ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0253 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0255 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0254 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 254 : ความก้าวหน้าของเม่ยเหลียน

หลังฉินหยุนตื่นขึ้น เขาจึงเดินออกมาที่ห้องโถง

หลันเฟิงจินกำลังหัวเราะ “ข้านึกว่าสถาบันเทียนเจียวจะเปิดได้สักสองปี แต่กลับจบรวดเร็วเพียงนี้! ถือเป็นโชคชะตาหาได้ยากยิ่งที่นำพวกเรามาพบกัน”

เสวี้ยซือเยี่ยกล่าว “หลังกลับไปแล้ว ข้าจะเข้าร่วมตำหนักตะวันออก! ฉินหยุน เมื่อใดเจ้าคิดเข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม?”

“อีกสักปีหนึ่ง! เมื่อเวลามาถึง ข้าจะท้าทายเชี่ยวหยางหลง และเข้าร่วมตำหนักตะวันตก กลายเป็นหัวหน้าศิษย์” ฉินหยุนยิ้มบาง “ตอนนี้ ล้วนไม่มีใครสงสัยในพละกำลังของข้าแล้ว!”

“น้องหยุน ทางที่ดีเจ้าต้องระวังตัวให้มาก เชี่ยวหยางหลงไม่ใช่คนรับมือด้วยได้ง่าย” มู่หรงต้าเหรินเผยสีหน้าจริงจังเอ่ยเตือนฉินหยุน

ฮั่วจงเองก็พยักหน้า “พละกำลังของเชี่ยวหยางหลงไม่อาจประมาท เป็นมันก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้นานไม่น้อยแล้ว ย่อมต้องมีไพ่เด็ดในครอบครอง!”

หลันเฟิงจินกล่าว “ฉินหยุน ในช่วงระยะเวลาอันสั้น ดีที่สุดคือเจ้ายกระดับพละกำลังตนเองภายในหนึ่งปี! ด้วยขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า มันเป็นเรื่องยากยิ่งที่เจ้าจะรับมือกับเชี่ยวหยางหลงได้!”

“เว้นแต่... เว้นเสียแต่ฉินหยุนจะก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้ในหนึ่งปี!” เสวี้ยซือเยี่ยโพล่งคำขึ้น

ฮั่วจงและคณะพลันอึ้ง!

หากฉินหยุนก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้ในอีกหนึ่งปี เท่ากับว่าเขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่อายุสิบแปดปี!

“เรื่องนี้... เป็นไปได้หรือ?” มู่หรงต้าเหรินมองที่ฉินหยุน จากนั้นจึงหันมองหลันเฟิงจินและกล่าวถาม “พี่หลัน ความยากลำบากเพื่อก้าวออกจากขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋านั้นมันเพียงใดกัน?”

“ยากจะกล่าว แต่มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้!” หลันเฟิงจินสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงเผยสีหน้าจริงจังแนะนำฉินหยุน “ฉินหยุน อย่าได้ฝืนบังคับตนเองเลื่อนระดับ หลายคนเผชิญกับปัญหาใหญ่หลวงระหว่างการเลื่อนระดับเพราะเร่งร้อน ผลลัพธ์คือพวกเขาล้วนบ้าคลั่งกันทั้งสิ้น!”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ เป็นเพราะบิดาของเขา ก็เคยเกิดอาการฝึกฝนบ้าคลั่งจนเกือบเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ เรื่องนี้จึงเป็นเขาให้ความใส่ใจอย่างดีเสมอมา

“เช่นนั้นข้าขอตัว ข้าจะเข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามโดยเร็วที่สุด จะได้เสริมพละกำลังโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” หลังบอกล่ำลาต่อฉินหยุนและคณะ เสวี้ยซือเยี่ยจึงออกจากบ้านพักและสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนไปพร้อมผู้อาวุโสของนาง

หลันเฟิงจินหัวเราะ “ข้าเองก็ต้องรีบกลับไปรับเคล็ดวิชาลึกลับ ขอตัวละนะ!”

ฮั่วจงและมู่หรง จะกลับไปพร้อมโฮ่วฉิงเฟิง โฮ่วฉิงเฟิงเคยเป็นรองอธิการบดีของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ดังนั้นเขาจึงอยู่โยงที่นี่หลายวันจึงค่อยเดินทางกลับ

“จริงด้วย ข้าต้องไปสุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยว พวกท่านสนใจไปกับข้าหรือไม่? พวกเราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ ว่าคิดเข้าไปรับชมด้วยกัน” ฉินหยุนเอ่ยถาม

ล่าสุด เชี่ยวเย่ว์หลานมาที่คุกใต้ดินเพื่อพบเขา นางบอกต่อเขา ว่าเชี่ยวเสวียนฉินจะมาพบเขาเพื่อหารือ เรื่องการเขาสู่สุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยว

ฮั่วจงตอบ “ข้าคงไม่อาจไป! หากข้าไปยังสุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยว ไม่ทราบเลยว่าต้องใช้เวลาเท่าใด ตอนนี้มีหลายเรื่องให้ข้าต้องทำที่ตำหนักสัตว์ยุทธ์”

มู่หรงต้าเหรินยิ้ม “น้องหยุน หากเจ้าไป พวกเราก็สบายใจ เจ้าถือว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดีด้วย”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ข้าทราบดี ที่เหลือก็เป็นพี่ใหญ่เซี่ยว่าจะมีเวลาหรือไม่ หากเขาร่วมทาง ข้าคงสบายใจได้มาก”

“พี่ใหญ่เซี่ยตอนนี้ เป็นบุคคลสำคัญของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงยุ่งมาก กล่าวกันว่าจ้าวตำหนักศักดิ์สิทธิ์คาดหวังในตัวเขาไม่ใช่น้อย คิดอยากรับเป็นศิษย์คนล่าสุดด้วยซ้ำ” ฮั่วจงกล่าว

“เช่นนั้นก็วิเศษแล้ว เมื่อใดที่พี่ใหญ่แข็งแกร่ง หากพวกเราเกิดปัญหาขึ้นในตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามภายหน้า พวกเราจะได้ขอให้เขาช่วยเหลือได้” ฉินหยุนยิ้มรับ

มู่หรงต้าเหรินและฮั่วจงตัดสินใจไม่ไปยังสุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยว พวกเขารู้สึกว่าตนเองยังขาดกำลัง ทั้งยังเป็นกังวลว่าจะกลายเป็นตัวถ่วงต่อฉินหยุนในภายหน้า

นี่เป็นเพราะสุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยวตั้งอยู่ในป่าลึก สัตว์อสูรทุกวันนี้อยู่ทั่วทุกหนแห่ง หากเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์อสูรทรงพลังเข้า พวกเขาไม่มีแรงสู้ตอบโต้

ฉินหยุนชักชวนมู่หรงต้าเหรินและฮั่วจงร่วมกินดื่ม หลังผ่านอาหารมื้อใหญ่ แต่ละคนค่อยกลับบ้านพักตนเอง

“ห้าร้อยล้านแต้มเสวียน ไม่รู้เลยว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง!” ขณะฉินหยุนเดินทางกลับป่าสมบัติ เขานึกถึงหลายเรื่องราว เขาไม่ทราบว่าตนสามารถก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าภายในหนึ่งปีได้หรือไม่

แม้เขามีวัชระแก่นภายในถึงสาม แต่ยังคงมีความแตกต่างนักหากเทียบกับเชี่ยวหยางหลงที่อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า

เมื่อกลับไปยังป่าสมบัติ เขาพลันรู้สึกได้ถึงออร่าที่คุ้นเคย

“พี่หยุน!” เสียงอ่อนนุ่มและยินดีดังขึ้นจากบนต้นไม้ เป็นเด็กสาวสวมใส่ชุดสีเหลือง นางเปรียบดั่งภูติงดงามเคลื่อนคล้อยลงสู่โลก

“เสี่ยวเม่ยเหลียน!” ฉินหยุนตะโกนรับด้วยความยินดี

ถือว่านานแล้วตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาได้พบชี่เม่ยเหลียน ตอนนี้ได้เห็นนาง เป็นนางเปลี่ยนไปมาก ทั้งงดงามขึ้น และยังสูงขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยน นั่นก็คือดวงตาของนางยังเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์

“พี่หยุน ท่านยอดเยี่ยมนัก ข้าเองก็รับชมศึกในสนามประลองด้วย!” นางพอได้เห็นฉินหยุน อาการยินดีไม่อาจถ่วงรั้ง ใบหน้าของนางเปี่ยมด้วยรอยยิ้มหวานยินดี

สำหรับนาง ฉินหยุนเปรียบเสมือนครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียว

“เจ้าสารเลวพวกนั้นอ่อนแอเกินไปต่างหาก!” ฉินหยุนสัมผัสใบหน้าเนียนบางเบา และยิ้มกล่าวตอบ

เขาพานางเข้าถ้ำของตนเอง เชื้อเชิญให้นั่ง จากนั้นจึงนำน้ำหวานผลไม้ออกมารินให้แก่นาง

ฉินหยุนมองที่น้องสาวผู้ซึ่งเติบโตขึ้นมาก เมื่อเขาคิดถึงชะตาที่นางเคยพบเจอ เขายิ่งรู้สึกผิดต่อนางอย่างลึกล้ำ เป็นเขาอยากปกป้องเด็กสาวแสนบริสุทธิ์คนนี้ ไม่ให้นางต้องเผชิญกับความรู้สึกเลวร้ายอีก

“พี่หยุน ด้วยอาจารย์ข้าชี้แนะ ข้าก้าวหน้ารวดเร็วไม่น้อย ตอนนี้ข้าเองก็อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าเช่นกัน” ชี่เม่ยเหลียนเอ่ยคำ ขณะนี้เองก็เลียน้ำผลไม้รอบริมฝีปากไปด้วย

ฉินหยุนอดไม่ได้ที่จะสัมผัสเข้าที่ใบหน้างดงาม เขากล่าว “เสี่ยวเม่ยเหลียน เรื่องนี้วิเศษนัก เจ้ากำลังจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าพี่หยุนในภายหน้า เมื่อเวลามาถึง ต้องเป็นเจ้าช่วยปกป้องข้าแล้ว”

ชี่เม่ยเหลียนพยักหน้ารับจริงจัง “ข้าย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก ข้าจะไม่ให้คนเลวที่ไหนมากลั่นแกล้งพี่หยุนของข้า!”

นางเด็กกว่าฉินหยุนราวหนึ่งถึงสองปี แต่ตอนนี้กลับอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า พรสวรรค์ระดับนี้ ถือว่าน่าสะพรึงกลัวกว่าเชี่ยวเย่ว์หลาน เพียงแต่หลายคนยังไม่ทราบก็เท่านั้นเอง

ฉินหยุนรู้สึกว่า หากตนมีโอกาส เขาคิดอยากขอบคุณอาจารย์ของชี่เม่ยเหลียน เขาเพียงทราบว่าอาจารย์ท่านนี้เป็นหญิงชรา นางค่อนข้างดุแต่ก็ดีกับชี่เม่ยเหลียนไม่น้อย

ด้วยแผนที่หลุมฝังเซียนที่นางครอบครอง ฉินหยุนไม่แปลกใจที่นางจะฝึกฝนก้าวหน้ารวดเร็วเพียงนี้

“เสี่ยวเม่ยเหลียน ภายนอกอันตรายนัก หากเจ้าไม่มีอาจารย์ร่วมทาง ดีที่สุดคืออย่าได้ออกไปด้วยตนเอง” ฉินหยุนคว้ามือเล็กของชี่เม่ยเหลียนไว้ มอบยันต์สะกดกายให้จำนวนหนึ่ง “สิ่งนี้คือยันต์สะกดกาย พวกมันจะช่วยเจ้าปกป้องตนเองได้!”

ได้ยินคำนี้ ชี่เม่ยเหลียนขมวดคิ้วขณะกระซิบ “พี่หยุน ยันต์สะกดกายนี้ยากสร้างขึ้นหรือไม่? เป็นข้าคิดอยากให้ท่านเก็บไว้ ท่านออกไปภายนอกบ่อยยิ่งนัก”

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เจ้าเก็บไว้ได้เลย!” ฉินหยุนยิ้มรับอบอุ่นหัวใจ

ชี่เม่ยเหลียนจึงรับไว้ นางทราบว่าฉินหยุนต้องการให้นางปลอดภัยจึงไม่คิดปฏิเสธอีก

“เสี่ยวเม่ยเหลียน อาจารย์ของเจ้าแนะนำให้เข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม เขารู้สึกว่าหากชี่เม่ยเหลียนคิดเข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ก็สมควรเข้าร่วมตำหนักตะวันออก

“อาจารย์ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เพียงบอกข้าว่าอย่าได้บอกต่อผู้อื่นถึงระดับการฝึกฝนปัจจุบันของข้า ดังนั้นข้าจึงบอกเพียงแต่ท่าน” ชี่เม่ยเหลียนยิ้มหวานกล่าวต่อ “อาจารย์ดูแลข้าดีนัก ท่านอย่าได้ห่วงเรื่องข้า”

“แน่นอน!” ฉินหยุนเองก็สามารถบอกได้ ว่าชี่เม่ยเหลียนมีความสุขดี ดังนั้นเขาจึงวางใจ

ฉินหยุนพาชี่เม่ยเหลียนบินขึ้นสู่ด้านบนต้นไม้สมบัติตะวันดารา นั่งบนกิ่งไม้หนา สำรวจมองทะเลสาบหมื่นดาราภายนอกสถาบัน

เดิมทะเลสาบหมื่นดาราสงบ แต่ตอนนี้กลับมีคลื่นวงน้ำปรากฏ เหมือนมันจะเป็นเช่นนี้เรื่อยมานับตั้งแต่เกิดคลื่นวงน้ำแรก

หลังข่าวคราวของทะเลสาบหมื่นดาราแพร่กระจาย หลายต่อหลายคนต่างหวาดกลัว แต่ผ่านมาแล้วหลายวัน โลกใบนี้ยังคงสงบดี ผู้คนจึงเริ่มลืมเลือนไป

“พี่หยุน ท่านเคยเห็นทะเลสาบหมื่นดารากลางค่ำคืนหรือไม่?” อย่างกะทันหัน ชี่เม่ยเหลียนกล่าวขึ้น “อาจารย์พาข้าออกไปช่วงกลางคืนหลายครั้ง บนท้องฟ้า ข้าได้เห็นดวงดาวมากมายบนพื้นผิวของทะเลสาบหมื่นดารา พวกมันกำลังเคลื่อนไหวไปมา แสงดาวเหล่านั้นงดงามยิ่ง”

ฉินหยุนส่ายศีรษะ ยิ้มรับ “ไม่ แต่ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าคิดไปรับชมดู เมื่อเสี่ยวเม่ยเหลียนบอกว่างดงาม เช่นนั้นข้าย่อมต้องไปรับชมดูสักครั้ง”

ชี่เม่ยเหลียนแลบลิ้นออกอย่างขี้เล่น นางหัวเราะกล่าว “พี่เย่ว์หลานเองก็มาพบข้า นางเป็นคนดียิ่ง ไม่ได้น่ากลัวเหมือนดังข่าวลือ ท่านอย่าได้รังแกนางในภายหน้า”

“ตราบเท่าที่นางไม่รังแกข้าละก็นะ” ฉินหยุนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะรับ

ชี่เม่ยเหลียนมองที่ทะเลสาบหมื่นดาราและเอ่ยถามเป็นกังวล “พี่หยุน ตำนานของทะเลสาบหมื่นดาราเป็นเรื่องจริงหรือ? หากเก้าดวงตะวันเลือนหาย จะเกิดอะไรขึ้นกับสวรรค์และโลก? และเพราะเรื่องนี้ พวกเราจะร่วงหล่นสู่ความมืดหรือไม่?”

“เรื่องนี้ไม่อาจทราบ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าย่อมปกป้องเจ้า! ข้าจะเป็นดวงตะวันให้เจ้า สาดส่องแสงชั่วนิรันดร์ให้แก่โลก” ฉินหยุนยิ้ม และจิ้มเข้าที่ใบหน้าน่ารักของนาง

ดวงตางดงามของชี่เม่ยเหลียนเป็นประกายด้วยความยินดี

ฉินหยุนพานางกลับลงมา ไปเล่นที่ในป่าสมบัติตลอดทั้งวัน จนกระทั่งช่วงเย็น พวกเขาจึงค่อยไปรับชมดวงตะวันอัสดงทั้งเก้าค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลาลับฟ้า และหายไปที่สุดปลายของทะเลสาบหมื่นดารา

หลังเล่นกับฉินหยุนอยู่ทั้งวัน ชี่เม่ยเหลียนสนุกสนานไม่น้อย นางออกจากป่าสมบัติ กลับไปพบอาจารย์ของนาง เป็นนางคิดเก็บตัวฝึกฝนอีกครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ทราบเลยว่ากว่านางจะออกมาอีกครั้งคือเมื่อใด

ฉินหยุนเกิดความสงสัยอย่างยิ่งต่ออาจารย์ของชี่เม่ยเหลียน เขาจึงไปพบตู้ก่วยในถ้ำต้นไม้

ตู้ก่วยถือก้อนหินจำนวนหนึ่งในห้องโถง พวกมันเหล่านี้คือหินทดสอบพลังจิต ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนเคยทำพวกมันแตกกระจายไปมากครั้งการทดสอบพลัง

“อาจารย์ขอรับ อาจารย์ของเสี่ยวเม่ยเหลียนคือผู้ใดกัน? เหตุใดนางดูลึกลับนัก?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่านางเป็นหญิงชราท่านหนึ่ง พื้นเพนางเป็นเช่นไรกันแน่?”

“อาจารย์ของนางลึกลับจริง ไม่กี่ปีก่อนเมื่อนางมายังสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า แม้นางเข้มงวดไปบ้าง แต่ก็เป็นคนดียิ่ง! เจ้าสามารถวางใจ เสี่ยวเม่ยเหลียนจะปลอดภัยในสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน” ตู้ก่วยยิ้มตอบ “มาแล้วก็ดี ช่วยข้าทำหินพวกนี้หน่อย ใช้เปลวเพลิงของเจ้าเผาพวกมันให้กลายเป็นสีน้ำเงิน!”

หินที่วางบนพื้นทั้งหมดเป็นสีขาว และตอนนี้ตู้ก่วยก็กำลังเผาพวกมันทีละก้อน เรื่องราวเป็นไปอย่างเชื่องช้า

ฉินหยุนนำเตาหลอมออกมา ใส่ก้อนหินสีขาวเหล่านั้นเข้าไป จากนั้นจึงเริ่มจุดเปลวเพลิง

“เจ้าสบายดีหรือไม่?” ตู้ก่วยเอ่ยถามอย่างสงสัย

“แน่นอนขอรับ!”

เพียงไม่นาน ฉินหยุนเปิดเตาหลอม นำเอาหินสีน้ำเงินร้อนแรงออกมาด้วยมือเปล่า และส่งมอบพวกมันให้แก่ตู้ก่วย

“หากข้าทราบแต่แรก คงให้เจ้าช่วยเผาพวกมันไปแล้ว สมแล้วที่เป็นอาจารย์จารึกระดับต้น ช่างน่าประทับใจนัก!” ตู้ก่วยยิ้มและกล่าวยินดี “เจ้าพวกนี้ทำเอาข้ายุ่งมาหลายสิบวันเลยทีเดียว”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด