Returning From The Immortal World - 159
.......................................................................................................................................................................................
ในห้องที่ถูกจัดเตรียมนั้น
ถังซิ่วกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าขิมโบราณอันนั้นพร้อมกับสองมือที่เคลื่อนผ่านไปมา โดยรวมแล้วนั้นชิมอันนี้ถือว่าเป็นการสร้างขึ้นที่ดีทีเดียว
ครั้งหนึ่ง
ในสมัยที่ยังอยู่ที่ดินแดนแห่งนิรันด์นั้น ถังซิ่วเองก็ได้มีขิมที่เป็นเครื่องมือระดับนิรันดิ์อยู่อันหนึ่ง สายของมันนั้นทำมาจากเส้นเลือดของมังกรทองห้ากรงเล็บ มันถูกหล่อเลี้ยงโดยแก่นวิญญาณของนิรันด์มากว่าพันปีพร้อมกับถูขัดเกลามานานกว่าร้อยปีในทะเลแห่งเปลวเพลิง แม้ว่านิรันด์ธรรมดาจะได้ขิมนี่ไปก็สามารถฆ่านิรันด์ระดับสูงได้อย่างแน่นอน
“ถังซิ่ว นายเล่นขิมเป็นจริงๆงั้นหรอ ?”
เฉิงเยี่ยนหนานได้เดินมาที่ด้านหน้าของขิมโบราณอันนั้นพร้อมกับใบหน้าสวยสง่าของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ถังซิ่วรวบรวมสติกลับมาพร้อมพูดด้วยเสียงเบาๆว่า
“อืมม ก่อนหน้านี้เคยได้เรียนมาบ้าง”
ในแววตาจองเธอนั้นมีประกายแห่งความดูถูกออกมาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่เป็นไร ต่อให้นายจะเล่นได้ไม่ดีนักพวกเราก็จะไม่หัวเราะอย่างแน่นอน”
หยวนชูหลิงเองก็ได้พูดออกมาว่า
“พี่ชาย เราจะไม่สร้างความอับอายให้นายอย่างแน่นอน นายสามารถเล่นมันได้นิดหน่อยก็ถือว่าเก่งแล้วน่าเสียดายที่มันไม่ใช่กีต้าร์เพราะมันดูเท่กว่าเยอะ ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้ไปเล่นมันเพื่อจีบสาวกัน”
“ฟุฟฟฟฟ.....”
“ฮ่า ฮ่า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เฉิงเยี่ยนหนานและหญิงสาวคนอื่นๆได้หัวเราะออกมาทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของหยวนชูหลิง
ประตูของห้องวีไอพีนั้นได้ถูกเปิดออกจากภายนอก
“ดูเหมือนว่าพวกเธอจะสบายดีนะ คุยเรื่องอะไรกันอยู่งั้นหรอ ?”
เฉินเสี่ยวเฟินได้เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มขณะที่สังเกตไปที่ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในห้องด้วยสายตาที่กำลังตรวบสอบอะไรสักอย่าง สุดท้ายแล้วสานตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ถังซิ่วที่กำลังนั่งอยู่
เซี่ยหวานเฟิงได้เดินออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มว่า
“ป้าเฉิน เรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับทักษะการเล่นขิมของถังซิ่ว! เขานั้น........”
เฉินเสี่ยวเฟินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เขาคือถังซิ่วที่เธอพูดถึงงั้นหรอ ? สมัยนี้นั้นไม่ค่อยจะมีคนที่สามารถเล่นขิมโบราณได้เยอะนักและยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้วใหญ่ มา ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จักกับเพื่อทั้งสามของฉัน พวกเขาเป็นคุณครูที่สอนดนตรีอยู่ในเมืองหลวง”
“สวัสดีค่ะ อาจารย์ !”
เฉิงเยี่ยนหนานและคนอื่นๆก็ได้เรียกออกมา
ถังซิ่วนั้นไม่ได้พูดออกมาแต่กลับมองไปที่เฉินเสี่ยวเฟินด้วยคิ้วที่เหี่ยวย่นพร้อมกับกวาดสายตามองไปที่ฮ่วงจี่และคนที่เหลือ การที่เขาออกมาในวันนี้นั้นก็เพื่อที่จะพักผ่อนและไม่ต้องการคนภายนอกเข้ามาร่วมสนุกมากนักแต่เฉินเสี่ยวเฟินนั้นเป็นนายหญิงของที่นี่และเขาเองก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะปฏิเสธมัน
“ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
ในใจของเขาได้ปรากฏความคิดนี้ขึ้น
ฮ่วงจี่และคนอื่นๆที่ได้เห็นถังซิ่วนั้นก็ขมวดคิ้วโดยทันที พวกเขาทุกคนนั้นชินกับการได้รับความเคารพจากนักเรียนคนอื่นๆแต่กลับไม่เห็นมันในตัวของถังซิ่วแม้แต่น้อยและนั่นทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่อย่างไรก็ตามในสายตาของพวกเขานั้น ถังซิ่วเองก็เป็นแค่คนผ่านไปผ่านมาคนหนึ่งและพวกเขาก็แค่เข้ามาร่วมดูโชว์นี้เท่านั้น
พวกเขาทั้งสามได้นั่งลงบนโซฟาขณะที่มองไปที่เฉินเสี่ยวเฟินแล้วพูดออกมาว่า
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้บอกว่ามีคนจะมาเล่นขิมงั้นหรอ ? ทำไมยังไม่เริ่มสักทีหละ ? พวกเรานั้นเป็นนักดนตรีและอาจจะชี้แนะเขาได้บ้าง”
ท่าทางของเฉินเสี่ยวเฟินเองก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของฮ่วงจี่ เธอเองก็ได้เห็นท่าทางที่ไม่แสดงถึงความเคารพของถังซิ่วและต้องการที่จะเตือนเขาว่าอย่าได้เหิมเกริมมากนักเช่นกัน
ยังไงก็ตาม !
เธอนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะสั่งสอนถังซิ่วแต่พวกเขาทั้งสามนั้นเป็นครูสอนดนตรีและมีสิทธิที่จะสั่งสอนอย่างแน่นอน
เฉิงเยี่ยนหนานและคนอื่นๆที่ได้ยินคำพูดของฮ่วงจี่นั้นก็ได้หันกลับมามองทีถังซิ่ว
ตัวของถังซิ่วเองนั้นก็ไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขายังคงเงียบสงบและไม่มองไปที่ฮ่วงจี่และอื่นๆอย่างเคย เขาก้มหัวพร้อมกับมองไปที่ขิมโบราณอันนี้
“ติ้งงงงง...........”
เสียงใสของขิมได้ดังขึ้นหลังจากนิ้วที่ดูเรียวยาวของถังซิ่วได้ดีดไปที่สายเหล่านั้น
หลังจากนั้น
ถังซิ่วก็ปิดตาของเขาลงพร้อมกับมือขวาที่จับไปที่สายเหล่านั้นพร้อมกับใช้มือซ้ายเกามัน นิ้วของเขานั้นดูเป็นธรรมชาติมาก มือขวาของเขาลูบ ดึง ปล่อย เกา ดีด ล๊อค.........ส่วนมือซ้ายของเขาที่เหมือนกรงเล็บก็จับเป็นคอร์ด โยก ดึงและดีด
ในขณะที่กำลังอินไปกับการเล่นนั้น
มือทั้งสองของถังซิ่วเปรียบเสมือนเหมือนกับสายธารที่กำลังไหลพร้อมกับเสียงของขิมที่เหมือนกับฤดูใบไม้ร่วงได้มาถึง จังหวะช้าๆที่แสดงให้เห็นภาพของดินแดนที่เยือกเย็นและรกร้าง
หลังจากที่เสียงของขิมดังขึ้นไม่กี่วินาที ฮ่วงจี่และคนอื่นๆก็ได้สั่นสะท้านและตกใจเป็นอย่างมากเหมือนว่าตัวของพวกเขานั้นกำลังโดนไฟฟ้าช็อต อาจารย์ทั้งสองที่เหลือเองก็มองไปที่ถังซิ่วอย่างไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย
นี่เป็นเพลงที่สามารถแสดงออกได้จนถึงจิตวิญญาณและทำให้ครูสอนทั้งหมดนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าตัวของพวกเขานั้นได้ถูกฉุดเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยฤดูใบไม้ร่วงพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านอย่างเบาๆ
ความคิดถึง !
อยากกลับบ้าน !
