ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0280 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0282 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0281 [อ่านฟรี]


ตอนที่ 281 : ซ่อมบำรุงค่ายอาคม

เมิ่งเฟยหลิงรีบกลับไปเปลี่ยนชุด นำฉินหยุนออกจากบ้านพัก ขณะที่พวกเขาออกมานั้นเอง เมิ่งเถาก็บินเข้ามาพอดี

“องค์รัชทายาท สัตว์อสูรบุกเข้ามาจริงแต่ไม่มาก เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับที่เก้าจำนวนหนึ่ง!” เมิ่งเถากล่าว “พวกเรารับมือกับพวกมันได้ไม่ยากนัก”

ฉินหยุนคาดเดาว่าอีกไม่นานนักที่พวกสัตว์อสูรจะบุกเข้าโจมตี ในเวลาน้อยกว่าวัน ก็มีสัตว์อสูรบุกมาถึงแล้วจริง

“สัตว์อสูรพวกนั้นย่อมมาที่นี่เพื่อสอดแนมเส้นทางก่อน! ดูเหมือนว่าเชี่ยอวี้เซินและคณะจะเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว “เมื่อสัตว์อสูรโจมตีเมือง สิ่งแรกที่พวกเราคิดทำ คือส่งอาจารย์จารึกสู่แกนกลางของค่ายอาคม ด้วยวิธีการนี้ จะเป็นเรื่องง่ายแก่พวกเขาเพื่อปั่นป่วนค่ายอาคม!”

เมิ่งเถามองขึ้นท้องฟ้า แม้เชี่ยอวี้เซินและคณะถูกจับตัวแล้ว แต่เขายังคงหวั่นเกรงยามเมื่อนึกถึง

“ผู้อาวุโสเมิ่ง ให้ข้าไปยังแกนกลางของค่ายอาคมและคุ้มกันที่นั่น สัตว์อสูรฝูงใหญ่จะต้องมาถึงในอีกสองหรือสามวันถัดจากนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักจารึกเทวะไม่น่าจะมาถึงรวดเร็วเพียงนั้น ก่อนพวกมันมาถึง สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา คือปกป้องเมืองเอาไว้ให้ดี!” ฉินหยุนกล่าว

“ได้ เช่นนั้นด้านนอกให้พวกเราจัดการ!” เมิ่งเถาพยักหน้า บอกต่อเมิ่งเฟยหลิง “เฟยหลิง นำทางแก่องค์รัชทายาทและร่วมทางไปด้วย เช่นนี้ฝ่าบาทจะได้ไม่เบื่อหน่ายจนเกินไป!”

“รับทราบ!” เมิ่งเฟยหลิงยิ้มตอบ ก่อนจะดึงฉินหยุนสู่ภูเขาใหญ่ตรงกลางคฤหาสน์

ฉินหยุนตามเมิ่งเฟยหลิงสู่ด้านในถ้ำ ผ่านเส้นทางในถ้ำ จนกระทั่งถึงห้องหินขนาดใหญ่

ห้องหินวงกลมแห่งนี้กว้างเกือบสองร้อยเมตร มีผลึกแก้วพิเศษอยู่บนพื้นเกิดขึ้นเป็นรูปแบบมากมาย

ที่ตรงกลางวางเอาไว้ด้วยกล่องขนาดใหญ่ ภายในบรรจุเหรียญผลึกแก้วเอาไว้

ในช่วงเวลาปกติ อาคมใหญ่จะดูดกลืนพลังวิญญาณจากน้ำพุวิญญาณที่พื้น จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน เพื่อคงสภาพการทำงานของอาคมใหญ่ไว้

หากม่านพลังที่อาคมปลดปล่อยออกถูกโจมตีด้วยพลังอำนาจรุนแรง ตัวค่ายอาคมจะดูดกลืนพลังงานจากเหรียญผลึกในกล่องเพื่อทำให้ม่านพลังแข็งแกร่งขึ้น

ภาษีที่เก็บภายในนครราชาปีศาจ โดยหลักก็เพื่อคงสภาพการทำงานของอาคมใหญ่เอาไว้

“ตราบเท่าที่ค่ายอาคมนี้ไม่ได้รับความเสียหาย ข้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจำนวนมากเพื่อบำรุงรักษาพวกมัน” ฉินหยุนมองที่ค่ายอาคมจริงจังขณะกล่าวคำ “เรื่องหนึ่งที่ข้าต้องทราบคือ เมื่อค่ายอาคมทำงาน จะต้องไม่มีพลังงานใดถูกอุดตัน ทันทีเมื่อเกิดการอุดตัน ข้าต้องจัดการมันอย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อทั้งค่ายอาคม!”

“อาคมตอนนี้มีปัญหาหรือ? กระทั่งว่าเชี่ยอวี้เซินและคณะอยู่ในคฤหาสน์นี้มาหลายวัน แต่พวกเราหาได้อนุญาตให้พวกเขาเข้ามาไม่!” เมิ่งเฟยหลิงกล่าว

“ถือเป็นเรื่องดีที่ไม่ได้ให้พวกมันเข้ามา ไม่เช่นนั้นพวกมันอาจทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในอันตราย!” ฉินหยุนถอนหายใจโล่งอกไปคราหนึ่ง “หากพวกมันทำอะไรลงไปจริง ด้วยระยะเวลาน้อยนิดพวกเราไม่มีทางทราบได้!”

“ใครส่งพวกมันมา? พวกมันเป็นพันธมิตรกับมนุษย์อสูรหรือ? ข้ารู้สึกว่าพวกมันไม่มีความเหมาะสมพอที่จะทำเรื่องเช่นนี้ สมควรมีกองกำลังใหญ่หนุนหลังพวกมันอยู่!” เมิ่งเฟยหลิงเอ่ยถามสับสน “ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พวกมันถึงกับเป็นมิตรกับมนุษย์อสูรได้!”

ฉินหยุนบ่อยครั้งที่คิดถึงคำถามนี้ เขาขมวดคิ้วและถอนหายใจ “ข้ายังไม่ทราบ แต่เรื่องนี้สำคัญยิ่ง หากมีคนอย่างเชี่ยอวี้เซินจำนวนมากที่หลบรอดเข้ามาในเมือง เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“พวกเราได้แต่รอให้ผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักจารึกเทวะมาถึงเพื่อสืบสวนเชี่ยอวี้เซิน พวกเขาน่าจะหาทางเค้นความจริงออกมาได้!” เมิ่งเฟยหลิงกล่าวขณะตามฉินหยุนอยู่ด้านหลัง

ฉินหยุนเดินไป ปลดปล่อยพลังจิตเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ไปด้วย ทำให้เขาสามารถพบช่องทางตีบตันแต่แรกเพื่อรับมือได้ทันท่วงที จึงไม่มีความเสียหายใดเกิดขึ้นกับอาคม

ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ฉินหยุนไม่พบว่ามีปัญหาใหญ่อันใดอีก กลับกัน มีแต่ปัญหาเล็กน้อย ผังวิญญาณส่วนหนึ่งแทรกแซงกันเอง พลังงานจึงเกิดความโกลาหลเมื่อปะทะกับอีกหนึ่ง

“ตอนนี้ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว! หากค่ายอาคมทำงาน ข้าจะตั้งสมาธิให้มากกว่านี้!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว นั่งลงบนเก้าอี้หินซึ่งวางไว้ข้างห้องหินแห่งนี้

เมิ่งเฟยหลิงนำเอาแส้วิญญาณระดับสูงออกมาพลางบุ้ยปาก “เสี่ยวหยุน กระทั่งว่ามีสัตว์อสูรบุกมา ข้าก็ได้แต่อยู่ที่นี่ร่วมกับเจ้า ไม่อาจออกไปต่อสู้กับสัตว์อสูร เป็นข้าคิดอยากลองแส้นี้ยิ่งนัก!”

“โอกาสภายหน้าย่อมมาถึงอย่างแน่นอน!” ฉินหยุนยิ้มตอบ “ว่าไป รบกวนท่านอย่าได้เที่ยวป่าวประกาศว่าข้าเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง ข้าไม่อยากเป็นจุดสนใจในช่วงเวลานี้เท่าใดนัก!”

เมิ่งเฟยหลิงเร่งรีบพยักหน้ารับหัวเราะ “เสี่ยวหยุน เจ้ากังวลเรื่องจะมีคนมากมายร้องขอให้เจ้าช่วยทำอุปกรณ์หรือ? นี่ก็เป็นสิ่งที่ลุงใหญ่ของข้าคิดอ่านวางแผนเช่นกัน กระนั้นพวกเขายังกระดากใจเกินไปที่จะกล่าวออก!”

“พี่สาวอย่าได้ห่วง เมื่อเวลามาถึง ข้าย่อมช่วยเหลือตระกูลเมิ่งของท่านขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณสักหลายชิ้น!” ฉินหยุนตอบ

“อย่าได้ขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณระดับสูง เพียงอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางก็เพียงพอ ถึงตอนนั้นตระกูลเมิ่งของเราจะไม่คิดเอารัดเอาเปรียบ จะใช้ไข่ผลึกแก้วสัตว์อสูรแลกเปลี่ยนอย่างสมน้ำสมเนื้อ!” เมิ่งเฟยหลิงยิ้มให้ฉินหยุนพร้อมจิ้มหน้าไปด้วย

ฉินหยุนหันมองรอบ พบว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลวนัก เขาจึงกล่าว “พี่เฟยหลิง เหตุใดไม่ให้ข้าหลอมอุปกรณ์ที่นี่เสียเลยเล่า? ตระกูลเมิ่งของท่านต้องการอาวุธวิญญาณประเภทใด ท่านตัดสินใจได้หรือไม่?”

เมิ่งเฟยหลิงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าได้! นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณใดที่เจ้าหลอมออกมา ลุงใหญ่ของข้าและผู้อื่นย่อมต้องยิ้มรับเอาไว้! เจ้าคงทราบว่าทุกวันนี้ยิ่งมายิ่งโกลาหล อาจารย์จารึกจึงหาตัวได้ยากยิ่ง!”

ก่อนทำการหลอม ฉินหยุนต้องหลอมเตาหลอมให้แก่ตัวเองเสียก่อน

ตราบเท่าที่มีโอกาส เขามักจะรวบรวมวัสดุสำหรับการหลอมอุปกรณ์อยู่เสมอ ทั้งกระดูกสัตว์และเหล็กวิญญาณ ดังนั้นแล้วเขาจึงมีวัสดุสำรองอยู่มาก ทำให้สามารถขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณได้ไม่น้อย

โดยเฉพาะกระดูกสัตว์อสูรระดับที่แปดหรือเก้า พวกมันสามารถนำมาขัดเกลาเป็นยันต์ระดับสูงโดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นกระดูกเหล็กกล้าแต่อย่างใด หากไม่ได้มีเป้าหมายที่ต้องทำให้ทรงอำนาจอย่างถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระดูกเหล็กกล้า

ฉินหยุนผสมกระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศที่เหลือ เข้ากับกระดูกเหล็กกล้าระดับราชันเล็กน้อยก่อนหลอมพวกมันเข้าด้วยกันกับกระดูกสัตว์จำนวนมาก เขาต้องการใช้พวกมันเพื่อสร้างเตาหลอมขึ้นมา

สิ่งสำคัญที่สุดของเตาหลอมก็คือ มันต้องทนต่อความร้อนสูง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแกะสลักผังแปรธาตุเอาไว้ที่ด้านใน

ด้วยผังแปรธาตุ จะทำให้มันสามารถทานทนต่อความร้อนสูง ไม่หลอมละลายไปก่อนได้

นอกจากนี้ เตาหลอมที่ดียังต้องมีพลังการหลอมที่ดีเยี่ยม มันจะสามารถหลอมเหลวได้รวดเร็วและดูดกลืนเปลวเพลิงได้ดี รวมถึงการเสริมแรงแก่เปลวเพลิง เพื่อเร่งกระบวนการหลอมสิ่งที่ถูกนำเข้าสู่เตาหลอม

นอกจากผังแปรธาตุแล้ว ยังต้องมีผังอัคคี

เพื่อคงเสถียรภาพเอาไว้ ฉินหยุนต้องแกะสลักผังแข็งตัว แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดย่อมเป็นผังแปรธาตุ เขาแกะสลักพวกมันทั้งสิ้นสามชุด เพื่อเป็นการรับประกันว่าความสามารถในการหลอมจะมากพอ

เมิ่งเฟยหลิงรับชมจากด้านข้าง หาได้รู้สึกเบื่อแต่อย่างใดไม่ เป็นเพราะระหว่างที่นางรับชม หากเกิดคำถามขึ้น ฉินหยุนจะตอบนางอย่างอดทน เป็นการทำให้นางมีความรู้เพิ่มมากขึ้น

“ในที่สุดก็ขัดเกลาเจ้าตัวใหญ่นี่ได้สำเร็จ!” ฉินหยุนเคาะที่เตาหลอมทองเหลืองซึ่งตนทำขึ้นดัง แก๊ง แก๊ง แก๊ง

เมิ่งเฟยหลิงปาดเช็ดคราบเหงื่อที่ใบหน้าเขาให้พร้อมยิ้มรับ “น้องหยุน อุปกรณ์วิญญาณที่เจ้าขัดเกลาขึ้นล้ำค่าอย่างยิ่ง! หากเจ้าคิดขาย ไม่ใช่ว่าความร่ำรวยอยู่ใกล้แค่เอื้อมหรือ?”

“ข้าไม่อาจขายอาวุธวิญญาณได้ง่ายเช่นนั้น หากขายไปและตกอยู่ในมือศัตรู นั่นไม่นับเป็นการช่วยเหลือศัตรูของข้าแล้วหรือ?” ฉินหยุนหัวเราะ “ด้วยเหตุนี้ ข้าเพียงขายแต่ให้คนที่เชื่อใจได้!”

เตาหลอมที่ฉินหยุนหลอมขึ้น ดูเรียบง่ายอย่างมาก หาได้มีการแกะสลักลวดลายอะไร เป็นเพียงแต่เตาสูงที่มีฝาปิดก็เท่านั้น หากผู้อื่นมองที่มัน คงไม่มีใครคิดว่านี่เป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงเป็นแน่

“ตอนนี้ก็มีเวลาว่างแล้ว ให้ข้าเริ่มขัดเกลาอาวุธวิญญาณระดับกลางแล้วกัน!” ฉินหยุนนำเอากระดูกสัตว์ออกมา พร้อมโยนพวกมันใส่เตาหลอม ก่อนจะใส่กระดูกเหล็กกล้าระดับกลางจำนวนหนึ่งลงไป

ความเร็วการหลอมเหลวของเตาหลอมใหม่ ถือว่ารวดเร็วยิ่ง โดยเฉพาะหลังดูดกลืนเปลวเพลิงตะวันทมิฬสีม่วงเข้าไป เพียงไม่กี่วินาที กระดูกเหล็กกล้าระดับกลาง ก็หลอมรวมเข้ากับกระดูกสัตว์อสูรระดับแปดเป็นที่เรียบร้อย

ฉินหยุนนำเอาถังกระดูกเหล็กกล้าออกมา และนำเอาวัตถุหลอมเหลวในเตาหลอมออก จากนั้น จึงค่อยใส่ผงผลึกน้ำแข็งพิเศษลงไปเพื่อทำให้ของเหลวในถังแข็งตัว

หลังผ่านกระบวนการแข็งตัว จะได้เป็นวัสดุที่แข็งอย่างยิ่ง หลังผ่านการหลอมมาได้ ตอนนี้มันจะเข้าสู่กระบวนการขึ้นรูปเป็นดาบและกระบี่อันวิจิตรงดงาม

เพียงเวลาสี่ชั่วโมง ฉินหยุนจัดการหลอมอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางขึ้นเสร็จชิ้นหนึ่ง ในช่วงเวลาสองวัน เขาได้ขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางเสร็จสิ้นไปหกชิ้นงาน มีทั้งกระบี่ ดาบ และหอก

เมิ่งเฟยหลิงยินดีไม่น้อย นางรับอาวุธเหล่านั้นมาพร้อมเร่งรีบออกไปจากห้องหินใต้ดินแห่งนี้โดยทันที

“หากเราก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ก็น่าจะขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณชั้นเลิศขึ้นมาได้!” ฉินหยุนรู้สึกว่าพลังจิตของตนตอนนี้ คล้ายจะเจออาการตีบตันเข้า

แน่นอนว่า อาการตีบตันนี้มีปัญหามาจากการที่เขาไม่ทราบวิธีก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า!

ขั้นตอนนี้ กล่าวกันว่ายากเย็นอย่างยิ่ง คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องก้าวถึงขีดสุดของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า เมื่อนั้นจะเผชิญหน้ากับโอกาสก่อนจึงค่อยก้าวข้ามไปได้

ฉินหยุนไม่ทราบเรื่องขอบเขตวรยุทธ์เต๋ามากนัก อันที่จริง มีน้อยคนมากนักที่ทราบในเรื่องนี้

จะมีก็แต่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ที่ทราบถึงกุญแจในการก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า

“ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ถือว่าเป็นคนละโลกกับผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์” ฉินหยุนพึมพำกับตนเอง นึกย้อนถึงสิ่งที่หลันเฟิงจินบอกต่อเขา

หากผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า คิดอยากก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า พวกเขาต้องฝึกฝนวัชระแก่นภายใน ให้กลายเป็นแก่นเต๋า!

ด้วยแก่นเต๋า และวัชระกายวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เขาจะสามารถทานทนต่อความร้ายแรงของขุมพลังได้

ที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องชักนำพลังสู่ร่างกาย ขัดเกลาวัชระกายวรยุทธ์ ท้ายที่สุดค่อยควบแน่นวัชระแก่นภายในร่างกาย

ที่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า อันดับแรกคือการก่อเกิดแก่นเต๋า จากนั้นจึงค่อยฝึกฝนวิชายุทธ์ที่ทรงพลังเพื่อขัดเกลากายเต๋า

ฉินหยุนมองที่วัชระแก่นภายในทั้งสามของตนและส่ายหน้า เขายังไม่ควรคิดเรื่องก้าวสู่อีกขั้นในตอนนี้ เขาเพิ่งก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า หากเขาเร่งรีบคิดถึงเรื่องขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจนเกินไป การฝึกตนของเขาอาจแตกซ่านได้

“ยังคงมีเวลาอีกเกือบปี เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันเมื่อใกล้ถึงเวลา! หากเราไม่อาจเลื่อนระดับ ก็แค่ใช้พลังของวัชระแก่นภายในทั้งสาม ก็สมควรเพียงพอต่อสู้กับเชี่ยวหยางหลงได้แล้ว!”

ฉินหยุนมองที่อาคมใหญ่ในห้องหิน เขาเริ่มนึกถึงมนุษย์อสูร เดิมเขาวางแผนปล่อยให้โมโมได้พบกับมนุษย์อสูร เพื่อดูว่านางทราบเรื่องพวกเขาเพียงใด

ตอนนี้กลับมีสัตว์อสูรอยู่ด้านนอกเมือง เขาต้องเฝ้าระวังค่ายอาคมใหญ่ เพื่อให้การทำงานของอาคมเป็นไปอย่างไหลลื่น เขาไม่อาจก้าวออกจากห้องนี้ได้แม้ครึ่งก้าว

ระหว่างรอคอยเมิ่งเฟยหลิงกลับมา เขานึงนำเอาชุดอุปกรณ์ออกมาจัดทำยันต์สะกดกายรอเวลา

นครราชาปีศาจกว้างใหญ่ หากสัตว์อสูรเข้าโจมตี ฝ่ายศัตรูย่อมต้องส่งสัตว์อสูรจำนวนมากมา ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนคิดว่าการเตรียมยันต์สะกดกายไว้ก่อนเป็นเรื่องที่สมควรทำ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด