Returning From The Immortal World - 172
.......................................................................................................................................................................................
(*เปลี่ยนชื่อ เซ่าหมิงเซิงเป็น เซ่าหมิงเจิ้งแทนนะครับ แอดเริ่มพอรู้วิธีเรียกชื่อจีนมาบ้างแล้ว 555555 ใครที่มีความรู้เรื่องนี้ก็ช่วยแนะจำแอดบ้างนร้า T-Tออกเสียงไม่ถูกเบย )
ที่ตีนเขาของภูเขาบลูนั้นมีทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นอย่างมาก อากาศเองก็สดชื่นและบริสุทธิ์ ที่นี่นั้นมีคนอยู่อาศัยไม่มากนักและมีประมาณ1พันกว่าครัวเรือนเท่านั้น
ร้านค้าในเมืองเองก็น้อยเช่นกัน มีพวกร้านขายของชำหรือเกี่ยวกับครัวเรือนเล็กน้อยและที่สุดทางนั้นมีโรงแรมอยู่
เมื่อถังซิ่วได้เดินเข้าไปถึงหน้าโรงแรมก็มีชายใส่สูทสีดำยืนรอรับเขาอยู่ก่อนแล้ว
“คุณคือคุณถัง ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ใช่ ฉันเอง !”
ชายวัยกลางคนก็ได้ตอบอย่างนอบน้อมว่า
“คุณถัง บอสเซ่าของเรากำลังรอคุณอยู่พอดี ได้โปรดตามผมมา”
ถังซิ่วได้พยักหน้าพร้อมเข้าไปในโรงแรมกับชายคนนั้น ที่ชั้นสองในห้องที่ส่องสว่างก็ได้พบกับเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งที่ด่าน่าสังเวช ถึงแม้พวกเขาเองจะได้รับบาดเจ็บไม่มากนักแต่ท่าทางของพวกเขานั้นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกอนาถใจเป็นอย่างมาก
“เพื่อนถัง ในที่สุดนายก็มาถึง ครั้งนี้เราได้สูญเสียเป็นอย่างมากและหากนายไม่มานั้น พวกเราเองก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้าน”
เหมี่ยวเหวินถังได้ยืนขึ้นพร้อมใบหน้าที่ขมขื่นขณะที่เขาพูดออกมา
ถังซิ่วยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะพูดตอบกลับไปว่า
“อะไรกัน พวกเรานั้นเป็นผู้บ่มเพาะพลังและฉันเองก็จำเป็นต้องใช้แร่ล้ำค่าเป็นจำนวนมาก ต้องขอบคุณพวกนายที่คิดถึงฉัน ฉันรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก”
เซ่าหมิงเจิ้งก็ได้พูดแย้งออกมาทันทีว่า
“เพื่อนถัง จะดีหรือไม่ดีนั้นมันยังตัดสินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ! แม้ว่าเราจะได้รับข่าวสารมาว่าในที่แห่งนั้นจะมีแร่ล้ำค่าอยู่แต่เราเองก็ยังไม่สามารถฝ่าเข้าไปในนั้นได้แม้แต่ครั้งเดียว”
ถังซิ่วพยักหน้าขณะที่พูดออกมาว่า
“เรื่องนี้ฉันตระหนักดี แต่พวกนายเองก็เป็นถึงผู้บ่มเพาะพลังแหม่งเซียนที่มีความแข็งแกร่งและต่อให้ฉันเป็นคู่ต่อสู้ก็ยังไม่สามารถเอาชนะพวกนายได้ แสดงว่านายยังมีเรื่องที่ปิดบังอยู่สินะ ?”
เหมี่ยวเหวินถังได้ตอบกลับทันทีว่า
“ใช่แล้วยังมีอยู่บางเรื่องแต่ฉันหวังว่านายจะไม่ถือสาหาความกับมัน ในถ้ำสวรรค์นั้นเราได้ไปเจอกับสัตว์ร้ายเข้า มันดูคล้ายกับเสือแต่ก็ไม่ใช่ เสือดาวก็ไม่ใช่ รูปร่างของมันนั้นเล็กกว่าเสือชีต้าห์เล็กน้อยแต่ความเร็วของมันนั้นเยอะกว่ามากและยิ่งไปกว่านั้นคือความฉลาดของมันสูงเป็นอย่างมาก เราได้ใช้ทุกวิธีทางที่จะจัดการกับมันแต่ก็ยังทำไม่ได้และที่มากไปกว่านั้นคือมันทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าพวกเราได้อยู่ในเขาวงกตและถูกจัดการโดยไอ้สัตว์เหล่านั้น ลูกน้องที่ไว้ใจหลายคนเองก็ถูกฝังอยู่ในถ้ำแห่งนั้น”
ถังซิ่วได้หรี่ตาลงพร้อมกับพูดออกมาช้าๆว่า
“นายเห็นมันแล้วไม่ใช่หรอ ? แล้วมันเหมือนกับตัวอะไรที่มีบันทึกไว้ในตำราบ้างไหม ?”
“ไม่เลย !”
พวกเขาทั้งคู่ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา
ถังซิ่วพูดต่อว่า
“เอาอย่างงี้ ! ตอนนี้พวกนายได้รับบาดเจ็บและฉันจะให้เวลานายพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าเราจะไปสำรวจที่นั่นทันที”
เหมี่ยวเหวินถังได้ถูมือของเขาพร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เพื่อนถัง อาการบาดเจ็บของเรานั้นไม่เป็นไรแม้แต่น้อยเพราะหลังจากที่เรากลับมาจากอาณาเขตมังกรแห่งความชั่วร้ายครั้งก่อนนั้น เราก็ได้ซื้อสูตรยาของนายและเมื่อเรากลับมาเมื่อวานนี้นั้นก็ได้เก็สมุนไพรมากมายตามสูตรของนายและเราใช้เวลาเพียงแค่สองวันก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้แล้ว ฉันคิดว่าแผลตามตัวก็น่าจะหายภายใน1-2วันนี้”
ถังซิ่วได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“เก็บสมุนไพร ?”
เหมี่ยวเหวินถังได้พูดต่อว่า
“ใช่ เก็บสมุนไพร ! ที่แห่งนี้นั้นแทบจะไม่มีคนอยู่อาศัยด้วยซ้ำ มันมีสมุนไพรมากมายเจริญเติบโตอยู่ในที่แห่งนี้ ผู้คนก็มักจะมาที่แห่งนี้เพื่อซื้อสมุนไพรจากร้านค้าทั่วไปเป็นบางครั้ง”
ถังซิ่วได้ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า
“ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะเป็นภูเขาสมบัติอย่างแท้จริง เมื่อมีโอกาสเราก็จะไปเก็บสมันไพรล้ำค่าเหล่านั้นกัน”
เหมี่ยวเหวินถังได้พูดต่อว่า
“ฉันจะไปบอกคนให้เตรียมอุปกรณ์เอาไว้ เมื่อเราเข้าไปในเขาแล้วเราจะไปเก็บมันกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้น
บาดแผลของเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งได้ฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว พวกเขาได้เดินไปตามเมืองพร้อมเข้าไปในป่าแห่งนั้น
ต้นไม้และกิ่งก้านที่ดูสวยงามได้ปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ดอกไม้นานาพันธุ์กำลังเบ่งบาน ที่แห่งนี้นั้นสามารถเข้าออกได้อย่างอิสละและเหล่าผู้ติดตามของเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งนั้นก็ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลังเซียนแต่เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธที่มีฝีมืออยู่บ้าง
ทุกคนได้เดินลัดเข้าไปในป่าพร้อมกับใกล้ๆถึงถ้ำแห่งนั้น ตลอดทางที่มายังที่แห่งนี้พวกเขาไม่ได้พบเจออันตรายมากนัก มีเพียงแค่การลอบโจมตีของสัตว์ป่าและพวกมันทั้งหมดก็ถูกฆ่าเท่านั้นเพราะยังไงก็ตามเส้นทางนี้เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งนั้นก็ได้ผ่านมาหลายครั้งแล้วและพวกเขาก็คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
ครึ่งทาง
เหมี่ยวเหวินถังได้สั่งการให้คนของเขาไปตั้งแคมป์และค้างคืนที่แห่งนี้แต่เซ่าหมิงเจิ้งได้เดินเข้าไปหาถังซิ่วขณะที่มองไปยังพื้นที่ละแวกนั้นแล้วพูดขึ้นว่า
“ที่แห่งนี้นั้นดูเหมือนกับสวรรค์ที่สวยงามแต่หารู้ไม่ว่ามันแฝงไปด้วยอันตรายต่างๆนาๆ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนธรรมดาขะมาถึงที่แห่งนี้ได้”
ถังซิ่วพยักหน้าพร้อมพูดออกมาว่า
“ที่แห่งนี้เป็นที่ๆแฝงไว้ด้วยอันตรายอย่างแท้จริงและตามที่นายได้บอกมาว่าเรากำลังเข้าใกล้จุดหมายแล้วนั้น ฉันคิดว่านายควรจะสั่งให้ผู้คุ้มกันของนายและเหมี่ยวเหวินถังรออยู่ที่นี่เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลังแห่งเซียน การที่ให้พวกเขาตามเราเข้าไปนั้นมันจะไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เราแม้แต่น้อย กลับกันพวกเขาจะเป็นตัวถ่วงของเรา”
เซ่าหมิงเจิ้งเองก็ได้พูดต่อว่า
“จริงๆแล้วฉันเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน กำลังคนที่เราได้เสียไปนั้นมากเกินไปและไม่สามารถสูญเสียเพิ่มได้อีกแล้ว”
ถังซิ่วได้พูดต่อว่า
“ทานอาหารเสร็จเมื่อไหร่นายก็ไปพักผ่อนซะ ฉันจะคอยเฝ้ายามเอง”
เซ่าหมิงเจิ้งได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันคิดว่าจะให้ผู้คุ้มกันของฉันเป็นคนเฝ้ายามและให้เราพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อให้ร่างกายของเราเต็มร้อยสำหรับการเข้าไปในเขาวงกตในวันพรุ่งนี้ ฉันคิดว่าเราจะสามารถทำได้ดีกว่าเดิม”
ถังซิ่วส่ายศีรษะพร้อมพูดว่า
“ฉันมีลางสังหรณ์ว่าไอ้สัตว์ร้ายที่นายพูดถึงก่อนหน้านี้จะต้องปรากฏตัวออกมาอย่างแน่นอน หากเราไม่จัดการเรื่องของมัน ฉันคิดว่ามันจะมีปัญหามากอย่างแน่นอน”
เซ่าหมิงเจิ้งเองก็พูดแย้งทันทีว่า
“แต่ความเร็วของสัตว์ร้ายนั่นสูงมาก เราไม่มีทางที่จะล้อมมันได้แม้แต่น้อย !”
ถังซิ่วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า
“ปล่อยให้ฉันจัดการเอง หากว่ามันกล้าที่จะมาละก็ ฉันรับลองได้ว่ามันจะไม่มีทางได้กลับออกไป”
เซ่าหมิงเจิ้งได้พูดออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจว่า
“เพื่อนถัง นายมีวิธีอะไรงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ค่ายกล !”
ดวงตาของเซ่าหมิงเจิ้งนั้นเป็นประกายก่อนที่จะตบมือแล้วกล่าวสรรเสริญออกมาว่า
“ใช่ๆ หากนายสามารถวางค่ายกลวงล้อมได้ละก็ หากว่ามันติดอยู่ในค่ายกลเราก็จะสามารถรุมฆ่ามันได้อย่างแน่นอน ต้องขอฝากเรื่องนี้ไว้กับนายด้วยแล้วกัน เราจะตั้งค่ายกลกัน! ฉันจะไปบอกเรื่องนี้กับเหมี่ยวเหวินถังเอง !”
ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะพร้อมพูดกับเขาว่า
“ไม่จำเป็น จัดการไอ้สัตว์ร้ายนั่นแค่ฉันคนเดียวก็เกินพอแล้ว พวกนายจะต้องพักผ่อนเยอะๆ หากว่ามีคนช่วยมากไปฉันคิดว่ามันจะวุ่นวายเปล่าๆ”
ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ก็ได้ไปซื้อวัตถุดิบมากมายไม่ใช่แค่หินหยกชั้นดีเท่านั้น กระดาษ น้ำหมึก และสลักยันต์สายฟ้ามากมายเอาไว้ เขากลัวว่าผู้ติดตามของเซ่าหมิงเจิ้งและเหมี่ยวเหวินถังจะเห็นของเหล่านี้
ทำตัวไม่เตะตา !
จะทำให้ไม่มีปัญหา!
เรื่องที่เขาสามารถสร้างยันต์ได้นั้นนอกจากเพื่อนทั้งสองก็มีแค่พรตเฒ่าซือยี่เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้นั้นไม่สามารถแพร่งพรายออกไปให้คนอื่นๆรู้ได้อย่างแน่นอน
เซ่าหมิงเจิ้งก็ได้พูดออกมาว่า
“นายจะทำคนเดียว ? หรือให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนไหม ?”
ถังซิ่วเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า
“นายอยู่ที่นี่ ! ฉันจะไปวางค่ายกลที่อื่นแล้วเราค่อยล่อมันไปที่นั่น ฉันจะให้เหมี่ยวเหวินถังตามฉันไป นายคอยปกป้องคนที่เหลืออยู่ที่นี่”
เซ่าหมิงเจิ้งก็ได้พูดออกมาว่า
“ก็ดีเหมือนกัน หากว่าต้องการความช่วยเหลือของฉันก็แจ้งมาได้เลย ฉันจะรีบไปที่นั่นทันที”
ช่วงกลางดึก
ถังซิ่วและเหมี่ยวเหวินถังได้หลบซ่อนอยู่ในป่าไม้ ถังซิ่วได้เก็บสมุนไพรหลากหลายชนิดจากข้างทาง สมุนไพรเหล่านี้สามารถทำให้การไหลเวียนของเลือดนั้นดีขึ้นแต่หัวใจสำคัญของมันคือการที่มันสามารถล่อสัตว์ป่าได้เป็นจำนวนมาก
หลังจากที่ถังซิ่วได้มาถึงที่โลกแห่งนี้นั้นเขาก็ได้อ่านตำราโปรแกรมสมุนไพร ตำรายาสมุนไพรจีน ตำราจักรพรรดิเหลืองและตำรารวมรวบเภสัชวิทยา มันทำให้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรอย่างทะลุปรุโปร่ง
ก่อนจะถึงรุ่งเช้า
เหมี่ยวเหวินถังที่ได้แอบอยู่ในพุ่มไม้ก็ได้ถามออกมาว่า
“นายคิดว่าไอ้สัตว์ร้ายนั้นจะถูกดึงดูดโดยกลิ่นเหล่านี้จริงๆ ?”
ถังซิ่วได้พูดด้วยเสียงเบาๆว่า
“ในครั้งแรกที่มันกล้าเปิดฉากโจมตีพวกนายก่อนนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความดุร้ายและก้าวร้าวของมัน ที่นี่เองก็ได้ก่อกองไฟเอาไว้แล้วด้วย มันสมควรที่จะดึงดูดไอ้สัตว์ร้ายตัวนั้นได้และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ รอบๆที่แห่งนี้ก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกวานิลลาด้วย มันไม่สามารถทนกลิ่นหอมนั่นได้อย่างแน่นอน เราแค่จำเป็นต้องอดทนรอเท่านั้น”
เหมี่ยวเหวินถังเองก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเงียบๆเท่านั้น
เขานั้นเป็นผู้บ่มเพาะพลังแห่งเซียนซึ้งขาดความอดทนอย่างถึงที่สุดแต่ในเมื่อถังซิ่วนั้นกล้ายืนยันขนาดนั้น ความอดทนของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้น
รอบๆที่แห่งนี้ได้มีหมาป่าสองตัวปรากฏขึ้นพร้อมกับหอนเพื่อเรียกพรรคพวกของมัน ไม่นานหลังจากนั้นที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยดวงตาคู่สีเขียวเต็มไปทั่วทุกหนแห่ง พวกมันนั้นกลัวกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก
“อาหวู้ๆๆๆ~~~~”
ในพริบตานั้น!
หมาป่าพวกนั้นก็หอนออกมาอีกครั้งพร้อมกับรีบวิ่งไปอีกเส้นทางอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เกิดอะไรขึ้น ?”
เหมี่ยวเหวินถังได้ถามออกมาด้วยเสียงกระซิบ
ถังซิ่วได้หรี่ตาลงพร้อมกับปลดปล่อยจิตสัมผัสของเขาออกไปทั่วทั้งพื้นที่แถบนี้ก่อนที่มันจะแผ่นไปถึงระยะ200เมตร ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมพูดออกมาด้วยเสียงกระซิบว่า
“มันมาแล้ว”
ด้วยจิตสัมผัสของเขานั้นสามารถรับรู้ได้ถึงตัวตนของสัตว์ร้ายประเภทหนึ่งที่มีรูปลักษณ์เหมือนดั่งที่เหมี่ยวเหวินถังได้พูดไว้ จะเหมือนเสือก็ไม่ใช่ เสือดาวก็ไม่ใช่และสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือกลางหลังของมันนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลมนับไม่ถ้วน
“ตัวใหญ่กว่าแมวแค่เล็กกว่าเสือดาว อุปนิสัยก้าวร้าวเป็นอย่างมาก”
ถังซิ่วได้สังเกตมันพร้อมกับจำแนกทุกสิ่งทุกอย่าง
เขานั้นเป็นเหมือนนักล่าที่มีประสบการณ์ที่เฝ้าสังเกตเหยื่ออย่างระมัดระวังด้วยความอดทน สัตว์ตัวนั้นได้เข้ามาใกล้ค่ายกลของเขาเรื่อยๆและเหลือเพียงแค่10เมตรเท่านั้น หากว่ามันก้าวเข้ามาอีก10เมตรก็จะไม่มีทางได้ออกไปจากที่นี่ได้อีกแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
ทุกสิ่งที่อย่างนั้นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังจากที่สัตว์ร้ายตัวนั้นกำลังจะก้าวเข้าไป ...........