ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0276
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0278

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0277


ตอนที่ 277 : คฤหาสน์ราชาปีศาจ

ฉินหยุนเดินตามองครักษ์ ผ่านสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ผ่านระเบียงทางเดินยาวที่สร้างขึ้นอยู่เหนือสระน้ำ เขาจึงได้เห็นเมิ่งเฟยหลิง นางอยู่ตรงชายหาดซึ่งมีภูเขาจำลองขณะพูดคุยเสียงดังกับชายวัยกลางคนจำนวนหนึ่ง

เมิ่งเฟยหลิงสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน เส้นผมยาวของนางมัดรวบไว้ด้านหลังยาวจนถึงเอว เรือนร่างของนางสง่างามและดึงดูด ในตอนนี้ ใบหน้าทรงเสน่ห์ของนางกำลังเปี่ยมด้วยโทสะขณะโต้เถียงกับชายวัยกลางคนจำนวนหนึ่ง

“ข้าบอกไปแล้ว หากไม่ได้ข้ายินยอม พวกท่านไม่อาจเดินไปไหนมาไหนในคฤหาสน์แห่งนี้ได้! หากต้องการไปที่ใด ข้าจะจัดแจงให้คนร่วมทางไปด้วย! การที่พวกท่านเดินไปไหนมาไหนในคฤหาสน์ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม!” เมิ่งเฟยหลิงตะโกน

“เด็กน้อย พวกเราคืออาจารย์จารึก รับผิดชอบคุ้มกันนครหลวงของเจ้า ให้ความเคารพแก่พวกเรามากกว่านี้ด้วย!” ชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดงดงามสีแดงแค่นเสียงตอบกลับ “หากเจ้าไม่ขออภัยต่อพวกเรา เจ้าก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดปัญหาอันใดขึ้นในเมืองนี้!”

เมิ่งเฟยหลิงพลันมีโทสะอีกครา “เหอะ! ทั้งหมดเป็นความผิดพวกท่าน! เป็นพวกท่านเดินไปไหนมาไหนในคฤหาสน์ทั้งยังสร้างความหยามเหยียดแก่หญิงรับใช้ที่นี่! ที่นี่ไม่ใช่บ้านพวกท่าน อย่าได้อหังการอันใดในที่แห่งนี้! หากไม่คิดออกปากยอมขออภัยแก่ข้า เช่นนั้นก็จงขออภัยต่อข้ารับใช้ของคฤหาสน์นี้เสีย!”

ชายวัยกลางคนเริ่มมีโทสะขณะโต้เถียง “เจ้าต้องการให้ข้าขออภัยต่อข้ารับใช้คฤหาสน์เจ้าหรือ? นี่ถือเป็นการยั่วยุพวกเรา! ไม่ใช่ว่าก็แค่หญิงรับใช้หรืออย่างไร? ข้าชอบพอนางถือเป็นโชคลาภด้วยซ้ำ เจ้าควรทราบว่าพวกเราทั้งหมดนี่เป็นอาจารย์จารึกระดับกลาง สถานะของพวกเราล้วนสูงส่ง!”

ด้วยความโกรธสุมในอกเต็มที่ เมิ่งเฟยหลิงจึงโต้เถียงกับชายวัยกลางคนเหล่านี้อีกหลายครั้งครา

ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวแปลกประหลาด เขาจึงเอ่ยถามต่อองครักษ์ข้างกาย “อาจารย์จารึกเหล่านี้มีเรื่องอันใดกัน? มักเป็นเช่นนี้หรือ?”

องครักษ์กล่าวตอบ “อาจารย์จารึกที่รับผิดชอบนครราชาปีศาจของพวกเราหายตัวไป เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงจ้างกลุ่มอาจารย์จารึกมารับหน้าที่แทน แม้พวกเขาเป็นเพียงอาจารย์จารึกระดับกลาง กระนั้นฝีมือที่มีไม่แย่ ทั้งยังมีประสบการณ์บำรุงรักษาอาคมเป็นอย่างดี ยกเว้นก็แต่ ท่าทีพวกเขามักเลวร้ายเช่นนี้เสมอ มักรังแกหญิงรับใช้ในคฤหาสน์ของพวกเราหลายต่อหลายครั้ง นายหญิงน้อยมีโทสะต่อพวกเขามานานแล้ว แต่วันนี้ เป็นนายหญิงไม่อาจอดทนได้อีก ดังนั้นจึงเริ่มโต้เถียงกับพวกเขาเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินหยุนลูบคางตนเองขณะเอ่ยถาม “อาจารย์จารึกพวกนี้มาใหม่?”

