Returning From The Immortal World - 180
.......................................................................................................................................................................................
เขวียนหน้าบากเองได้โห่ร้องออกมาว่า
“ค่าจ้างรายปี1ล้านหยวน ? โดยไม่รวมหุ้น10%งั้นหรอ ? นายต้องการจะลงทุนเท่าไหร่กัน ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะมีเงินไม่มากนักแต่เฟสแรกคงใช้เงินไม่มาก”
เหมี่ยวเหวินถังที่อยู่ข้างๆได้ถามออกมาด้วยความสับสนว่า
“เพื่อนถัง เราเพิ่งจะโอนเงินไปให้นายถึง2.5พันล้านแล้วทำไมถึงบอกว่าเงินเหลือไม่เยอะ ? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่านายกำลังพูดเรื่องธุรกิจกันสินะ ? ธุรกิจอะไรงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วตอบกลับอย่างสงบว่า
“สร้างโรงบ่มไวน์”
เขวียนหน้าบากเองได้รู้สึกช๊อคกำคำพูดของเหมี่ยวเหวินถังทันที เงินถึง2.5พันล้านแต่กลับบอกว่าเหลือเงินไม่มาก ?
ถังซิ่วที่เห็นท่าทางของเขวียนหน้าบากเองก็เดาได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรพร้อมพูดออกมาว่า
“ฉันมีหนี้อยู่1.5พันล้านและบริษัทเองก็เพิ่งจะเปิดได้ไม่นานดังนั้นมันจึงต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก มันเป็นเหตุให้ไม่สามารถลงทุนในโรงบ่มไวน์ได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นในเฟสแรกฉันมีงบให้ได้เพียง100ล้านหยวนเท่านั้น”
“เฮือกกกกก”
เขวียนหน้าบากเองถึงกับใจสั่นเลยทีเดียว
ลงทุนเฟสแรกด้วยเงิน100ล้านแต่กลับบอกว่าไม่มาก ? นี่......นี่มันเพียงพอสำหรับการเปิดโรงงานบ่มขนาดใหญ่ได้เลยไหม ?
เหมี่ยวเหวินถังเองก็ได้สังเกตถังซิ่วอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า
“เพื่อนถัง หากว่านายกำลังขาดเงินนั้น ฉันขอเวลาไม่กี่วันก็สามารถหามาให้นายได้1-2ร้อยล้าน หรือนายต้องการจะขายหุ้นให้ฉัน ? ฉันเองก็ไม่ต้องการที่ยุ่งกับการบริหารแค่ต้องการกำไรเท่านั้น นายคิดว่าไง ?”
เซ่าหมิงเจิ้งเองก็พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันเองก็ต้องการที่จะลงเงิน100ล้านเพื่อซื้อหุ้นของนายเช่นกัน”
เขวียนหน้าบากเองถึงกับตัวสั่นเพราะเขาได้รับหุ้นมาจากถังซิ่ว10%ของเงินลงทุน100ล้าน นั่นก็หมายความว่าเขากำลังถือหุ้นที่มีมูลค่าถึง10ล้านและหากว่ายังได้รับเงินลงทุนเหล่านี้อีก เขาจะไม่เป็นมหาเศรษฐีเลยงั้นหรอ ?
นี่............
นี่คงจะเป็นเหมือนดั่งคำสอนที่ว่า ผู้ที่ที่ประพฤติตัวดีก็จะได้รับแต่สิ่งดีๆ ?
อย่างไรก็ตาม
คำตอบของถังซิ่วนั้นถึงกับทำให้เขาต้องหวาดผวา
“หากพวกนายทั้งสองมีการสำรวจอะไรอีกก็สามารถโทรหาฉันได้แต่เรื่องของธุรกิจนั้นช่างมัน ! ฉันต้องการสิทธิในการครอบครองโดยสมบูรณ์”
เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งมองไปที่กันและกันอย่างว่างเปล่าก่อนที่จะฝืนยิ้มออกมา พวกเขามีความรู้สึกว่าการเปิดโรงบ่มไวน์ของถังซิ่วนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆและมันสามารถที่จะขนาpธุรกิจจนใหญ่โตและแข็งแกร่งอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว
ถังซิ่วได้มองไปที่เขวียนหน้าบากก่อนที่จะพูดว่า
“ฉันเองยังไม่รู้เลยว่านายมีชื่อว่าอะไร !”
เขวียนหน้าบากได้ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า
“บอส ผมมีชื่อว่าได่เขวียน คุณเรียกผมว่าหน้าบากก็ได้หรือว่าเขวียนน้อยก็โอเคครับ”
ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า
“ก่อนหน้านี้คนของนายเรียกนายว่าเขวียนหน้าบากและฉันเองก็จะเรียกแบบนั้น! ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันกำลังจะออกจากที่นี่และไปทำธุระที่เมืองชางเบ่ยพร้อมกับกลับไปที่สตาร์ซิตี้ นายต้องการที่จะตามฉันไปเลยไหม ? หรือว่าจะเอาอย่างไร ?”
เขวียนหน้าบากเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ผมได้จัดการเรื่องทั้งหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ! ผมเองก็ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับภรรยาแล้วด้วยและหากว่าผมมีที่ยืนในเมืองเมื่อไหร่ก็จะให้ภรรยาและลูกๆมาอาศัยที่เมืองสตาร์ซิตี้เช่นกัน”
ถังซิ่วก็ได้ตอบกลับไปว่า
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะจัดการเรื่องโรงเรียนให้เองเมื่อลูกนายมาถึงที่นี่”
“ขอบคุณครับบอส”
ถังซิ่วโบกมือพร้อมกับพูดว่า
“เราไปกันเถอะ !”
เขวียนหน้าบากได้มองไปที่ผู้คุ้มกันของเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งด้วยความรู้สึกหวาดกลัว เขาเองก็เป็นคนที่เคยได้ห็นเลือดมามากมายแต่ไม่รู้ทำไมเมื่อเห็นถังซิ่วและพวกเขาแล้วถึงทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตราย
เมื่อเห็นว่าถังซิ่วได้นั่งบนรถแล้วเขวียนหน้าบากจึงได้ถามออกมาว่า
“บอส คุณต้องการให้ผมขับรถตามหลังคุณไป ?”
ถังวิ่วได้ถามออกมาว่า
“นายมีรถด้วยงั้นหรอ ?”
เขวียนหน้าบากได้ชี้ไปที่รถโตโยต้าที่จอดอยู่ไม่ไกลพร้อมกับพูดว่า
“นั่นเป็นรถผมเอง”
ถังซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดกับเหมี่ยวเหวินถังว่า
“ในเมื่อเขามีรถแล้วฉันจะไปนั่งกับเขา ! เราจะแยกกันทันทีเมื่อเราไปถึงเมืองชางเบ่ย”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งได้พยักหน้าพร้อมๆกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของถังซิ่วนั้นเขวียนหน้าบากเองก็ได้อำนวยความสะดวกทุกอย่างแก่ถังซิ่ว เขาไปที่ท้ายรถพร้อมกับแบกสำภาระของถังซิ่วออกมา
“ฉันถือเอง!”
ถังซิ่วได้เดินมาที่ท้ายรถพร้อมกับพูดออกมาอย่างสงบ
เขวียนหน้าบากได้พูดออกมาว่า
“บอส เรื่องยกสำภาระนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง”
เมื่อพูดจบ !
เขาก็ใช้แรงแขนทั้งหมดเพื่อพยายามยกสำภาระเหล่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น ?”
เขวียนหน้าบากนั้นตกใจเป็ฯอย่างมากเพราะเขาได้ออกแรกไปเยอะมาก เขาได้พยายามเป็นครั้งที่สองโดยใช้แรงทั้งหมดที่เขามีแต่ก็สามารถยกมันได้แค่ไม่กี่ ซ.ม.เท่านั้นก่อนที่มันจะหล่นกลับลงไป
ถังซิ่วได้ตบไปที่บ่าของเขวียนหน้าบากพร้อมพูดว่า
“ฉันจัดการเอง !”
เมื่อเห็นว่าถังซิ่วสามารถยกมันไปได้อย่างงายดายนั้นก็ทำให้หน้าของเขาแดงขึ้นเพราะความอับอายทันที เขาต้องการจะอำนวยความสะดวกแก่ถังซิ่วเพื่อที่จะประจบแต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นการสร้างความอับอายให้แก่ตัวเองซะงั้น
อย่างไรก็ตาม
เขาเองก็รู้สึกช๊อคมากเพราะเขาไม่รู้เลยว่ากระเป๋านั่นใส่อะไรเอาไว้แต่พลังของถังซิ่วนั้นทำให้เขารู้สึกทึ่งยิ่งกว่าก่อนเพราะหลังจากที่ได้เห็นท่าทางการแบกสำภาระแบบสบายๆของเขาแล้วก็ทำให้เขามั่นใจว่าถังซิ่วจะต้องมีพลังมากกว่าเขาหลายเท่าอย่างแน่นอน
“บอส ในกระเป๋านั่นใส่อะไรไว้งั้นหรอ ? ทำไมมันถึงได้หนักขนาดนี้ ?”
เขวียนหน้าบากซ่อนท่าทางอึดอัดไว้พร้อมเอ่ยปากถามออกมาด้วยความสงสัย
ถังซิ่วได้ตอบออกมาเบาๆว่า
“หินสองก้อน”
หิน ?
หัวใจของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไปบอสของเขาถึงได้มีงานอดิเรกแปลกๆโดยการใช้เวลาทั้งวันเพื่อมาที่นี่แล้วแบกหินกลับไป ?
เมืองชางเบ่ย
ร้านซ่อมรถเขตจิงฟาน
หวางหมิงได้มองไปยังเงินน้อยนิดในซองจดหมายที่หัวหน้าของเขาเอามาให้ ทหารปลดประจำการอย่างเขาเองก็เหมือนเพื่อนคนอื่นๆที่ปฏิเสธการว่าจ้างทั้งหมดพร้อมกับไปที่บ้านเกิดของตัวเอง เขานั้นไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง
น่าเสียดายที่น้องชายของเขาไม่สนใจเรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย หลักจากที่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ไม่มีใครสามารถสั่งสอนน้องชายของเขาได้อีกเลย น้องของเขามักจะไปหมกตัวอยู่กับพวกอันธพาลข้างถนน เขาโดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะหนีเรียนมากเกินไปและตอนนี้เองก็เป็นแค่กุ๊ยธรรมดาๆ
เขาเองก็ได้ทุบตี ดุด่าแต่ก็ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงบังคับให้น้องชายของเขามาทำงานอยู่ที่ร้านซ่อมรถกับเขาซึ่งจะสามารถจัดการกับเขาได้ง่ายขึ้น
“พี่ชาย เอาเงินของพี่มาให้ผม”
หลังหลักจากที่หวังเซียงได้เอาเงินยัดใส่ไปในกระเป๋าของเขาแล้วจึงได้เดินไปที่หวังหมิงพร้อมกับขอเงินทันที
คิ้วของหวังหมิงขมวดเข้าหากันก่อนที่จะถามออกมาว่า
“เอาไปทำอะไร ?”
หวังเซียงได้ตอบกลับไปว่า
“ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะดึงกระเป๋ากางเกงของหวังเซียงพร้อมพูดขึ้นว่า
“หากฉันจำไม่ผิดนายเพิ่งจะซื่อโทรศัพท์เครื่องใหม่ไปเมื่อเดือนที่แล้วไม่ใช่หรอ ?”
หวังเซียงได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดว่า
“มันออกรุ่นใหม่มาแล้วทำไมผมจะไม่อยากซื้อมันล่ะ ? ผมจะไปหาทางอื่นที่จะได้เงินมาหากว่าพี่ไม่ให้เงินผม”
หวังหมิงเองก็แอบถอนหายใจออกมาก่อนที่จะส่งเงินที่เพิ่งได้รับไปให้น้องชายของเขา เขารู้ดีว่าหากมันไม่ได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ก็จะต้องไปทำอะไรบ้าๆอีกแน่นอน
“วันนี้ผมขอลาหยุด !”
หวังเซียนได้ทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะคว้าเงินแล้วเดินจากไป
ในขณะนี้ได้มีโตโยต้ามาจอดที่ใกล้ๆกับร้านซ่อมรถ หลังจากที่ถังซิ่วเดินลงมาก็ได้มองไปที่หวังหมิงที่ยืนอยู่ หยวนเจิ้งซวนได้ให้ข้อมูลของเขาไว้แล้วและนั่นก็รวมไปถึงรูปภาพของเขาเช่นกัน
“หวังหมิง”
ถังซิ่วได้เรียกออกมาขณะที่กำลังเดินเข้าไป
หวังหมิงเองก็รีบหันไปมองที่ถังซิ่วพร้อมพูดขึ้นว่า
“ฉันเอง นายเป็นใคร ?”
ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า
“ฉันต้องการมาหานาย ฉันรู้ถึงอดีตของนายดีและต้องการให้นายมาทำงานกับฉันส่วนเรื่องการดูแลนั้นไม่ต้องเป็นห่วง”
ดวงตาของหวังเซียงที่กำลังจะออกไปนั้นได้เปล่งประกายขึ้นทันทีก่อนที่จะถามออกมาว่า
“นายจะดูแลพี่ชายฉันยังไง ? เดือนนึงได้ค่าจ้างเท่าไหร่ ?”
“หุบปากซะ”
หวังหมิงได้ตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว
หวังเซียงเองก็ได้ส่งเสียงพึมพำออกมาว่า
“พี่ชาย ดูสิว่าการที่เรามาทำงานอยู่ที่นี่ได้ค่าจ้างเท่าไหร่กัน ? มันไม่พอสำหรับค่าเหล้าของผมด้วยซ้ำ! พี่เป็นทหารที่แบกปืนแล้วทำไมถึงไม่ทำอะไรที่มันคู่ควร ? ดูสิว่านี่มันเป็นโอกาสที่ดี พี่ลองคิดดีๆสิ!”
ถังซิ่วได้มองไปที่หวังเซียงก่อนที่จะพูดว่า
“ที่แท้นายก็คือน้องชายที่ไม่มีอะไรดีของเขานี่เอง แต่อย่างไรก็ตามคำพูดของนายนั้นมีเหตุผลดี มันอยากที่จะหาคนที่มีพรสวรรค์ ต่อให้เป็นทหารที่แบกปืนและฆ่าผู้คนมามากมายก็ไม่ควรที่จะจมอยู่กับอดีตแต่ควรจะมองถึงอนาคต”
คิ้วของหวังหมิงได้ขมวดเขาหากันก่อนที่เขาจะถามออกมาด้วยเสียงโทนต่ำว่า
“นายเป็นใครกัน ?”
ถังซิ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“นักธุรกิจ! คนที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของนายได้ เรามาคุยเรื่องเงื่อนไขกันดีไหม ?”
หวังหมิงได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดว่า
“ไม่ว่านายจะให้เงื่อนไขอะไรฉันก็จะไม่รับมัน ฉันจะไม่ทำงานกับนาย ออกไปได้แล้ว !”
ถังซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ฉันคิดว่าทหารที่แท้จริงนั้นจะมีหัวคิดในการมองเห็นโอกาส ฉันคิดว่าเขาจะมีความเป็นผู้ใหญ่และมีสายตาที่แหลมคมแต่กลับไม่ต้องการที่จะฟังเงื่อนไขของฉัน มันแสดงให้เห็นว่านายมีความทะเยอทะยานที่สูงส่ง หากจะพูดง่ายๆก็คือในกระดูกของนายนั้นมีเลือดที่หยิ่งทะนงตนแต่กลับเลือกที่จะทำอะไรโง่ๆ”
หวังหมิงได้แสยะออกมาพร้อมพูดว่า
“นายจะไปเข้าใจอะไร ?”
ใบหน้าของถังซิ่วได้ปรากฏถึงความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก่อนที่จะส่ายศีรษะแล้วพูดว่า
“ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหนอกแต่ฉันแค่รู้สึกผิดหวังในตัวพวกนายเท่านั้นเอง ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ต้องไปเสียเวลาควานหาตัวหลันเถาอีกแล้วเพราะเขาเองก็คนเป็นแค่ขยะที่สามารถมีลูกน้องขยะๆแบบนายได้”
บนหน้าผากของหวังหมิงได้มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาทันทีก่อนที่จะมองไปที่ถังซิ่วด้วยความโกรธและตะโกนออกมาว่า
“แกหุบปากเดี๋ยวนี้ หลันเถาไม่ใช่คนที่แกจะสามารถดูหมิ่นได้ !”
ถังซิ่วได้พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับเยาะเย้ยว่า
“ทำไมล่ะ ฉันบอกว่านายเป็นแค่ขยะ นายคิดว่าฉันพูดอะไรผิดไปงั้นหรอ ? อับอาย ?”