พวกเขาเห็นนักเดินทางที่ห่างจากบ้านมาแสนไกลกำลังยืนอยู่บนเส้นทางที่แคบๆที่ไม่มีจุดจบของฤดูใบไม้ร่วงขณะที่มองไปที่บ้านเกิดของตัวเอง พวกเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกของชายคนนั้นที่อยากจะฉีกโลกนั้นออกด้วยความเป็นห่วงแม่ที่อยู่ที่บ้านเกิด
“ร่วง ร่วง สงคราม ช่างห่วงเหลือเกิน”
เสียงที่เบาและแหบแห้งได้เปล่งออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่เป็นห่วง บรรยากาศทั้งหมดเปลี่ยนไปเป็นโศกเศร้าโดยทันที ม่านหมอกได้ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง
“เส้นทางที่ไม่สิ้นสุดแห่งนิรันด์ที่น่าลังเลใจ”
ภาพตรงหน้าของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้งพร้อมกับเห็นเส้นทางที่ยาวสุดสายตาปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับชายหนุ่มที่แบกดาบศักดิ์สิทธิ์ไว้กลางหลัง ตะเกียกตะกายไปข้างหน้าด้วยการก้าวอย่างมั่นคงและไม่หันกลับมามองด้านหลังแม้แต่น้อย
“ฉันขอให้วันที่ฉันใฝ่หานั้นคืนกลับมา หลายพันปีของฤดูใบไม้ผลินั้นไม่เปลี่ยนแปลง ก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ขมขื่นทั้งเก้าสวรรค์เพื่อหาเส้นทางเหล่านั้น หัวใจที่รู้สึกเสียใจและหวังว่าจะสามารถกลับไปยังวันวานที่ผ่านมา”
ในพริบตา
หัวใจของฮ่วงจี่ เฉินเสี่ยวเฟินและผู้หญิงคนอื่นๆนั้นก็สั่นสะท้าน เหมือนดั่งโลกแห่งความฝันที่พวกเขาได้เห็นภาพของเด็กหนุ่มที่ตะเกียกตะกายไปทุกหนแห่งในสรรค์ทั้งเก้าเพื่อหาแสงสุดท้ายในการกลับบ้าน
โศกเศร้า เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน
นี่คือรสชาติของความเป็นหวงและกังวลที่ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเธอ สายธารแห่งน้ำตาสองสายก็ได้ไหลรินออกมาจากดวงตาของพวกเธอท่วมทั้งใบหน้า
หยวนชูหลิงเองก็สั่นสะท้านเช่นกัน เฉิงเยี่ยนหนายและเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆเองก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของพวกเธอนั้นกำลังขนลุกขึ้นหลังจากที่ได้ยินเสียงเพลงที่ถังซิ่วร้องออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง
ถังซิ่วที่นั่งอยู่ตรงขิมโบราณอันนั้นก็ได้เกาสายเร็วขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับดวงตาของเขาเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาบางๆขณะที่สายตาของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆและเพื่อมองเห็นผู้ชมภายในห้องที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ใช่!
ระลอกแห่งความสุขได้เกิดขึ้นในหัวใจของเขา !
หากว่าเขาเลือกได้นั้นเขาจะละทิ้งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่สูงส่งในดินแดนแห่งนิรนด์หรืออื่นๆ เขาขอเลือกที่จะกลับมาเป็นคนปกติและอยู่เคียงข้างแม่ของเขาและเฝ้าดูแลท่านอยู่ข้างเตียงยามที่ท่านแก่ชรา
หลังจากผ่านไปนาน
เฉินเสี่ยวเฟินนั้นได้หลุดออกมาจากโลกของเสียงเพลงพร้อมกับมองไปที่ถังซิ่วด้วยดวงตาสลึมสลือขณะที่เช็ดน้ำตาด้วยความสุข เสียงของเพลงนั้นได้กระตุ้นความรู้สึกของเธอเป็นอย่างมาก เธอไม่เคยคิดว่าในโลกนี้จะมีเพลงเช่นนี้อยู่ มันเหมือนกันการที่เธอนั้นได้ถูกครอบงำอย่างสมบูรณ์
เธอมองไปที่ถังซิ่วแบบไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำขอบคุณเขาอย่างไรดี เธอนั้นมีคำพูดมากมายอยู่ในใจแต่เธอก็ได้เปลี่ยนมันเป็นคำพูดเพียงสองคำเท่านั้น
“ขอบคุณ!”
ฮ่วนจี่ที่ได้หลุดออกมาจากภายมายาเหล่านั้นก็ได้มองไปที่เฉินเสี่ยวเฟินด้วยความโกรธหลังจากนั้นก็หันศีรษะไปมองที่ถังซิ่วด้วยความยากลำบากพร้อมกับความรู้สึกผิด
ก่อนหน้านี้ !
เธอได้พูดเยาะเย้อว่าจะสั่งสอนถังซิ่วแต่กลับถูกครอบงำโดยเสียงเพลงของเขา เธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องดนตรีและเป็นครูของโรงเรียนดนตรีชั้นนำแต่เมื่อเธอมองไปที่ถังซิ่วนั้นเหมือนดั่งว่าเขาเป็นปรมาจารย์ด้านขิมด้วยซ้ำและความใจแคบของเธอก่อนหน้านี้ก็ทำให้เธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
“ขอโทษ !”
ฮ่วงจี่ได้เดินมาที่ถังซิ่วพร้อมกับโค้งตัวเพื่อขอโทษถังซิ่วอย่างจริงใจ
ในขณะนี้
ผู้คนทั้งหมดในห้องก็ได้ตื่นขึ้นจากฝัน พวกเขามองไปที่ถังซิ่วด้วยความรู้สึกตกใจและเหมือนว่าพวกเขาได้พบกับประสบการณ์ที่ไม่น่าเชื่อเป็นอย่างมาก
“พี่ชาย นาย........”
ปากของหยวนชูหลิงกระตุกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะชะงักและไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไร ตอนนี้เขานั้นรู้สึกเชิดชูบูชาถังซิ่วมากกว่าเก่าหลายเท่าตัว
เฉิงเยี่ยนหนานและผู้หญิงคนอื่นๆเองก็ปาดน้ำตาของพวกเธอ ดวงตาของพวกเธอนั้นใสกระจ่างเป็นอย่างมากเหมือนดังมีดวงดาวระยิบระยับเปล่งแสงออกมาจากดวงตาของพวกเธอ ก่อนหน้านี้พวกเธอเองก็รู้สึกดูถูกทักษะการเล่นขิมของถังซิ่วอย่างมากเพราะพวกเธอไม่เคยได้ยินถังซิ่วพูดว่าเล่นขิมเป็นแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ในขณะนี้
พวกเธอมองไปที่ถังซิ่วเหมือนกำลังมองไปที่ซุบเปอร์สตาร์คนหนึ่งพร้อมกับรู้สึกยกย่องเขาอยู่ภายในใจ
“นี่เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นบนโลกมนุษย์จริงๆงั้นหรอ ?”
อาจารย์ทั้งหลายที่มองไปที่ถังซิ่วด้วยท่าทางซับซ้อนพร้อมถอนหายใจออกมา
ถังซิ่วยืนขึ้นช้าๆพร้อมพูดออกมาอย่างสงบว่า
“นี่ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว”
“อย่าเพิ่ง !”
เฉินเสี่ยวเฟินและฮ่วงจี่ได้โห่ร้องออกมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสียงทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกันนั้น พวกเธอก็รีบปาดน้ำตาของตัวเองทันที
ฮ่วงจี่ได้รีบวิ่งไปตรงหน้าถังซิ่วพร้อมสังเกตุเขาอย่างระมัดระวังและถามออกมาว่า
“เธอชื่อถังซิ่วใช่ไหม ? นักเรียนมัธยมของโรงเรียนสตาร์ซิตี้ ? กำลังจะเข้าทดสอบมหาวิทยาลัย ?”
“ใช่!”
ถังซิ่วพยักหน้า
ฮ่วงจี่ได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“เธอไม่จำเป็นต้องเข้ารับการทดสอบ ! เธอมาที่โรงเรียนของเรา ! สามีของฉันนั้นเป็นรองผู้อำนวยการของโรงเรียนและมีโควตาพิเศษอยู่ในมือ เธอไม่จำเป็นต้องสอบอะไรทั้งนั้นและสามารถเข้าเรียนได้ทันที ฉันรับประกันเลยว่าเธอนะไม่ต้องกังวล..............................”