องครักษ์พยักหน้ารับ “พวกเราจัดหาพวกเขามาเมื่อเจ็ดวันก่อน! เพราะมีสัตว์อสูรเข้าโจมตีเมืองอยู่เสมอ อาคมป้องกันจึงต้องมีการตรวจสอบบ่อยครั้ง ในเมื่อโลกภายนอกอยู่ในสภาพโกลาหล จึงไม่ใช่เรื่องง่ายจัดหาอาจารย์จารึก กระทั่งว่าพวกเขานิสัยเลวร้าย พวกเราก็ได้แต่อดทน หากไม่มีอาจารย์จารึกจำนวนหนึ่งคุ้มกันอาคมใหญ่ ทั้งเมืองอาจตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”

“เข้าใจละ เจ้ากลับไปได้แล้ว” ฉินหยุนตอบ

องครักษ์เมื่อจากไป ฉินหยุนจึงเดินผ่านระเบียงทางเดิน ไปยังด้านข้างของภูเขาจำลอง

เมิ่งเฟยหลิงที่มีโทสะ ไม่ทันพบว่าฉินหยุนมาอยู่ทางด้านหลัง กลับกัน เป็นอาจารย์จารึกวัยกลางคนกลุ่มนั้นที่พบเห็นฉินหยุนเดินเข้ามา

“เจ้า เป็นแค่ข้ารับใช้ แต่ขาดวินัยนัก! ถึงกับเข้ามาโดยไม่ร้องขอ!” ชายวัยกลางคนชุดแดงตะคอกใส่ฉินหยุน เพราะเมิ่งเฟยหลิงยั่วยุโทสะพวกเขาอย่างไม่ยี่หระ พวกเขาจึงได้แต่ระบายใส่ฉินหยุนที่เพิ่งเข้ามาแล้ว

เมิ่งเฟยหลิงหันกลับ เผยความประหลาดใจที่พบว่าเป็นใบหน้าคุ้นเคย นางเอ่ยถาม “ฉินหยุน เหตุใดจึงมาที่นี่?”

“ข้าผ่านมาน่ะ ก็เลยคิดมาเยี่ยมเยือนพี่เฟยหลิงเสียหน่อย!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว

เมิ่งเฟยหลิงหันมองอาจารย์จารึกวัยกลางคนแค่นเสียงกล่าวคำ “พวกเจ้าช่างหามีตาไม่ นี่คือองค์ชายรัชทายาทแห่งเทียนฉิน!”

ชายวัยกลางคนชุดสีแดงหาได้นำมาคิดจริงจัง ทั้งยังเหยียดหยันใส่ “แล้วอย่างไร? เขาก็แค่คนที่ถูกไล่ออกจากสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ชัดเจนว่าสถาบันยุทธ์ไม่ได้ให้ค่าเขาแต่อย่างใด เป็นองค์ชายรัชทายาทแล้วอย่างไร? ความปลอดภัยของเขาที่นี่ล้วนขึ้นอยู่กับพวกเรา! หากพวกเราไม่บำรุงรักษาอาคมใหญ่ของเมืองแห่งนี้ เขาคงไม่กล้ามีหน้าอยู่ที่นี่นานนัก!”

“จักรวรรดิเทียนฉินโดนสัตว์อสูรรุกราน เป็นผลให้หลายเมืองตกอยู่ในอันตราย นอกจากใช้ทรัพยากรของจักรวรรดิอย่างฟุ่มเฟือยแล้ว องค์ชายรัชทายาททำอันใดได้? เขามีความสามารถรับประกันความปลอดภัยของทั้งเมืองหรือ? มีแต่พวกเราจึงสามารถรับประกันความปลอดภัยของเมืองได้!” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกล่าวเหยียดหยันออกมาเสียงดัง

“เหมือนจำได้ว่าเป็นอาจารย์จารึกเช่นกันนี่! ทว่าก็แค่ระดับต้น การที่เขาจะก้าวถึงระดับกลางได้ย่อมเป็นเรื่องยากเย็น กล่าวได้ว่าอาคมวิญญาณระดับกลางศึกษายากเย็นยิ่ง อย่างมาก เขาก็แค่ขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางสวะได้ก็ดีถมไปแล้ว”

“ใช่ กับเด็กขนยังไม่ขึ้นเช่นนี้ ต่อให้เก็บตัวฝึกฝนจนกระทั่งเส้นผมขาวเป็นดอกเลา ก็ยังไม่อาจเป็นอาจารย์จารึกระดับกลางได้!”

“ในยุคนี้ องค์ชายรัชทายาทหาได้ทำอันใดเป็นไม่ กลับเป็นอาจารย์จารึกที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทั้งเมือง พวกเราต่างหากที่ควรได้รับความเคารพมากกว่าองค์ชายรัชทายาท!”

อาจารย์จารึกวัยกลางคนกล่าวคำยั่วยุต่อฉินหยุน ทั้งยังมองด้วยสายตาไม่ลดละ

เมิ่งเฟยหลิงเริ่มโกรธขึ้นมา ทว่านางไม่อาจโต้เถียง นางทราบว่าอาคมใหญ่ของนครราชาปีศาจจำเป็นต้องได้รับการบำรุงดูแลเสมอ ไม่อย่างนั้นแล้ว จะเป็นเรื่องง่ายที่สัตว์อสูรจะบุกฝ่าเข้ามา

“นี่พวกท่านเป็นอาจารย์จารึกระดับกลางจริง?” ฉินหยุนเอ่ยถามพร้อมยิ้มอ่อน

“แน่นอน!” ชายวัยกลางคนชุดแดงเอ่ยตอบภาคภูมิ “นามข้าคือเชี่ยอวี้เซิน เจ้าสามารถสอบถามถึงนามข้า! ท่ามกลางอาจารย์จารึกระดับกลาง ข้าจัดอยู่ในห้าอันดับแรก ท่ามกลางอาจารย์จารึกระดับกลาง หากเทียบกับข้า ข้าล้วนมีระดับชั้นเหนือกว่า!”

ถึงตอนนี้ เมิ่งเฟยหลิงหาได้กล่าวคำใด เพราะนางทราบว่าฉินหยุนแข็งแกร่งเพียงใดในวิถีจารึกแห่งเต๋า เพียงความจริงที่เขาขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณเก็บของได้ ก็เป็นสิ่งที่หลายคนยกย่องแล้ว

“เช่นนั้นข้าขอถามท่านเชี่ย อุปกรณ์วิญญาณระดับชั้นสูงสุดที่ท่านขัดเกลาได้คืออะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ข้าเองก็เป็นอาจารย์จารึก สนใจแข่งกันในเรื่องนี้หรือไม่?”

เชี่ยอวี้เซินเป็นอาจารย์จารึก ดังนั้นจึงได้ยินมาบ้างว่าฉินหยุนสามารถขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณทรงพลัง ยกตัวอย่าง ค้อนราชันยักษ์วิญญาณที่ทรงอำนาจยิ่ง กล่าวกันว่ามันเป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับสูง ทว่าเขาไม่เชื่อว่าฉินหยุนขัดเกลามันด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าต้องมีผู้อื่นลอบให้ความช่วยเหลือแก่ฉินหยุนอย่างแน่นอน

สำหรับกระเป๋ามิติเก็บของที่ฉินหยุนหลอมขึ้น เขาย่อมทราบดี ทว่ากระเป๋ามิติเก็บของ หาได้ใช่อาวุธวิญญาณสำหรับต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่อาจนำมาเทียบเปรียบแข่งขัน

“ข้าทราบว่าเจ้ามีค้อนราชันยักษ์วิญญาณที่ดีอยู่อันหนึ่ง ทว่าทุกคนต่างทราบว่าเจ้าหาได้ขัดเกลาค้อนราชันยักษ์วิญญาณนั้นด้วยตนเอง ไม่มีหลักฐานใดว่าเจ้าขัดเกลามันด้วยตนเอง หากเจ้านำค้อนราชันยักษ์วิญญาณออกมาแข่งขัน ข้าย่อมต้องพ่ายแพ้แล้ว” เชี่ยอวี้เซินแค่นเสียงตอบ

ก่อนหน้านี้ ตอนฉินหยุนและหลันเฟิงจินไปยังสาขาหลัก เขาเคยหลอมกระดูกเหล็กกล้าระดับราชัน ณ ที่ตรงนั้น

เดิมทีเรื่องดังกล่าวสมควรเป็นที่กล่าวขานถึง แต่กระนั้น อาจารย์จารึกระดับสูงในที่นั้นล้วนเก็บงำเรื่องนี้หาได้ประกาศออกไป พวกเขาเป็นกังวลว่าจะกลายเป็นตนเองที่กลายเป็นที่ขบขัน

ด้วยเหตุนี้ เชี่ยอวี้เซินจึงไม่ทราบเรื่องราว เพราะเหตุนั้นจึงปรามาสต่อฉินหยุน

ฉินหยุนนำเอากระบี่แก่นจิตออกมาและยิ้มกล่าว “เอาเป็นกระบี่เล่มนี้แทนค้อนเป็นอย่างไร? ระดับของกระบี่ข้าหาได้สูงอะไร อย่างมากก็เพียงอาวุธวิญญาณระดับกลาง ลองรับชม!”

เชี่ยอวี้เซินและคณะรับเอากระบี่ไปเชยชมก่อนพยักหน้ารับ แม้สีหน้าพวกเขาหาได้แปรเปลี่ยน ทว่าภายในใจลอบอุทานกันแล้ว นั่นก็เพราะกระบี่เล่มนี้สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน ระดับโดยรวมของมันถือว่าสูงล้ำ

“ที่ข้าหลอมได้ดีที่สุดคือวัชระโล่ หากกระบี่ของเจ้าสามารถสร้างรอยขีดข่วนได้ เช่นนั้นข้ายอมรับความพ่ายแพ้!” เชี่ยอวี้เซินนำเอาโล่สีทองออกมาวางตั้งไว้ตรงหน้า

เชี่ยอวี้เชินอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ด้วยระดับการฝึกฝนของเขา ผสานเข้ากับพลังผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่ปกคลุมรอบโล่เอาไว้ พลังป้องกันของมันย่อมสูงล้ำ

ฉินหยุนเพียงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า กระทั่งอาวุธในมือเป็นอาวุธวิญญาณชั้นเลิศ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝากรอยแผลเอาไว้บนตัวโล่

“น้องหยุน อย่าได้แข่งขันแล้ว! คนพวกนี้ล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า มันไม่ยุติธรรมเพราะอุปกรณ์วิญญาณในมือของเขาแข็งแกร่งกว่า!” เมิ่งเฟยหลิงก้าวเข้ามารั้งกายฉินหยุนเอาไว้ เป็นกังวลว่าเขาจะโดนล่อลวงโดยกลุ่มคนตรงหน้า

“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าต้องชนะ!” ฉินหยุนยิ้มตอบ

เชี่ยอวี้เซินหัวเราะ “องค์ชายรัชทายาท กระทั่งว่าแพ้ก็ไม่นับเป็นอะไร อย่างไรแล้วความแตกต่างกับพวกเราย่อมมหาศาล ตอนนี้ ข้าเพียงให้ท่านได้มีประสบการณ์ถึงพลังอำนาจของอาจารย์จารึกระดับกลางเสียบ้าง เพื่อให้ทราบอย่างชัดเจนว่าท่านมีทักษะฝีมือขัดเกลาอ่อนด้อยเพียงใด”

“อาจารย์เชี่ย พร้อมหรือไม่? ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว จะได้เริ่ม!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว เขาหาได้ยั่วยุอีกฝ่ายด้วยคำพูดเหยียดหยันแม้แต่น้อย

“เด็กหนุ่มที่เติบโตมาเป็นชนชั้นสูงย่อมอหังการเป็นเรื่องปกติ ย่อมได้ วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนแก่ท่าน ให้ท่านได้ทราบว่าความสามารถมันมีอย่างจำกัดเพียงใด!” เชี่ยอวี้เซินหัวเราะภาคภูมิ “เข้ามา สับฟันที่วัชระโล่ของข้า!”

มือของเขากระชับโล่กลมแน่นตั้งไว้ตรงหน้า จากนั้นจึงใส่พลังขอบเขตวรยุทธ์เต๋าเข้าไป กระจายทั่วทั้งโล่เกิดขึ้นเป็นโล่พลังงาน นี่เป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่งของโล่

ฉินหยุนปลดปล่อยพลังตะวันทมิฬผสานเข้าสู่กระบี่ จากนั้นจึงใช้งานกระบวนท่าวายุสังหารและฟ้าคำรามสับฟันอย่างรุนแรงเข้าที่โล่ตรงหน้า

พอเชี่ยอวี้เซินและคณะได้เห็นฉินหยุนสับฟันลงมา พวกเขาตระหนกถึงขั้นสีหน้าถอดสี พละกำลังระดับนี้ชวนสะพรึงเกินไป มันไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าสามารถปลดปล่อยออกมาได้!

เมิ่งเฟยหลิงยังอึ้งต่อพละกำลังของฉินหยุน นางทราบว่าฉินหยุนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ทว่านางไม่เคยคิดว่าเขาจะครอบครองพลังเพียงนี้!

ทันทีเมื่อฉินหยุนสับฟันลงมา น้ำในสระน้ำด้านล่างพลันสั่นไหวรุนแรง

ถัดจากนั้น สายลมกระโชกรุนแรงร้องโหยหวน ถัดจากนั้นจึงเป็นอสนีบาตฟ้าคำรามฟาดฟันลงพร้อมกระบี่!

เมื่อเกิดเสียงปริแตกระเบิดออก กระบี่แก่นจิตคล้ายกับสามารถแยกผ่าพื้นโลก มันกระทบเข้ากับวัชระโล่ในมือของเชี่ยอวี้เซิน!

ตู้ม!

กระบี่โจมตีเข้าใส่โล่ เกิดขึ้นเป็นแสงสว่างวาบจนดวงตาพร่ามัว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้น้ำในสระน้ำสาดกระเซ็น สายลมกระโชกรุนแรงพัดผ่านจนโค่นต้นไม้ริมสระน้ำไปหลายต้น

ฉินหยุนเก็บกระบี่กลับและยิ้มบาง “อาจารย์เชี่ย โล่ของท่านหาได้ใช่วัชระ!”

ร่างของเชี่ยอวี้เซินสั่นเทิ้มเล็กน้อย ทว่าโล่วัชระกลับเกิดรอยปริแตกแยกออกเผยให้เห็น ราวกับมันถูกทำลายจนสิ้นสภาพแล้ว!

เมิ่งเฟยหลิงสะกดอาการแตกตื่นภายในใจ กล่าวคำยิ้มออก “วัชระโล่นี้อ่อนแอนัก หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวหยุนยั้งมือเอาไว้ เมื่อครู่คงสับฟันท่านจนตายตกไปแล้ว!”

“นี่... นี่ไม่อาจนับ!” เชี่ยอวี้เชินได้เห็นโล่ล้ำค่าของตนเองพังเช่นนี้ โทสะจึงสุมภายในขณะร้องตะโกน “เป็นเจ้าไร้ยางอาย ถึงขั้นใช้พละกำลังทั้งหมดในร่างไปกับกระบี่ ทำลายวัชระโล่ของข้า! เป็นเจ้าติดค้างวัชระโล่ที่ต้องชดใช้คืนแก่ข้า!”

ฉินหยุนยิ้มตอบ “ท่านคือผู้ปรามาสต่อข้า และสัญญาว่าจะแข่งขันกับข้า ใครกันที่บอกให้ท่านหลอมโล่อ่อนด้อยเช่นนี้จนไม่อาจต้านรับกระบี่ข้าไว้ได้? ท่านจะกล่าวโทษผู้ใด? เช่นกัน ท่านยังโคจรพลังใส่ไว้ในโล่ ดังนั้นจึงอย่าได้กล่าวโทษที่ข้าใช้พลังเช่นกันเพื่อสับฟันวัชระโล่ของท่านบ้าง!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด