Returning From The Immortal World - 186
.......................................................................................................................................................................................
แสงรุ่งอรุณได้สาดส่องมาในยามเช้า
วันนี้ถังซิ่วได้ตื่นเช้าเป็นอย่างมากเพราะเขาต้องการไปที่โรงเรียนสอนขับรถแล้วกลับไปหาแม่ของเขาเพื่อที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเธอ เขาเชื่อว่าแม่ของเขาจะต้องไม่สามารถยอมรับเรื่องที่เขาจะบอกได้เป็นเวลานานอย่างแน่นอน ตราบใดที่เขาให้เวลาเธอมากพอมันก็น่าจะทำให้เธอมีความสุขได้
หลังจากที่ทานมื้อเช้าถังซิ่วก็ได้ออกมาจากวิลล่าของเขาทางประตูหน้าพร้อมพยักหน้าให้ยามที่ตะเบ๊ะมาทางเขาก่อนที่จะรอแท็กซี่ตรงหน้าถนน
“ปี้น ปี้น .....”
ได้มีเสียงแตรรถดังขึ้น
เมื่อถังซิ่วหันไปมองที่ที่นั่งคนขับของรถporscheคันนั้นก็พบว่าเธอคือหลงซูเหยาก่อนที่เขาจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“กำลังจะออกไปไหนงั้นหรอ ?”
หลงซูเหยาก็ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“กำลังจะออกไปจัดการเรื่องต่างๆ คุณล่ะจะไปที่ไหน ? ต้องการให้ฉันไปส่งไหม ?”
ถังซิ่วส่ายศีรษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันกำลังหาโรงเรียนสอนขับรถเพื่อที่จะสอบใบขับขี่ในช่วงวันหยุดน่ะ เธอไปทำธุระของเธอเถอะ! ฉันจัดการเรื่องของฉันเอง”
หลงซูเหยาได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่เป็นไร เรื่องของฉันนั้นไม่ได้เร่งรีบขนาดนั้นยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่นั้นมีแท็กซี่ผ่านมาน้อยมาก หากว่าคุณต้องการที่จะหารถแล้วล่ะก็ คุณจะต้องเดินไปอีกหลายกิโลมตรเลยทีเดียว ขึ้นมาสิ ที่ๆฉันจะไปก็บังเอิญอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนสอนขับรถเช่นกัน”
ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า
“เธอจะไปที่ไหนงั้นหรอ ?”
หลงซูเหยาได้ตอบกลับไปว่า
“ไปที่กรมสรรพากร”
ถังซิ่วก็ได้พยักหน้าพร้อมกับไปนั่งที่ข้างคนขับ เขาได้กลิ่นหอมของมะลิออกมาจากในรถของเธอ
“ฉันเห็นว่าเธอสกุลหลงแต่ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นญาติผู้พี่ของหลงเจิ้งหยู ฉันได้รู้มาจากเขาตอนที่เราได้ดื่มกันเมื่อไม่กี่วันก่อน”
หลงซูเหยาได้สตาร์ทรถพร้อมกับยิ้มออกมาว่า
“ฉันเองก็คิดว่าคุณจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ! อย่างไรก็ตามหากว่าคุณจำเป็นที่จะต้องใช้ใบขับขี่ล่ะก็ ฉันมีวิธีที่คุณไม่จำเป็นจะต้องไปเรียนก็สามารถได้มันมา”
ถังซิ่วตอบกลับด้วยความประหลาดใจว่า
“มันทำอย่างงี้ได้ด้วยหรอ ?”
หลงซูเหยาได้พูดออกมาขณะที่เธอหัวเราะว่า
“ทำไมมันจะทำไม่ได้ล่ะ ? ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนแต่เมื่อถึงเวลาก็ไปสอบและหากคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ก็ไปลอกของคนอื่น หากว่าผู้คุมสอบได้รับผลตอบแทนมากพอพวกเขาจะก็จะทำเป็นมองไม่เห็นเองแหละ”
“สังคมของเงินสกปรก!”
ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจออกมา
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องขอฝากให้เธอให้ช่วยหาคนให้ฉันด้วย ! ถือซะว่าฉันติดหนี้เธออยู่ครั้งนึง ถ้าพูดกันตามตรงคือช่วงวันหยุดเองฉันก็มีเวลาไม่มากนัก”
หลงซูเหยาเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่มีปัญหา เราไปที่โรงเรียนนั่นกันเลย ฉันพอมีคนรู้จักอยู่ที่นั่นพอดี”
“เอาตามที่เธอว่าเลยแล้วกัน !”
ถังซิ่วพยักหน้าขณะที่เขาตอบกลับ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ถังซิ่วและหลงซูเหยาได้เดินออกมาจากโรงเรียนสอนขับรถพร้อมจ่ายค่าลงทะเบียน หลงซูเหยาได้พาถังซิ่วไปพบกับผู้อำนวยการของโรงเรียนเพื่อจัดการเรื่องที่ว่ามา เขาสามารถมาเข้าเรียนได้ตอนไหนก็ตามที่เขาว่างส่วนเรื่องการสอบนั้นทางโรงเรียนจะเป็นคนแจ้งเขาเอง
“โอเค ครั้งนี้ฉันคงต้องขอให้เธอช่วยจริงๆ วันไหนที่มีเวลาว่างฉันจะพาเธอไปเลี้ยงข้าวเอง !”
ถังซิ่วได้พูดออกมา
หลงซูเหยาเองก็ได้ยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า
“คุณเป็นเพื่อนของญาติฉันก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพนักหรอก ไปกินกันตอนไหนก็ได้เพราะฉันค่อนข้างจะว่างอยู่ตลอด”
ถังซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“พรุ่งนี้! พรุ่งนี้ฉันจะไปพบเธอ”
หลงซูเหยาเองก็ได้เอาโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอาเบอร์ของฉันไปสิ”
ถังซิ่วได้บันทึกเบอร์ของเธอไว้ในโทรศัพท์ก่อนที่จะเรียกแท็กซี่แถวๆนั้น เขารีบมุ่งตรงไปที่ร้านอาหารเพื่อคำนวณเวลาที่แม่ของเขาจะมาถึง
จริงๆด้วย!
หลังจากที่ถังซิ่วรีบมานั้นก็ได้เห็นว่าแม่กำลังช่วยยกของและคุยอยู่กับพนักงาน
“แม่ครับ.....”
ถังซิ่วได้เรียกออกมา
ซูหลิงหยุนได้หันกลับมาและเมื่อเห็นว่าเป็นถังซิ่วนั้นเธอจึงได้รีบพูดออกมาว่า
“ซิ่วน้อย เป็นอย่างไรบ้าง ? ไปเที่ยวสนุกไหมลูก ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ก็ดีครับ แม่ครับ วันนี้เรื่องจัดการที่ร้านอาหารให้บั่นโฉวและคนอื่นๆเป็นคนจัดการนะ ! ผมต้องพาแม่ไปที่ที่หนึ่ง”
ซูหลิงหยุนถามออกมาด้วยความสงสัยว่า
“ลูกจะพาแม่ไปที่ไหนงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วยิ้มออกมาขณะที่ตอบกลับไปว่า
“ไม่ใช่ว่าแม่สงสัยหรอว่าทำไมช่วงนี้ผมถึงได้ดูลึกลับ ? ผมจะพาแม่ไปหาคำตอบกัน !”
ซูหลิงหยุนได้พยักหน้าโดยไม่ต้องคิดพร้อมกับพูดว่า
“เราไปกันเถอะ !”
โครงการเมืองประตูทิศใต้
เมื่อซูหลิงหยุนลงจากแท็กซี่และเห็นประตูหน้าโครงการนั้นก็รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ซิ่วน้อย ลูกพาแม่มาที่นี่ทำไมกัน ? แม่รู้จักที่นี่ดีว่ามันเป็นวิลล่าชั้นสูงที่สุดและถูกครอบครองโดยเหล่าคนรวยเท่านั้น ลูกลองมองหน่วยรักษาความปลอดภัยหน้าประตูสิ เหมือนกับว่าเป็นตำรวจมายืนเฝ้าตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ ! เราไปกันเถอะ ! ไม่อย่างงั้นพวกเขาคงจะมาไล่เราไปอย่างแน่นอน”
ถังซิ่วยิ้มก่อนที่จะจับมือของเธอพร้อมกับเดินไปทางประตูทางเข้าของโครงการ
หน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งสองได้ตะเบ๊ะให้แก่ถังซิ่วขณะที่พวกเขายืนตัวตรง
ซูหลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงได้ถามออกมาว่า
“ซิ่วน้อย ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้วเหมือนว่ารู้จักลูกเลย ? ลูกเคยมาที่นี่ ?”
ถังซิ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ใช่แล้ว ผมเคยมาที่นี่และอาศัยที่นี่ในบางครั้ง ไปกันเถอะ ! ผมรู้ว่าแม่ต้องประหลาดใจมาก เราไปพบกับครอบครัวของเรากันเถอะแล้วผมจะเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังเอง”
ครอบครัว ?
ซูหลิงหยุนตกใจกับคำพูดที่เธอกำลังได้ยิน
หากว่าที่นี่เป็นบ้านของครอบครัวแล้วมันจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซื้อวิลล่าเหล่านี้กัน ?
ตลอดทางเดินได้มีหน่วยรักษาความปลอดภัยหลายคนที่เห็นถังซิ่วแล้วก็ทำความเคารพกันและเมื่อซูหลิงหยุนได้มาถึงตรงหน้าทางเข้าวิลล่าแล้วก็รู้สึกเหมือนเธอได้ตื่นขึ้นจากฝัน
มองไปที่สภาพแวดล้อมที่ดูสวยงามและหรูหรา เธอจับมือของถังซิ่วแล้วพูดว่า
“ซิ่วน้อย ลูกล้อแม่เล่นใช่ไหม? ต่อให้เป็นตอนที่ลุงของลูกรวยที่สุดก็ไม่สามารถซื้อวิลล่าหลังนี้ได้แน่นอน !!”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“แม่เข้าไปแล้วก็จะได้รู้เอง”
ถังซิ่วได้จับมือของเธอและพาเธอเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับพบมู่ขวินปิงที่กำลังจะออกไปข้างนอกทันที
“พี่สาวมู่ นี่คือแม่ของผม นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ แม่ครับ เธอคือพี่สาวมู่ซึ่งเป็นแม่บ้านของครอบครัวเรา ลูกสาวของเธอเป็นลูกศิษย์ของผม”
แม่บ้าน ?
ลูกศิษย์ ?
ซูหลิงหยุนรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เธอกำลังได้ยิน เธอไม่เคยคิดเลยว่าตลอดชีวิตนี้จะมีวันที่เธอจะมีแม่บ้าน แล้วลูกศิษย์นั่นคืออะไรกัน ?
มู่ขวินปิงเองก็ได้สังเกตซูหลิงหยุนพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“สวัสดีค่ะ ฉันได้เห็นภาพของคุณกับถังซิ่วในห้องนอนแล้ว คุณเรียกฉันว่าปิงน้อยก็ได้”
เพราะปัญหาด้านอายุ มู่ขวิงปิงเลยไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรเพราะยังไงอายุของเธอก็มากกว่าซูหลิงหยุนอยู่ประมาณสิบปีแต่ลูกสาวของเธอนั้นดันเป็นลูกศิษย์ของถังซิ่ว หากจะให้เรียกเธอว่าพี่สาวก็จะทำให้ดูไม่ดี เรียกว่าป้าก็ไม่เหมาะสม
ซูหลิงหยุนได้มองไปที่มู่ขวินปิงก่อนที่จะมองไปที่ถังซิ่วอยู่นาน ในที่สุดเธอก็พูดขึ้นว่า
“ซิ่วน้อย แม่รับไม่ได้ ลูกบอกมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?”
ถังซิ่วได้จูงมือของเธอเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นพร้อมพูดขึ้นว่า
“คุณแม่ ก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่แค่เอาแต่เรียนเท่านั้นแต่ก็ทำธุรกิจด้วยเช่นกัน แม่อย่างเพิ่งโกรธนะ ผมสอบเข้าเรียบร้อยแล้วและผมรับรองได้เลยว่าผลสอบจะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน”
ซูหลิงหยุนพูดออกมาด้วยความตื่นตระหนกว่า
“ทำธุรกิจงั้นหรอ ? ธุรกิจอะไรกัน ? ซิ่วน้อย ลูกจะไปทำเรื่องที่ผิดกฎหมายไม่ได้นะลูก !!”
ถังซิ่วฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“แม่เห็นว่าผมเป็นคนแบบนั้นหรือไง ? ผมทำธุรกิจมากมายอย่างเช่นผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและผมเองก็ได้วาดพิมพ์เขียวให้กับคนอื่นด้วย ที่ผมไม่บอกเรื่องนี้กับแม่ก็เพราะผมกลัวว่าแม่จะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องเรียนของผม ผมรับรองได้เลยว่าผมจะสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำได้อย่างแน่นอน”
ซูหลิงหยุนได้ถามออกมาด้วยความสับสนว่า
“เมื่อกี้ลูกบอกว่าวาดพิมพ์เขียวงั้นหรอ ? ทำไมแม่ถึงไม่เคยรู้เลย ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“มันเป็นงานอดิเรกหลังเลิกเรียนของผม มันก็เหมือนการที่ผมอ่านตำราแพทย์นั่นแหละ”
ซูหลิงหยุนเงียบไปครู่หนึ่งเพราะเธอไม่สามารถรับอะไรหนักๆได้ ความตกใจที่ลูกได้ให้เธอในวันนี้ทำให้เธอถึงกับเรียกสติคืนกลับมาอย่างยากลำบาก หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงได้ถามออกมาอีกครั้งว่า
“ลูกแม่ ลูกทำธุรกิจและสามารถซื้อวิลล่าหลังใหญ่ขนาดนี้ได้ ตอนนี้ลูกมีเงินอยู่เท่าไหร่แล้ว ?”
ถังซิ่วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“จริงๆแล้ววิลล่านี้ผมไม่ได้ซื้อมาแต่เพื่อนให้มาเพราะผมช่วยเขาจัดการเรื่องบางอย่าง ! ส่วนเรื่องที่ผมมีเงินอยู่เท่าไหร่นั้นผมก็ไม่ค่อยได้นับสักเท่าไหร่ มันน่าจะเหลืออยู่หลายร้อยล้านหยวน”
“เท่าไหร่นะ ?”
ซูหลิงหยุนได้กระโดดออกมาจากเก้าอี้พร้อมโห่ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
ถังซิ่วก็ได้ตอบกลับไปว่า
“อย่างน้อยก็หลายร้อยล้านครับ”
ซูหลิงหยุนพยายามใช้พลังทั้งหมดของเธอเพื่อกลืนน้ำลายกลับลงไป เธอตกใจกลัวกับจำนวนตัวเลขเป็นอย่างมาก แม้ว่าร้านอาหารของเธอจะเฟื่องฟูและมีรายได้หลายหมื่นในทุกๆวันแต่มันไม่สามารถเอาไปเทียบกับร้อยล้านได้เลย
ถังซิ่วได้พูดต่อว่า
“คุณแม่ หลังจากนี้ครอบครัวของเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไปแล้ว ผมได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วและไม่ใช่เอาดีแต่ในเรื่องเรียนเท่านั้นแต่ผมเองก็ได้สร้างบริษัทของตัวเองแล้วด้วย หลังจากนี้หากว่าแม่ไม่ต้องการทำร้านอาหารแล้วก็สามารถขายมันได้เลยหรือแม่จะทำมันต่อเหมือนเดิมก็ได้ ผมแค่หวังว่าชีวิตต่อจากนี้ของแม่จะมีแต่ความสุข”
ซูหลิงหยุนได้มองไปที่ถังซิ่วแล้วพบว่าลูกชายของเธอได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องให้เธอปกป้องแล้ว เด็กน้อยที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กเขาสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว
“ฮื้อออออ ฮื้อออออออออ......”
เธอได้นั่งกลับลงไปบนโซฟาพร้อมร้องไห้ออกมา เธอใช้สองมือของเธอเพื่อพยายามปาดน้ำตาเหล่านั้น เธอคิดถึงเรื่องสามีของเธอและคิดว่าที่ชีวิตของพวกเธอต้องเป็นอย่างงี้เพราะความผิดของเธอ ......
“คุณแม่.....”
ถังซิ่วที่กำลังต้องการจะพูดก็ได้ถูกขวางไว้โดยมู่ขวินปิงก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆซูหลิงหยุนพร้อมกุมมือเธอไว้แล้วพูดออกมาว่า
“ฉันได้รู้ถึงสถานการณ์ของครอบครัวเธอแล้ว ฉันรู้ดีว่าเธอก็เหมือนกับฉันที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว ความรู้สึกเศร้าที่มีแค่พวกเราเท่านั้นที่เข้าใจกัน ฉันรู้ว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ เมื่อลูกได้ดิบได้ดีนั้นก็เป็นธรรมดาที่แม่จะต้องดีใจแต่เธอควรจะยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าลูก เธอไม่ควรจะร้องไห้ให้เขาเห็นเพราะวันนี้ควรจะเป็นวันฉลองของพวกเรา เธอคิดว่าฉันพูดถูกไหม ?”