ตอนที่แล้วGE265 สระมังกร มุ่งสู่ดินแดนแห่งเมฆา [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE267 ระฆังแห่งการเกิดใหม่ [ฟรี]

GE266 สะพานสิบก้าว เป่ยลี่ [ฟรี]


สตรีผู้ที่หนิงฝานพบ รู้ว่าหนิงฝานคือคนของนิกายกุ่ยเชว่ รู้ว่าในอดีตหนิงฝานเคยใช้หญ้ากลั่นวิญญาณ จนทำให้สัมผัสเทพของตนล่องลอยไปในอวกาศ หากยามนั้นไม่ได้ผู้ที่ทรงพลังในดาราเต่าทมิฬช่วยไว้ หนิงฝานคงตายไปแล้ว

นางนำแผ่นหยกออกมาและพูดคุยกับผู้ที่ชื่อว่าเป่ยลี่

สถานที่ที่หนิงฝานและนางอยู่เป็นเหมือนด่านหน้าของการสลักชื่อบนจารึกสวรรค์ ผู้ที่จะสลักชื่อได้นั้น ต้องผ่านการทดสอบ

ยามนี้ หนิงฝานอยากรู้ว่าเหตุใดชื่อของหานหยวนจี๋ถึงเป็นสีดำ มันต้องมีความหมายพิเศษบางอย่าง

“ข้าขอถาม… เหตุใดชื่อบนจารึกถึงมีสีที่แตกต่างกัน?”

“ชื่อของคนจะแบ่งแยกไปตามโชคชะตา ในระดับ 5 สีแรกคือโชคชะตาที่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณทั่วไปมี แต่นอกเหนือจากนั้นนับเป็นโชคชะตาที่หายาก สิ่งที่ใช้สลักโชคชะตานั้นคือ ‘ภู่กันแห่งโชคชะตา’ โชคชะตาของเจ้าจะเป็นเช่นใดขึ้นอยู่กับมัน หากสลักชื่อสำเร็จและเจ้ามีชื่อเป็นสีม่วง เจ้าจะมีโอกาสบรรลุเซียนมากกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่วไป 1 ใน 10 ส่วน”

แม้จะเพียงแค่ 1 ใน 10 ส่วน แต่หากวัดจากจำนวนของผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นไปถึงจุดนั้น ความสำเร็จเพียงเท่านี้ก็นับว่ามากแล้ว

นางพอตะคาดการณ์ได้ว่า หากหนิงฝานสลักชื่อสำเร็จ อย่างน้อยจะมีชื่อเป็นสีฟ้า

หากได้โชคชะตาเป็นสีฟ้า ก็มีโอกาสยกระดับโชคชะตาไปยังสีม่วง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ทุกคน

แต่ความเป็นไปได้นั้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญมีหวังที่จะบรรลุขอบเขตเซียนได้มากขึ้น แม้จะอยู่ในขอบเขตพลังที่ไม่สูงนัก แต่โชคชะตาจะเป็นกำหนดความแตกต่างของคน

“แล้วสีดำหมายความว่ายังไง?”

หนิงฝานยิ้ม โชคชะตาสีม่วงคือโชคชะตาที่ดีจนน่าประหลาด แต่น่าเสียดายที่หนิงฝานไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้… ตั้งแต่ได้โลหิตของเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่มา แม้โชคชะตาจะเป็นสีดำ แต่ก็ทำให้เขาได้พานพบสิ่งดีๆมากมาย

แม้หานหยวนจี๋จะมีโชคชะตาสีดำ แต่ชายชรายังบรรลุเซียนได้ เหตุใดตนเองจะทำไม่ได้!

“โชคชะตาสีดำมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘ผู้ที่ถูกสวรรค์เพ่งเล็ง’... โชคชะตานี้ถูกกำหนดให้ท้าทายสวรรค์ เส้นทางที่จะก้าวสู่ความเป็นเซียนยากลำบาก โชคร้ายที่สุดในหมู่โชคชะตาสีอื่นๆ เพราะผู้ที่ถือครองโชคชะตาสีดำนี้คือผู้ที่เป็นอันตรายต่อสวรรค์ ผู้ที่จะบรรลุเซียนได้มีเพียงหนึ่งในล้าน… หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้เจ้ามีโชคชะตาสีดำ”

แม้นางจะหวังดี แต่น่าเศร้าที่โชคชะตาของหนิงฝานเป็นสีดำแล้ว

หนิงฝานขบคิดถึงทุกสิ่งที่รู้มา เขาได้ข้อสรุปว่าการที่ตงสู่กล่าวว่าโชคชะตาจะทอดทิ้งเขาไปนั้น คือการที่เขาปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่ได้สำเร็จ ทำให้โชคชะตามนุษย์ แปรเปลี่ยนเป็นโชคชะตาปีศาจ!

แม้โชคชะตาจะแปรเปลี่ยน แต่หนิงฝานยังต้องเข้ารับการทดสอบ

“ท่านบอกข้าได้หรือเปล่าว่าการทดสอบ 3 อย่างที่ว่ามีอะไรบ้าง?” หนิงฝานกล่าวถาม

“ฮ่าฮ่า… ข้าคงตอบสหายเต๋าไม่ชัดเจนนัก ผู้อาวุโสเป่ยลี่จะเป็นผู้ทำการทดสอบเจ้า… ข้าบอกได้แค่ว่าการทดสอบอาจจะยากลำบากอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้น การทดสอบแรกมีชื่อว่า ‘สะพาน 10 ก้าว’ เป็นสะพานที่ช่วยยกระดับจิตใจ สร้างโดยเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง”

“หากเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไป 1 วันจะเดินได้ไม่ถึงก้าว เมื่อครบเจ็ดวันภาพลวงตาจะรุนแรงมากขึ้น เมื่อถึงวันที่ 14 แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงยังต้องอยู่ในอันตราย แต่หากยังออกจากสะพานไม่ได้จนเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 24 แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังรอดยาก และหากล่วงถึงวันที่ 22 ก็จะดูดภาพลวงตากลืนกิน… แม้จะใช้เวลาเนิ่นนาน ก้าวเดินไปนับร้อยนับพันก้าว แต่สุดท้ายแล้ว สะพานที่แท้จริงมีเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น!”

หนิงฝานได้รับการแนะนำเป็นการส่วนตัว และยามนี้นางกำลังนำหนิงฝานไปยังสะพานแห่งหนึ่ง รอบข้างเต็มไปด้วยหมอกควัน

สะพานแห่งนั้นมีนามว่า สะพาน 10 ก้าว ใต้สะพานคือสระน้ำขนาดใหญ่ที่ลึกจนเหลือประมาณ ที่ตัวสะพานมีหมอกสีม่วงลอยวน พวกมันคือแหล่งพลังงานที่สร้างภาพลวงตา

“นี่คือสะพาน 10 ก้าว… สะพานแห่งภาพลวงตาที่เข้าไปแล้วไม่อาจหวนกลับ”

หนิงฝานยืนอยู่หน้าสะพานด้วยสีหน้าตกตะลึง

หน้าสะพานมีแผ่นไม้ที่สลักชื่อสะพานไว้ และลายมือ...หนิงฝานจดจำได้!

ลายมือของผู้ที่เขียนเหมือนกับลายมือที่อยู่ปกตำราโบราณเล่มหนิ่งที่หนิงฝานมี

“ลายมือเหมือนกับตำราของข้า!”

จากคำบอกเล่าของสตรีที่นำหนิงฝานมา ทำให้เขารู้ว่า เจ้าของตำราเล่มนั้นและผู้ที่สร้างสะพานแห่งนี้คือคนเดียวกัน

เทพเซียนยุคโบราณคืออาจารย์ของจักรพรรดิสวรรค์ เทพเซียนผู้นั้นเป็นนายเหนือหัวของโลกมากมายนับไม่ถ้วน หนิงฝานคาดไม่ถึงว่า ผลงานการเขียนตำราของเทพเซียนผู้นั้นจะตกมาอยู่ในมือของเขา

“ไม่รู้ว่าหน้าปกตำรากับอักษรทั้ง 4 ตัวที่อยู่บนนั้นจะทำเงินได้มากขนาดไหน...”

หนิงฝานหลับตาชั่วครู่

“เชิญสหายเต๋าข้ามสะพาน!” สตรีนางนั้นกล่าวกับหนิงฝาน หมอกสีม่วงเปิดทางให้ข้าม

หนิงฝานสูดหายใจลึกก่อนจะก้าวเข้าสู่สะพาน

แต่เมื่อก้าวลงสะพาน หมอกม่วงเข้าปกคลุมร่างกาย หนิงฝานสัมผัสได้ถึงอำนาจของสวรรค์ และรู้สึกราวกับมีภูเขามาทับบ่าจนยากจะก้าวเดิน

นี่คือแรงกดดันของเทียนเซียนโบราณ ไม่ว่าเซียนหรือมนุษย์ ผู้ที่อยู่ต่อหน้าแรงกดดันนี้ ล้วนก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก

หนิงฝานยืนนิ่งหลับตา

แรงกดดันในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงของเขาได้ทำให้เกิดแสงสีแดงครอบกาย ทันใดนั้น แรงกดดันที่ประสบได้สลายไป

หนิงฝานลืมตาและก้าวเท้าได้หนึ่งก้าว!

สตรีนางนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยน แววตาแสดงออกถึงความนับถือ

นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แม้เขายังไม่บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ แต่แรงกดดันของเขาอยู่ในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง!

“การเริ่มต้นย่อมยากเสมอ บางคนใช้เวลาหลายชั่วยามในการก้าวเพียง 1 ก้าว หรือบางคนอาจจะหลายวัน แต่เด็กนี่เข้าสะพานไปได้ไม่ถึง 10 ลมหายใจก็ก้าวเท้าได้แล้ว ในแดนสวรรค์ทั้ง 4 มีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมากมายมหาศาล แต่มีผู้ที่ทำเช่นนี้ได้ไม่ถึงแสนคน! และที่น่าทึ่งกว่านั้น เมื่อก้าวเท้าแรกได้แล้ว แค่ชั่วลมหายใจ เขาก็เดินได้หลายก้าวแล้ว!”

นางขมวดคิ้ว เพราะยามนี้หนิงฝานก้าวเท้าได้ 9 ก้าวแล้ว!

แต่ละก้าวที่ก้าวเดิน อำนาจของกระบี่ที่ทรงพลังปะทุ สะกดข่มแรงกดดันที่สะพานแผ่ออกมา

“9 ย่างเหยียบสวรรค์… ที่แดนสวรรค์ทั้ง 4 มีเพียงพันคนที่ก้าวเดินได้รวดเร็วเช่นนี้”

9 ย่างเหยียบสวรรค์จำกัดการเคลื่อนไหวอยู่เพียง 9 ก้าวเท่านั้น เมื่ออำนาจของวิชาสิ้นสุดลง หนิงฝานก็ยากจะก้าวเท้าได้ต่อ

สตรีนางนั้นจ้องมองหนิงฝานด้วยสายตาชื่นชม

ถึงอย่างนั้น แม้หนิงฝานจะโดดเด่น แต่ยังมีเหล่าผู้สืบทอดของเทพเซียนมากมายที่ทำได้เช่นนี้

“แค่นี้ยังไม่พอ! ในอดีตท่านอาจารย์ทำได้ดีกว่าข้ามาก!”

แรงกดดันของหนิงฝานเพิ่มพูน หมอกม่วงรอบข้างสั่นไหว พร้อมกับหนิงฝานที่ก้าวย่างออกไป

เมื่อก้าวเท้าออกไป หนิงฝานรู้สึกหวานที่ลำคอ ราวกับกำลังมีโลหิตพุ่งออกมา แต่หนิงฝานฝืนกลืนกลับเข้าไป

ก้าวที่ 10 ของเขาคือขีดจำกัด

“คาดไม่ถึงว่าเด็กนั่นจะทำได้จริงๆ… การทดสอบต่อไปที่เขาจะได้รับคือการเข้าสู่โลกแห่งภาพลวงตา ในนั้นเขาต้องเผชิญกับศัตรูคู่อาฆาตคนแรก ไม่รู้ว่าศัตรูคนแรกของเขาจะมีพลังระดับไหน...”

เมื่อก้าวพ้นสะพานไป เบื้องหน้าหนิงฝานปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งในชุดคลุมดำ แววตาเรียบเฉย รูปลักษณ์ดูอ่อนเยาว์ แต่น้ำเสียงดูแก่ชรา คนผู้นี้มีพลังในขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสูง

ผู้อาวุโสฝ่ายนอกแห่งหนิกายเทียนหลีโม่ ผู้ที่คิดจะชิงตัวจื่อเฮ่อ...หวู่ตงหนาน!

สตรีนางนั้นขมวดคิ้วพลางกล่าว “ศัตรูคู่อาฆาตคนแรกกลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นสูง...”

แม้จะเป็นเพียงขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสูง แต่สำหรับหนิงฝานในยามนั้น นับเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมาก

หนิงฝานเริ่มขัดเกลาตนเองมาตั้งแต่ตนยังเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เมื่อบรรลุขอบเขตเปิดเส้นชีพจร เขาก็สังหารศัตรูคนนั้นได้

“เมื่อก้าวเดินได้ 10 ก้าว ต้องเผชิญกับภาพลวงตา ไม่รู้ว่าเขาจะผ่านไปได้หรือเปล่า… หากทำได้ เขาจะกลายเป็นผู้ที่ติดอันดับ 1 ใน 9000 แต่นั่นอาจเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อครู่เขาก็แทบจะไม่ไหวแล้ว”

หนิงฝานจ้องมองหวู่ตงหนานด้วยสายตาเย็นชา

แม้หวู่ตงหนานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

“หนิงฝานเจ้าฆ่าข้า! เจ้าฆ่าข้า ถ้าเรื่องนี้ประมุขเซี่ยรู้ เจ้าไม่รอดแน่”

แต่เมื่อกล่าวจบ ดูเหมือนหวู่ตงนานจะสงบคำไป

มันดูคล้ายจะรู้ตัวว่ามันตายมานานมากแล้ว และยามนี้ หนิงฝานก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเปิดเส้นชีพจรอีกต่อไปแล้ว

แรงกดดันของหนิงฝานทำให้มันรู้สึกราวกับว่า หนิงฝานคือขุนเขาที่ไม่อาจข้าม

หนิงฝานแผ่แรงกดดันในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงใส่หวู่ตงหนาน เมื่อร่างของมันสัมผัสแรงกดดัน สีหน้ามันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง

“นี่มันพลังระดับไหนกัน? แก่นทองคำเหรอ? ไม่… ในแคว้นเยว่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำคนใดที่มีแรงกดดันระดับนี้... หรือจะเป็นขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มในตำนาน! เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทรงพลังถึงขนาดนั้น”

แรงกดดันที่ทรงพลังของหนิงฝาน ทำให้ร่างของหวู่ตงหนานสั่นไหวและสลายหายไป

“นี่คือแรงกดดันของขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง… หวู่ตงหนาน ในอดีตเจ้าคิดร้ายกับจื่อเฮ่อ สมควรตาย!”

แม้จะได้ชื่อว่าภาพลวงตา แต่มันก็แฝงไปด้วยอำนาจสวรรค์ ดังนั้น จะเป็นเรื่องจริงหรือภาพลวงตาอยู่คนคิด

และแล้วหนิงฝานก็ก้าวเท้าออกไปได้! แต่ทันใดนั้น ร่างในอาภรณ์ขาวของหนิงฝานได้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และก้าวเท้าออกไปอีกก้าว!

หนิงฝานทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักกระทั่งสามารถสร้างวิชาของตนเองได้ 2 วิชา นั่นคือ 9 ย่างเหยียบสวรรค์ และ กระบี่วารีผันแปร!

สตรีนางนั้นดวงตาเบิกกว้าง นางตกตะลึงเพราะเมื่อหนิงฝานก้าวเท้าออกไปนั้น ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนพุ่งไปเบื้องหน้า

เมื่อใช้กระบี่วารีผันแปร หนิงฝานก็มุ่งไปข้างหน้าได้หลายก้าว

ยามนี้ชื่อของหนิงฝานน่าจะติดอันดับ 1 ใน 5000 พัน… เมื่อบรรลุ 20 ก้าว คนผู้นั้นจะได้พบกับภาพลวงตาของศัตรูที่อยากจะสังหารมาที่สุด

เบื้องหน้าหนิงฝานคือยักษ์ในชุดเกราะสีดำ แรงกดดันที่มันแผ่ออกมาคือขอบเขตไร้แบ่งแยกที่ 5

“ขอบเขตไร้แบ่งแยกที่ 5 เส้นโลหิตปีศาจโบราณ! ศัตรูที่เด็กนี่ต้องการสังหารทรงพลังมาก”

เมื่ออยู่ต่อหน้ายักษ์สูงนับหมื่นจ้าง หนิงฝานดูไม่ต่างจากมดตัวจ้อย

แต่มดตัวนี้กลับไม่หวาดกลัว แหงนหน้ามองยักษ์ตนนั้นด้วยแววตาอาฆาต

“หานเนี่ยเทียน!”

“บังอาจ! มดปลวกอย่างเจ้ากลับกล้าเรียกขานชื่อของข้า… รอข้าก่อนเถอะ อีก 100 ปีข้าหน้าข้าจะสั่งสอนเจ้าให้ได้รู้ว่าความโอหังมันเป็นยังไง เจ้าไม่มีทางหนีรอดไปได้! แต่ตอนนี้ ‘หักกระดูกเปลี่ยนทหาร’!”

มันหักข้อนิ้วของตน

แม้จะเป็นเพียงข้อนิ้ว แต่ก็มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาขนาดเล็ก แต่ก่อนที่ข้อนิ้วจะกระทบพื้น มันแปรเปลี่ยนเป็นปีศาจนับแสนในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด

ปีศาจนับแสนโหมเข้าใส่ แต่หนิงฝานทำมือคว้าจับอากาศ แสงสีทองอร่ามเจิดจ้า ก่อตัวเป็นหอกสีทองขึ้นในมือ

“หักกระดูกเปลี่ยนทหาร… ปีศาจแก่นทองคำนับแสน เท่ากับปีศาจดวงจิตแรกเริ่มนับพัน เท่ากับปีศาจตัดวิญญาณขั้นต้นนับสิบ เท่ากับปีศาจตัดวิญญาณขั้นสูงสุด 1 ตน… แต่ถึงอย่างนั้น พวกเจ้าไม่มีทางต้านทางข้าได้!”

หนิงฝานซัดหอกเข้าใส่ฝูงปีศาจที่กรูเข้ามา ยามนี้ หอกตะวันของหนิงฝานทรงพลังเทียบเท่าการจู่โจมของของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลาง

แม้จะทำได้เพียงให้พวกมันทั้งหมดบาดเจ็บสาหัส แต่หนิงฝานแผ่สัมผัสกระบี่กวาดผ่านร่างพวกมันซ้ำ ทำให้พวกมันทั้งหมดตายลงไป

“เจ้าไม่ใช่หานเนี่ยเทียน… ไสหัวไป!”

ดวงตาหนิงฝานเปล่งประกาย แรงกดดันที่รุนแรงกดทับใส่อีกฝ่ายจนมันร้องลั่นและสลายไป

สตรีที่เฝ้ามองหนิงฝานตกตะลึง แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ การจะข้ามผ่านโลกลวงตาที่สองได้นั้นยากมาก อย่างน้อยๆต้องใช้เวลา 1 วัน

“ดูเหมือนข้าจะดูแคลนเขาเกินไป พลังระดับนี้สมควรอยู่ในอันดับ 1 ถึง 1000 แต่เหตุที่อยู่ลำดับแค่นี้ เพราะพลังของเขตยังไม่บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ หากเขาบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง เขาอาจจะติดหนึ่งในห้าร้อย แต่หากบรรลุถึงขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงสุด เขาจะมีรายชื่อใน 100 อันดับแรก”

21 ก้าว… 22 ก้าว… 30 ก้าว...

หนิงฝานสัมผัสพบว่า การที่ได้อยู่ภายหมอกสีม่วง แม้จะเป็นภาพลวงตาที่ทรงพลัง แต่ก็เป็นการยกระดับจิตใจชั้นยอดด้วยเหมือนกัน

การที่ทำลายภาพลวงตาทั้งสองได้ ทำให้ระดับจิตใจของหนิงฝานบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นต้น

40 ก้าว… 50 ก้าว… 90 ก้าว!

แต่ละช่วงก้าวที่ผันผ่าน เหล่าคนรู้จัก ญาติมิตร สหาย และคนรักปรากฏตัว ยามนี้ ด้านหลังของหนิงฝานมีเสียงของผู้ที่ดูแลเขาตั้งแต่ยังอยู่ตระกูลหนิง แต่หนิงฝานไม่ใส่ใจแม้แต้น้อย

เมื่อบรรลุถึง 99 ก้าว! หนิงฝานกลับหยุดฝีเท้า

สะพาน 10 ก้าว แม้กล่าวเช่นนั้น หนึ่งก้าวของมันก็เทียบเท่ากับ 10 ก้าว แต่ละช่วง 10 ก้าวมีภาพลวงตาคอยทดสอบ

ยามนี้ หนิงฝานเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นสะพานแล้ว แต่ในขณะนั้นเอง แขนสองข้างของสตรีนางหนึ่ง ได้โอบกอดตัวเขาจากด้านหลัง ความรู้สึกอบอุ่น สัมผัสที่คุ้นเคย ทั้งหมดเป็นของจริง ราวกับไม่ใช่ภาพลวงตา

“ลูกข้า… ลูกแม่… เจ้าจำแม่ได้หรือเปล่า… ตัวเจ้าแซ่หยุน อย่าได้เกลียดบิดาเจ้าเลย... เขาแค่ลืมพวกเราไปแล้วเท่านั้น… หากเขาจดจำได้ เขาจะมาพาเจ้ากลับบ้าน...”

เสียงอันโศกเศร้าแล่นผ่านหู สะท้อนก้องไปทั้งจิตใจ

“ช่างเป็นเสียงที่คุ้นเคย… เสียงของมารดาข้า”

แม้จะเหลืออีกเพียงก้าวเดียวหนิงฝานจะก้าวพ้นสะพาน แต่เขากลับเลือกที่จะหันหน้ากลับไป

สตรีที่เฝ้ามองหนิงฝานตกตะลึง อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาจะหันกลับไปแบบนั้นไม่ได้

หากผู้ใดหันหลังกลับไปมอง จะถูกหมอกสีม่วงเหล่านี้กลืนกิน

“สหายเต๋าหนิง เจ้าจะหันกลับไปไม่ได้!”

นางตะโกนเตือน แต่ก็สายไปแล้ว

เมื่อหนิงฝานหันหน้ากลับไป แววตาของเขาสมควรแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าไร้สติ แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

“ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่ข้ามสะพานและหันหลังกลับนั้นล้วนแต่ถูกภาพลวงตากลืนกิน แต่เด็กนี่ทำได้ยังไง?”

ภาพที่หนิงฝานเห็นคือสตรีในอาภรณ์เหลือง ใบหน้างดงามดูอ่อนโยน จนทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ

นางดูราวได้อายุประมาณ 28 ปี นางคล้ายกับสตรีในอาภรณ์เหลืองที่หนิงฝานพบใดดินแดนแห่งความฝันมาก

“ลูก… ลูกแม่...” นางสัมผัสศีรษะหนิงฝานอย่างถนุถนอม แววตาเผยถึงความสุข

แต่หนิงฝานกลับหลับตาและยิ้มเล็กน้อย

“นางคือมารดาของข้า...”

หนิงฝานไม่รู้จักบิดาและมารดาตน แต่ถึงอย่างนั้น ความรักและความอบอุ่นที่เขาได้รับ ก็มาจากหานหยวนจี๋ผู้เป็นอาจารย์ จื่อเฮ่อผู้เป็นภรรยา และหนิงกู่ผู้เป็นน้องชาย

“ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่… ดีจริงๆ วันหนึ่งข้าจะไปหาท่าน แล้วพวกเราจะได้พบกัน”

หนิงฝานสะบัดมือเบาๆ หมอกควันผู้เป็นมารดาก็สลายไป

แม้จะเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ก็ทำให้เขาได้รู้ว่ามารดาตนยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง

“คิดไม่ถึงว่าวันนี้ข้าจะได้รู้ว่าท่านแม่ยังชีวิต...”

“การทดสอบในครั้งนี้ไม่ใช่การทดสอบแต่อย่างมัน แต่มันคือการปล่อยวางสิ่งที่พันธะนาการจิตใจ ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ปราณ แต่เป็นจิตใจ!”

“เหตุที่ข้าหันหน้าไปแล้วไม่เกิดส่งใดขึ้นเป็นเพราะ จิตใจของข้าไม่ได้ปั่นป่วนสับสน ข้าตัดสินใจอย่างหนักแน่นแล้วว่าจะหันไปดูหน้ามารดา”

“คนทั่วไปตีความความหมายของสะพานแห่งนี้ผิด”

หนิงฝานหันหลังและก้าวเดินออกมาจากสะพาน

ทุกการกระทำและคำพูดของเขาทุกคำ สตรีที่เฝ้ามองได้ยินทั้งหมด

เขาช่างเป็นบุรุษที่ปราดเปรื่อง คนทั่วไปจะตีความสะพานนี้ว่า ต้องตัดขาดจากทุกคน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

“ยินดีด้วยน้องหนิงที่เจ้าทำสำเร็จ! เจ้าผ่านการทดสอบแรกแล้ว ข้ากล้าพูดเลยว่า หากเจ้าอยู่ในแดนสวรรค์ เจ้าจะเป็นผู้เยาว์ที่มากพรสวรรค์ การได้มีเจ้าข้างกายถือว่าโชคดี หรือต่อให้เจ้ายังอยู่ในโลกมนุษย์ จิตใจที่เข้มแข็งของเจ้าจะช่วยให้เจ้าฟันฝ่ามาถึงแดนสวรรค์ได้”

“ขอบคุณ… เชิญท่านพาข้าไปยังการทดสอบที่ 2 เถอะ!”

แต่ก่อนที่ทั้งสองจากก้าวเดิน แสงสีม่วงประกายวาบผ่าน ปรากฏกระบี่บินสีม่วงและสตรีที่งดงามนางหนึ่งที่เหยียบมันมา

“เป็นการทดสอบที่น่าสนใจมาก ข้าเป่ยลี่เคยเห็นผู้เชี่ยวชาญมากพรสวรรค์มากมาย แต่คนที่หันหลังกลับแล้วไม่เป็นอะไร ก็เจ้าคนแรกนี่แหละ”

เมื่อนางเข้ามาใกล้ นางลงจากกระบี่ กลิ่นหอมโชยจากตัวนาง ริมฝีปากที่ขยับก็หอมไม่แพ้กัน

แม้นางไม่กล่าวสิ่งใด เพียงรูปลักษณ์ของนางก็ทำให้คนหลงไหลได้แล้ว

“ข้าเป่ยลี่แห่งวิหารสาบสูญ ยินดีที่ได้พบเจ้า...”

นางบรรลุระดับกึ่งไร้ดัดแปลง จากกลิ่นอาย อีกไม่นานนางคงทะลวงขอบเขตไร้ดัดแปลง

ในขณะที่หนิงฝานหันกลับมาป้องมือให้นาง เขากลับต้องตกตะลึง

นางเป็นคนของวิหารสาบสูญ แซ่เป่ย… หรือนางจะเป็นพี่สาวของเป่ยเสี่ยวเหมิน?

หนิงฝานต้องซ่อนแหวนเย่าหยวนให้ดี หากนางเห็นคงกลายเป็นปัญหา

“การทดสอบที่สองคือ ‘เคาะระฆัง’ เสียงระฆังจะสะท้อนจิตใจของคน หากเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไปจะเคาะระฆังได้ 3 ครั้ง ในอดีตที่ข้าเข้ารับการทดสอบ ข้าตีระฆัง 11 ครั้ง… ไม่รู้ว่าเจ้าจะตีระฆังได้กี่ครั้ง”

ก่อนจะเริ่มทดสอบ หนิงฝานโคจรวิชาคารม กล่าวถามสิ่งต่างกระทั่งรู้ว่านางคือ ‘กระบี่ม่วงเป่ยลี่’ เป็นพี่สาวของเป่ยเซี่ยวเหมิน แต่หากเทียบกันแล้ว ดูเหมือนจะอ่อนโยนกว่าเป่ยเซี่ยวเหมินได้...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด