ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0242 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0244 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0243 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 243 : หนึ่งสู้สาม

ฉินหยุนรอคอยในแถวที่ห้องโถงของสนามประลองเพื่อจ่ายเหรียญผลึก เขาจำเป็นต้องจ่ายหนึ่งแสนเหรียญผลึกสำหรับหาคู่แข่งขันที่จัดแจงโดยเจ้าหน้าที่สนามประลอง

สนามประลองคราวนี้กำลังจะได้รับเหรียญผลึกจำนวนมหาศาล นักสู้หลายคนรู้สึกไม่ยินดี แต่พวกเขาก็ได้แต่ครวญครางภายในใจ

ในห้องโถง นักสู้หลายคนมองที่ฉินหยุน ขณะเริ่มกระซิบกระซาบกันเองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อวานตอนเย็น ศึกทั้งสองรอบของฉินหยุนชวนผู้คนตื่นตะลึง

รอบแรก เขาจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว

รอบที่สอง เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุด ฉินหยุนสังหารคู่ต่อสู้จนถึงขนาดที่เศษร่างกายก็ไม่เหลือ

และวันนี้ หลายคนกำลังคาดหวัง ว่าฉินหยุนจะได้รับชัยชนะอย่างไร!

ในที่สุดก็ถึงคราวฉินหยุนแล้ว

“ผู้อาวุโส ข้ามาอีกแล้ว” ฉินหยุนยิ้มให้อีกฝ่าย

“ต้องขอบคุณเจ้า ตั๋วเข้าชมวันนี้ขายได้ดีมากเลยทีเดียว” ผู้อาวุโสหัวเราะตอบ

ฉินหยุนเองก็หัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้รับเหรียญผลึกจากข้าเพื่อจัดคู่ต่อสู้ดีหรือไม่?”

ชายชราส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ไม่ได้ ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เจ้ายังคงต้องจ่ายเหรียญผลึกอยู่ดี”

“งกยิ่งนัก!” ฉินหยุนบ่นขณะนำเอาบัตรผลึกออกมา ถึงตอนนี้เอง เขาพลันนึกอะไรขึ้นได้

ผู้อาวุโสพบว่าฉินหยุนคล้ายคิดอันใด จึงยิ้มและเอ่ยถาม “เป็นอะไรแล้ว? ตื่นสนามประลอง? เมื่อวานเจ้าก็ทำได้ดีนี่ น่าจะภาคภูมิในใจตัวเองเสียมากกว่ากระมัง? หรือเจ้ากลัวต้องเผชิญกับคนที่จะตอแยเจ้าอย่างเมื่อวานอีก?”

“ผู้อาวุโส ข้าสามารถท้าทายหลายคนได้หรือไม่ขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ด้วยสามล้านแต้มเสวียนที่ข้ามี ข้าสามารถท้าทายสามคนในคราวเดียวได้หรือไม่?”

พอชายชราได้ยินดังนี้ ร่างกายเขาพลันชะงักงัน อีกฝ่ายถึงขั้นเสนอหนึ่งสู้สาม!

“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? เหมือนหูข้าไม่ค่อยดี?” ชายชราคล้ายไม่เชื่อจึงเอ่ยถามอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านได้ยินไม่ผิด ข้าอยากสู้หนึ่งต่อสาม! ด้วยวิธีการนี้ ข้าจะยิ่งได้รับแต้มเสวียนรวดเร็วมากขึ้น” ฉินหยุนยิ้ม “เช่นกัน ข้าจะจ่ายให้ท่านสามแสนเหรียญผลึก ไม่ใช่ว่าที่นี่ก็มีศึกเป็นกลุ่มคนอะไรทำนองนี้หรอกหรือ? ข้าจะท้าประลองกลุ่มนักสู้สามคน ไม่น่ามีปัญหาใช่หรือไม่ขอรับ?”

ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก “แน่นอนว่าทำได้ แต่... แต่เจ้าจะชนะได้จริงหรือ? นี่คือหนึ่งสู้สามเลยนะ! นอกจากนี้ เจ้ายังเป็นศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน เมื่อเจ้าเคลื่อนไหว จำเป็นต้องยั้งมือ ไม่อาจใช้อาวุธในการต่อสู้ พิจารณาแล้วข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถชนะได้เลย”

“ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่ผู้ที่ขึ้นลานประลอง ท่านกังวลอะไรกัน?” ฉินหยุนหาได้ใส่ใจไม่ ในตอนนี้ ระดับการฝึกฝนของเขาเทียบเท่าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า กระทั่งว่าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ก็ไม่ใช่แน่นอนเสมอไปที่อีกฝ่ายจะเอาชนะเขาได้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกว่าหากเผชิญหน้านักสู้ระดับกลาง จำนวนสามคนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เป็นเขามั่นใจในพละกำลังตนเอง เขาคิดอยากใช้โอกาสนี้ได้ทดลอง ว่าแก่นภายในตะวันทมิฬแข็งแกร่งเพียงใด

“ในเมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็ไม่คิดกล่าวอื่นใดอีก ข้าจะช่วยเจ้าหาคู่ต่อสู้ให้แล้วกัน” ผู้อาวุโสรับบัตรผลึกจากฉินหยุน เก็บค่าทำรายการสามแสนเหรียญผลึก จากนั้นจึงเริ่มหาคู่ต่อสู้ให้แก่เขา

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสจึงยิ้มให้ “ข้าช่วยจัดแจงหาสามคนที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแบบทั่วไปให้แล้ว เหล่านั้นเป็นศิษย์ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มาจากตำหนักตะวันออก!”

“ศิษย์ของตำหนักตะวันออกก็น่าจะดี” ฉินหยุนเอ่ย “ศิษย์ตำหนักตะวันออกเหล่านี้มีพลังทั่วไปแน่หรือขอรับ? ท่านหาได้หลอกข้าใช่หรือไม่?”

“นี่เจ้าไม่รู้หรือ? พละกำลังของศิษย์จากตำหนักตะวันออกน่ะถือว่าทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะพวกที่มาที่นี่เพื่อล่าแต้มเสวียน” ชายชราหัวเราะ

ฉินหยุนยังไม่เชื่อ “โจวจงฮวยแข็งแกร่งขนาดนั้น เขาถูกจัดว่าทั่วไปด้วยหรือไม่?”

“โจวจงฮวยถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเขาเพิ่งออกจากคุก จึงไม่มีเรื่องดีที่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามสักเท่าใด ดังนั้นแล้วจึงได้แต่มาที่นี่เพื่อล่าแต้มเสวียน” ชายชราหัวเราะให้ “วางใจเถอะ การตัดสินของข้าถือว่าแม่นยำแล้ว ในช่วงบ่าย เจ้าก็ขึ้นไปบนลานประลองได้เลย”

ฉินหยุนรับบัตรผลึกคืน จากนั้นเดินออกจากโถงเข้าสนามประลองไป เป็นเขาเดินขึ้นมาชั้นบนสุดของที่นั่งผู้ชม สายตากำลังมองหาพวกหลันเฟิงจิน

การแข่งขันวันนี้ดุเดือด หลายคนต่างเพ่งสมาธิไปยังลานประลองด้านล่าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พบเห็นฉินหยุน ที่สวมใส่หมวกอำพรางตัวตน

หลันเฟิงจินและเสวี้ยซือเยี่ย กำลังแนบเนียนรับชมการประลองยุทธ์อยู่ กระทั่งฉินหยุนเข้ามาใกล้ทั้งสองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

ฉินหยุนตัดสินใจสัมผัสไหล่ของหลันเฟิงจินบางเบา แต่แล้ว นางกลับคว้าข้อมือเขาไว้แน่น

“ข้าเอง!” ฉินหยุนหัวเราะแห้ง

เสวี้ยซือเยี่ยเห็นเป็นฉินหยุน นางเร่งรีบเอ่ยคำ “ฉินหยุน อาหารเช้าพวกนั้นอร่อยหรือไม่? เป็นข้าทำมันเอง!”

“อร่อยมาก เป็นเจ้าทำนี่เอง! ต้องขอบคุณแล้ว เหมือนที่ข้าคิดไว้ หญิงดิบเถื่อนอย่างพี่หลันหรือจะทำอาหารวิจิตรบรรจงเช่นนั้นได้?” ฉินหยุนยิ้มกว้าง

“ยินดีแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้ได้เพราะเจ้าช่วยรักษาวิญญาณยุทธ์ให้ ทั้งยังช่วยพลังธาตุข้าให้คืบหน้าขึ้นอีก” เป็นเสวี้ยซือเยี่ยสำนึกบุญคุณต่อฉินหยุน

“เจ้าหนู อย่าได้ดูถูกข้านัก! วันหลังข้าจะทำอาหารที่อร่อยให้เจ้าได้กินเอง...” หลันเฟิงจินคล้ายหลุดปาก นางพลันกลอกตาเอ่ยถามเรื่องอื่น “แล้วเมื่อใดเจ้าจะขึ้นลานประลอง รู้หรือยังว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร?”

“พวกเขาหรือ ข้าเองไม่ทราบนักว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ผู้อาวุโสที่รับหน้าที่จัดแจงนัดประลองบอกว่า พวกเขามาจากตำหนักตะวันออก” ฉินหยุนตอบ

“พวกเขา?” เสวี้ยซือเยี่ยคิ้วขมวด เอ่ยถามอย่างสับสน

“ใช่ เป็นข้าเลือกสู้กับสามคน ด้วยวิธีนี้ จะได้เป็นนักสู้ระดับสูงโดยเร็ว” ฉินหยุนยิ้มกว้าง

ทั้งหลันเฟิงจินและเสวี้ยซือเยี่ยพลันมองฉินหยุนอย่างไม่อยากเชื่อ พวกนางกำลังคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว

“เจ้าหนูนี่ สมองเจ้าโขกประตูตอนเช้าหรืออย่างไร?” หลันเฟิงจินเร่งรีบตำหนิ “หากอยู่กลางป่าเจ้าคงไม่เป็นไร เพราะมียันต์สะกดกายหรืออะไรทำนองนั้นให้ใช้ ข้าจะไม่ห่วงเจ้าเลย แต่ที่นี่คือสนามประลอง มีข้อกำหนดหลายประการ! เจ้าไม่อาจใช้อุปกรณ์วิญญาณ หรือยันต์ ทั้งยังไม่อาจทำร้ายคู่ต่อสู้จนบาดเจ็บหนัก ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ เจ้าไม่มีทางเทียบสามคนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดได้”

เสวี้ยซือเยี่ยเร่งร้อนกล่าว “ฉินหยุน นี่ยังไม่สายหากคิดยกเลิก! ให้ข้าช่วยเจ้าจ่ายเงินค่าจับคู่ เรื่องนี้อันตรายจนเกินไป”

ฉินหยุนมีท่าทีเฉยชา เขาทราบพละกำลังตนเองเป็นอย่างดี จึงยิ้มรับไม่หวั่นเกรง “อย่าได้ห่วง หากข้าไม่ชนะ ก็แค่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ตายหรอกน่า”

“หากเป็นกรณีนั้น เจ้าแพ้ก็จะเสียสามล้านแต้มเสวียน เมื่อถึงเวลา เจ้าจะไม่มีสักแต้มเสวียนอยู่ในบัตรแต้มเสวียน เป็นผลให้ไม่อาจท้าประลองครั้งถัดไปได้อีก” หลันเฟิงจินโกรธไม่น้อย เพราะฉินหยุนบุ่มบ่ามจนเกินไปแล้ว

“หากข้าจัดการสามคนนั้นได้เล่า?” ฉินหยุนยิ้มบางขณะมองสองโฉมงาม หลันเฟิงจิน และเสวี้ยซือเยี่ย

หลันเฟิงจินฮึดฮัดกล่าวคำ “เจ้าจัดการสามคนนั้นไม่ไหวหรอก!”

เสวี้ยซือเยี่ยพยักหน้ารับ “คิดว่าข้ารู้จักสามคนจากตำหนักตะวันออกนะ พวกเขาเป็นแฝดสาม จิตใจมีการเชื่อมโยงถึงกัน ถือว่าประสานงานกันได้ดีเยี่ยม ลำพังแต่เจ้า กระทั่งว่าพวกเราจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา ก็ไม่น่าจัดการพวกเขาได้ง่าย”

“ตาเฒ่านั่น! ถึงขั้นบอกข้าว่าสามคนนั้นก็มีพลังดาษดื่นทั่วไป เห็นข้าเป็นเด็กจึงหลอกกันได้เรอะ” ฉินหยุนเริ่มโกรธขณะสบถคำออกมา

หลันเฟิงจินถอนหายใจ “แฝดสามของตำหนักตะวันออก ทั้งมีชื่อเสียงและแข็งแกร่ง อายุสิบแปดก็อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแล้ว วิญญาณยุทธ์และเส้นวิญญาณก็เก็บเป็นความลับ นอกจากนี้ พวกเขาทั้งสามยังประสานกันได้ด้วยดี กระทั่งขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าก็สามารถจัดการได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีโอกาสชนะ”

ด้วยเพราะอะไรไม่ทราบ ฉินหยุนพลันรู้สึกคาดหวังต่อแฝดสามมากขึ้นอย่างประหลาด

“เหตุใดดูถูกข้าเพียงนี้?” ฉินหยุนถามด้วยความไม่ยินดี

“ไม่ใช่พวกเราดูถูกเจ้า แต่มันคือข้อเท็จจริง ด้วยเงื่อนไขของสนามประลอง มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะจัดการคนทั้งสามด้วยตัวเอง” หลันเฟิงจินแค่นเสียงเบา “หากเจ้าไม่เชื่อล้วนไม่เป็นไร ไว้เมื่อเวลามาถึง เจ้าจะได้รู้เองว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด”

“ฉินหยุน ไปกัน ข้าจะช่วยเจ้าเรื่องยกเลิกประลองรอบนี้ หากไม่แล้ว เจ้าจะตกอยู่ในปัญหาหลังสูญเสียสามล้านแต้มเสวียน” เสวี้ยซือเยี่ยดึงแขนฉินหยุนเตรียมนำไปโต๊ะลงทะเบียน

ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนพลันหัวเราะขึ้น “ในเมื่อคิดว่าข้าจะแพ้ แบบนั้นแล้ว... หากข้าชนะขึ้นมา ไม่มอบจูบแก่ข้าเป็นเดิมพันเสียเล่า?”

หลันเฟิงจินพอได้ยินดังนี้ นางกัดริมฝีปากล่าง พร้อมเหยียบเท้าของฉินหยุนบางเบา เป็นนางเอ่ยคำต่อว่า “เจ้าเด็กน้อยนี่ คิดแต่เรื่องพวกนี้มานานเท่าไหร่กันแล้ว?”

“เหอะ ใครใช้ให้พวกท่านทั้งสองคิดว่าข้าไม่อาจชนะ? ในเมื่อคิดเช่นนั้นจริงก็มาเดิมพันกัน ในเมื่อข้าไม่อาจชนะ ก็ไม่ต้องจูบข้าจริงไหม?” ฉินหยุนพยายามใช้เหตุผลยั่วยุด้วยรอยยิ้มชั่วช้า

หลันเฟิงจินจ้องมองไม่วางตา “หากเจ้าแพ้ จงหาของขวัญมอบแก่พวกเรา ตกลงหรือไม่?”

“หากข้าแพ้ เป็นข้าจูบท่านแทน” ฉินหยุนกลับเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา

“ไปตายซะ!” หลันเฟิงจินปล่อยหมดเข้าใส่ใบหน้า

ฉินหยุนแลบลิ้นออก ยิ้มรับกล่าวคำ “เช่นนั้น ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอันใดกันดี?”

เสวี้ยซือเยี่ยกัดริมฝีปาก ราวกับนางต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ “ข้ายังติดค้างแก่นอสูรจำนวนหนึ่งแก่เจ้าอยู่ หากเจ้าแพ้ ข้าก็ไม่ต้องจ่ายแก่นอสูรเหล่านั้นแล้วกัน”

หลันเฟิงจินครุ่นคิดไปครู่ค่อยตอบ “หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องช่วยข้าขัดเกลายันต์จำนวนหนึ่ง”

“ไม่มีปัญหา แต่ต้องจูบข้าที่ตรงนี้” ฉินหยุนยกนิ้วขึ้นชี้ที่ริมฝีปากตนเอง

หลันเฟิงจินคิดอยากตบที่ใบหน้าสักคราหนึ่ง นางจึงฮึดฮัดบางเบากล่าวคำออก “ไม่ ข้าจะจูบเจ้าแค่ที่แก้ม!”

เสวี้ยซือเยี่ยเองก็พยักหน้ารับและกล่าว “แค่ที่แก้ม!”

สำหรับผู้หญิง การจูบริมฝีปากผู้ชายด้วยตัวเอง ถือเป็นเรื่องยากกระทำยิ่ง

“ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะชนะเสียหน่อยนี่ แค่จูบนิดหน่อยทำเป็นจู้จี้ไปได้” ฉินหยุนยิ้มรับ

“เหตุใดพวกเราไม่หยุดการเดิมพันนี้เสียเล่า?” หลันเฟิงจินไม่คิดคล้ายให้ฉินหยุนเอาเปรียบ

ฉินหยุนเร่งรีบกล่าว “ก็ได้ ก็ได้ ที่แก้มก็ที่แก้ม แต่ไว้เวลานั้นมาถึง ข้าจะจูบท่านที่แก้มด้วย”

หลันเฟิงจินหันมองเสวี้ยซือเยี่ยก่อนกล่าวคำตอบ “เอาแบบนั้น!”

“ได้ งั้นมาจับมือสัญญากันดีกว่า” ฉินหยุนยกมือขึ้น ยื่นไปทางหลันเฟิงจิน

หลันเฟิงจินฮึดฮัดคราหนึ่งก่อนจะตบเข้าที่มือ

เสวี้ยซือเยี่ยเองก็ยื่นมือของนางตบที่มือฉินหยุนเช่นกัน

กลายเป็นฉินหยุนหัวเราะยินดี ทำเอาหลันเฟิงจินรู้ที่คันแต่อยากจะเกา สำหรับเสวี้ยซือเยี่ย นางรู้สึกเขินอายนักยามนึกถึงตอนที่ต้องจูบแก้มของฉินหยุน แม้ว่าฉินหยุนยังไม่ได้รับชัยชนะ แต่ความคิดของนางกลับเตลิดไปก่อนเสียแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด