบใดที่น้องชายของคุณไม่ลืมสัญญาของเรา”
ซูซินเหม่ยเองก็พยักหน้าตอบพร้อมกับมองไปที่ฮวงจี่
ฮวงนี่นั้นไม่ได้สนใจเรื่องความขัดแย้งระหว่างน้องของสามีเธอแม้แต่น้อยสิ่งที่เธอสนใจนั้นคือความสามารถในการวาดรูปของเขา เธอรู้ดีว่าน้องสามีเธอนั้นมีทักษะด้านการวาดขนาดไหนแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่ถังซิ่วอย่างไม่น่าเชื่อ
“ถังซิ่ว นายวาดรูปด้วยงั้นหรอ ? ยิ่งไปกว่านั้นคือความสามารถนายอยู่ในระดับไหนกัน?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ก็พอๆกับทักษะด้านดนตรีนั่นละ เอาล่ะ เธอไม่เคยจะถามเยอะนะ ! ฉันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ”
เมื่อพูดจบเขาก็มองไปที่โปรเฟสเซอร์ฮูด้วยท่าทางบอกใบ้
โปรเฟสเซอร์ฮูนั้นเข้าใจได้ทันทีพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณทั้งสอง พอดีว่าเรานั้นมีเรื่องที่ต้องจัดการดังนั้นคงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนได้ หากว่าต้องการที่จะพูดกับถังซิ่วแล้วก็ขอให้ไปพบวันหลัง”
ฮวงจี่นั้นรู้สึกไม่อยากเลยแต่น้องสามีเธอได้ไปล่วงเกินเขาดังนั้นเธอรู้ว่าตัวเองไม่มีหน้าพอที่จะขอนั่งร่วมกับถังซิ่ว
เธอมองไปที่หลังของถังซิ่วที่กำลังเดินจากไปพร้อมมองไปที่ซูซินเหม่ยแล้วพูดว่า
“ซินเหม่ย เราจะต้องสั่งสอนน้องชายตัวดีของเธอหน่อยแล้วเขาจะต้องลำบากมากอย่างแน่นอนหากว่าเขายังไม่เปลี่ยนการวางตัวของเขา”
ซูซินเหม่ยเองก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทางขมขื่นว่า
“พี่คิดว่าฉันไม่รู้งั้นหรอ ฉันเองก็ได้สั่งสอนเขาไปหลายครั้งแล้วแต่มันไม่ดีขึ้นเลย เขาคิดว่าตัวเองนั้นสำคัญจึงได้หยิ่งทะนงตน อ่อยังมี......เรื่องชั่วๆของเขาที่หากว่าตระกูลเราไม่ได้จัดการให้นั้นเขาจะต้องไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกแล้ว”
ฮวงจี่ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“หรือจะให้ฉันบอกพี่ชายเธอ ? ไม่ว่าเขาจะไม่กลัวใครก็ตามแต่พี่ชายของเขาก็ยังเป็นคนเดียวที่เขากลัว ฉันคิดว่าเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างแน่นอนหากพี่ชายของเธอลงมือ”
ซูซินเหม่ยได้ส่ายศีรษะของเธอก่อนที่จะพูดว่า
“พี่สะใภ้อย่าทำแบบนั้นนะ หากว่าพี่บอกเรื่องนี้กับพี่ชายล่ะก็ ฉันกลัวว่าเขาจะต้องโดนหักขาอีกครั้งแน่”
ฮวงจี่ได้ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาว่า
“งั้นเธอจะทำยังไง ? อย่าบอกนะว่าให้ปล่อยไปแบบนี้ ?”
ซูซินเหม่ยเองก็ได้เดินไปคิดไปก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“เราจะลองดูสถานการณ์กันไปก่อน ! หากว่าเขาได้รับบทเรียนในวันนี้ไปแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็จะไปบอกพี่ชาย !”
ฮวงจี่ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า
“ก็ดี !”
ห้องส่วนตัวอีกห้อง
หลังจากที่ทุกคนได้นั่งลงแล้วนั้น ใบหยูเองก็ได้พูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่เธอจะออกไปเพราะเธอนั้นไม่ค่อยจะสนิทกับถังซิ่ว เธอได้พยายามลองเข้าหาเขาแล้ว
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็ได้ถามคำถามที่เขาอดกลั้นเอาไว้ในใจอยู่นานเมื่อในห้องเหลือเพียงพวกเขา4คน
“ถังซิ่ว นอกจากด้านศิลปะแล้วเธอยังมีทักษะด้านดนตรีด้วยงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วก็ได้พยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า
“มีนิดหน่อย !”
มีนิดหน่อย ?
ทุกๆคนในห้องนั้นยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็ได้ถามถังซิ่วไปว่าเขามีความสามารถด้านศิลปะไหมแต่คำตอบที่ได้ก็คือ นิดหน่อย
ความสามารถระดับฟ้าประทานนั้นกกลับบอกว่า นิดหน่อย ?
ทันใดนั้นผู้คนทั้งหมดในห้องก็สามารถตัดสินได้ว่าความสามารถด้านดนตรีของเขาจะต้องไม่น้อยไปกว่าด้านศิลปะแน่นอนมิเช่นนั้นผู้หญิงคนนั้นคงไม่เชิญให้เขาไปเป็นโปรเฟสเซอร์ที่โรงเรียนอย่างแน่นอน
โปรเฟสเซอร์ !
ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งขี้ๆที่ใครก็สามารถได้รับยิ่งแล้วใหญ่คือมันเป็นตำแหน่งในโรงเรียนสอนดนตรีทองคำซึ่งเป็นโณงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า
“ถังซิ่ว เราได้รู้แล้วว่าเธอนั้นมาจากเมืองสตาร์ซิตี้ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอเพิ่งจะสอบเข้าเสร็จใช่ไหม ? ครอบครัวของเธอทำอะไรงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วนั้นเข้าใจถึงสิ่งที่โปรเฟสเซอร์ฮูคิดทันทีก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า
“ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมเพื่อสืบประวัติของผมหรอก ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆเท่านั้นแต่ผมได้ทำธุรกิจเล็กๆแต่ผมรู้สึกว่าคุณแปลกๆนะ”
โปรเฟสเซอร์ฮูก็ได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“ฉันแปลกยังไงงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วก็ได้ตอบอย่างราบรื่นว่า
“ตั้งแต่ที่ผมเห็นคุณครั้งแรกก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายได้อย่างเข้มข้น หากว่าไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสัปเหร่อก็น่าจะเป็นนักปล้นสุสาร ที่คอด้านซ้ายของคุณเองก็มีรอบแผลเป็นอยู่และหากว่าผมเดาไม่ผิดก็คือคุณได้ไปเจอซอมบี้มาใช่ไหม ?”
“เฮื้อกกก”
โปรเฟสเซอร์ฮูได้ยืนขึ้นก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เขาจ้องมองไปที่ถังซิ่วก่อนที่จะถามออกมาว่า
“เธอเห็นมันได้อย่างไร ?”
ท่าทางของเหล่ใบยี่ที่อยู่ข้างๆเองก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
ถังซิ่วได้โบกมือพร้อมพูดออกมาว่า
“นั่งลง !”
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็ตระหนักได้ว่าเขาได้แสดงท่าทางที่ไม่เหมาะสมก่อนที่จะนั่งลงไปแล้วจ้องมองที่ถังซิ่วเพื่อรอคำตอบของเขา
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ยุคปัจจุบันนั้นเป็นยุคที่เงียบสงบ คนปกติมักจะไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องซากศพนักแต่คนที่เพิ่งจะตายนั้นจะปล่อยกลิ่นอายของซากศพออกมา หากว่าเป็นแค่กลิ่นอายของซากศพนั้นใช้เวลาแค่10-15วันมันก็จะจางหายไปเองแต่ของคุณมันไม่ใช่กลิ่นอายของศพแต่เป็นกลิ่นอายของความตาย มันอธิบายได้ว่าคุณนั้นได้ทำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศพมานานส่วนเรื่องแผลเป็นที่ต้นคอคุณนั้นน่าจะเกิดจากกรงเล็บที่แหลมคมของซอมบี้ยิ่งกว่านั้นคือรอบแผลเป็นสีดำนั้นหมายถึงการที่มันเป็นพิษ”
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็ได้ถามออกมาว่า
“เธอใช้หลักฐานเหล่านี้มาสรุปงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะของเขาก่อนที่จะพูดว่า
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ผมได้เข้าไปที่ร้านของคุณเป็นครั้งแรกนั้นก็พบแล้วว่ามันมีอะไรที่แปลกๆ ทุกๆสิ่งมักเป็นสีดำและนั่นแสดงให้เห็นว่าคุณชอบบรรยากาศที่มืดมนและโศกเศร้า ผมมั่นใจได้เลยว่าก่อนหน้านี้คุณไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้”
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็ได้ตอบกลับไปด้วยใบหน้าหวาดผวาว่า
“ใช่แล้ว มันไม่ใช่แบบนั้น !”
ถังซิ่วก็ได้พูดออกมาว่า
“รู้ไหมว่าทำไม ?”
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ทำไมงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วก็ได้ชี้ไปที่หน้าอกของตัวเองก่อนที่จะพูดว่า
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าในอดีตคุณใช้วิธีการอะไรเพื่อรักษาพิษในร่างกายของคุณแต่มันก็ยังมีพิษหลงเหลือในในนั้น ตอนนั้นมันยังไม่ต้องการชีวิตของคุณแต่หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของคุณ ยื่นมือมาสิ ผมจะตรวจชีพจรเพื่อดูสภาพร่างกายของคุณหน่อย”
“เธอมีความรู้ด้านการแพทย์ด้วยงั้นหรอ ?”
โปรเฟสเซอร์ฮูได้ถามออกมาอย่างรวดเร็ว
ถังซิ่วก็ได้ตอบกลับไปว่า
“นิดหน่อย !”
นิดหน่อยอีกแล้ว!!!!!
เหล่ใบยี่และมู่หวางหยิงที่อยู่ข้างๆนั้นได้มองไปที่กันและกันอย่างว่างเปล่า พวกเขาในตอนนี้คิดว่าถังซิ่วนั้นเป็นดั่งเทพที่จุติลงมาบนโลก
เข้าใจนิดหน่อยอะไรกัน ?
ไอ้นิดหน่อยของเขานั้นหมายถึงความรู้ของเขานั้นอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว
เหล่ใบยี่เองก็ได้พูดออกมาว่า
“เพื่อนฮู นายรีบๆให้เขาตรวจสิ”
โปรเฟสเซอร์ฮูเองก็ได้ยื่นข้อมือของเขาออกไป
ถังซิ่วได้ตรวจชีพจรของเขาทีละข้างก่อนที่จะส่ายศีรษะแล้วพูดว่า
“มันแย่กว่าที่ฉันคาดคิดเอาไว้อีก ช่วงนี้คุณจะตื่นนอนจากฝันร้ายทุกวันใช่ไหม ? ระยะเวลาการพักผ่อนเองก็จะน้อยพร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วม ? ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อคุณตื่นนอนก็จะสำรอกเสมหะสีดำๆออกมา ?”
นัยน์ตาของโปรเฟสเซอร์ฮูหดลงทันทีก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า
“ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้น !”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“พิษรุกล้ำหัวใจแล้ว หากว่ายังปล่อยไปแบบนี้คุณคงไม่มีชีวิตรอดถึงปีหน้า”