ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0232 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0234 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0233 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 233 : สาขาหลักตำหนักจารึกเทวะ

หลันเฟิงจินและฉินหยุนเดินเข้าสู่โถงกว้างใหญ่ตระการตา ก่อนจะนั่งลงที่มุมหนึ่ง มีผู้คนมากมายต่างนั่งเช่นเดียวกัน ราวกับพวกเขากำลังรอคนผู้หนึ่ง

บางคน ก็เป็นผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจากตำหนักจารึกเทวะ เพื่อการแกะสลักหรือขัดเกลาอุปกรณ์ พวกเขาล้วนรอคอยที่นี่

ฉินหยุนมาที่นี่เพื่อพบจ้าวฉวน และถามต่ออีกฝ่ายว่าตนสามารถแลกเปลี่ยนเป็นยาที่ต้องการได้หรือไม่

หลันเฟิงจินเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง และเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบของตำหนักเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนางจึงมีสถานะสูงส่ง ตราบเท่าที่นางเผยเหรียญตราอาจารย์จารึกระดับสูงในมือ นางจะสามารถเข้าพบจ้าวฉวนได้โดยทันที

คนของตำหนัก ได้รายงานต่อจ้าวฉวนเรียบร้อยแล้ว พวกเขาได้แต่รอ

ไม่นานนัก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหาแจ้งต่อหลันเฟิงจิน ว่าจ้าวฉวนมีเวลาว่างคิดอยากพบนาง ดังนั้น นางและฉินหยุนจึงตามชายหนุ่มขึ้นสู่ชั้นสองซึ่งเป็นส่วนรับแขก

ฉินหยุนและหลันเฟิงจินเข้าไปจึงได้พบจ้าวฉวน

จ้าวฉวนคือผู้อาวุโสใหญ่ ทว่าเขาคือผู้สวมใส่ชุดเรียบง่ายสีขาว เมื่อเขาเห็นฉินหยุน ร่องรอยตระหนกเกิดขึ้นเล็กน้อยก่อนหัวเราะเดินเข้ามา เขาเป็นชายเส้นผมขาวทั้งศีรษะ ทว่าหาได้ดูชราภาพไม่ กลับกัน เขากลับดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าคนหนุ่มด้วยซ้ำ

“ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสใหญ่!” หลันเฟิงจินกล่าวทักทายจ้าวฉวนด้วยรอยยิ้ม

“ผู้อาวุโสใหญ่ ไม่เจอกันนานขอรับ!” ฉินหยุนหัวเราะ

จ้าวฉวนยิ้มลูบที่ศีรษะฉินหยุน เขากล่าว “เจ้าหนู นี่เจ้ามีเวลามาหาข้าถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน? หรือเจ้าตัดสินใจเข้าร่วมตำหนักจารึกเทวะแล้ว?”

วิญญาณยุทธ์ของฉินหยุนฟื้นฟูแล้ว จ้าวฉวนทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ย้อนกลับไปตอนนั้น เขายินดียิ่ง กระทั่งมาหาฉินหยุนถึงสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน

“ยังไม่ถึงเวลาขอรับ เป็นข้าโดนจำกัดการแลกเปลี่ยนแต้มเสวียน ดังนั้นจึงมาสอบถามว่าพอจะแลกเปลี่ยนอะไรกับท่านได้บ้าง” ฉินหยุนนำเอาแก่นอสูรระดับเก้าจำนวนสี่สิบเม็ดออกมา “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านมียาใดที่ช่วยเพิ่มพูนการฝึกฝนของข้าหรือไม่? ตอนนี้ข้าสามารถควบแน่นขุมพลังภายในขั้นสูงได้แล้ว!”

จ้าวฉวนย่อมทราบเรื่องฉินหยุนประกาศท้าทายต่อเชี่ยวหยางหลงที่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เขายังรู้สึกว่าฉินหยุนออกจะใจร้อนเกินไปที่ท้าทายต่อเชี่ยวหยางหลง

“สถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสาม และตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มีข้อห้ามการแลกเปลี่ยนแต้มเสวียนระหว่างศิษย์ หากข้าใช้แก่นอสูรแลกแต้มเสวียน พวกเขาก็จำกัดเอาไว้ที่หนึ่งร้อยล้านแต้มเสวียนต่อปี จำนวนเพียงเท่านั้นถือว่าไม่พอ!” ฉินหยุนถอนหายใจ

จ้าวฉวนมองกองแก่นอสูรระดับเก้าที่โต๊ะและพยักหน้า “หากเจ้าไม่มีข้อจำกัด ด้วยความเร็วในการได้รับแก่นอสูรของเจ้า จะทำให้สามารถก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าได้ภายในสองปี!”

“ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับเก้าหรือขอรับ?” ฉินหยุนเม้มริมฝีปาก

หลันเฟิงจินแค่นเสียงกล่าวคำ “ควรพอใจบ้าง! ถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าด้วยอายุเพียงสิบแปด ถือว่ารวดเร็วยิ่งนักแล้ว! เชี่ยวเย่ว์หลานเริ่มก่อนหน้าเจ้า ดังนั้นความเร็วของนางถือว่าปกติ เชี่ยวหยางหลงเองก็ถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าช่วงอายุยี่สิบห้า และก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้ตอนอายุสามสิบ นี่เจ้าคิดอยากก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าภายในสองปีเลยหรือ?”

นั่นคือสิ่งที่ฉินหยุนคิด หากเขาไม่อาจก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะโค่นล้มเชี่ยวหยางหลงได้

“ฉินหยุน ข้าต้องสอบถามผู้อื่นก่อน เพื่อหาว่าเม็ดยาใดจึงช่วยเจ้าตามที่ต้องการ อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง! น่าจะหลายชั่วโมงอยู่” จ้าวฉวนกล่าว “ฝากแก่นอสูรไว้ที่นี่และรอข่าวคราวจากข้า! โอ้ใช่แล้ว ยังมีการแลกเปลี่ยนนักเล่นแร่แปรธาตุขึ้นที่นี่ด้วย โดยหลักแล้วอาจารย์จารึกระดับสูงจะมาหารือเรื่องราวต่อกัน เจ้าสนใจเข้าร่วมหรือไม่?”

“แน่นอนขอรับ!” ฉินหยุนตอบคำโดยทันที “พี่หลัน ไปด้วยกันเถอะ!”

หลันเฟิงจินเองก็สนใจ นางพยักหน้ารับและกล่าว “ได้! การขัดเกลาวัสดุโดยอาจารย์จารึกระดับสูงล้วนแต่ใช้เพื่ออุปกรณ์วิญญาณชั้นเลิศ พวกมันไม่เพียงใช้แต่กระดูกเหล็กกล้า แต่ยังต้องใช้วัสดุพิเศษระดับสูงอย่างอื่น อาจารย์จารึกทุกคนต่างมีประสบการณ์เป็นของตัวเอง และความเข้าใจในการขัดเกลาวัสดุแต่ละชนิดของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป”

จ้าวฉวนบอกต่อหลันเฟิงจินและฉินหยุนถึงที่จัดงาน ก่อนเร่งรีบออกไป เหตุผลที่ฉินหยุนได้รับการช่วยเหลือจากเขา ก็เพราะเขาคาดหวังต่อพรสวรรค์วิถีจารึกของฉินหยุนเอาไว้สูง

งานแลกเปลี่ยนนักเล่นแร่แปรธาตุจัดขึ้นที่โถงใหญ่ชั้นสิบของตำหนักจารึกเทวะ ผู้เข้าร่วมล้วนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง พวกเขาได้รับเทียบเชิญกันมาทั้งสิ้น

เพราะการปรากฏตัวของสัตว์อสูร กระดูกสัตว์อสูรและแก่นอสูร พวกมันล้วนเป็นวัสดุในการขัดเกลา เพราะแบบนี้ตำหนักจึงเชื้อเชิญอาจารย์จารึกระดับสูงจากทั่วสารทิศ เพื่อหารือถึงการขัดเกลาและใช้งานชิ้นส่วนของสัตว์อสูร

ฉินหยุนและหลันเฟิงจิน ได้หญิงร่างสูงผู้หนึ่งนำสู่โถงที่ชั้นสิบสอง

ที่แห่งนี้คือห้องโถงทรงกลมกว้างหลายสิบเมตร ผนังถูกสร้างขึ้นจากทองแดงโบราณ ภายใต้การส่องแสงของหินเรืองแสง พวกเขาล้วนสามารถพบเห็นผังจารึกผนังได้

ใจกลางของโถงว่างเปล่า เก้าอี้ซึ่งวางเอาไว้เป็นวงกลมตามผนัง รวมแล้วทั้งสิ้นมีแค่หนึ่งร้อยที่นั่ง

ฉินหยุนและหลันเฟิงจินมาถึงเป็นคนแรก ทั้งสองเลือกนั่งเก้าอี้รอคอยอาจารย์จารึกท่านอื่นมาถึง

“ที่แห่งนี้งดงามนัก สมควรใช้แต่การประชุมนัดสำคัญ” ฉินหยุนสำรวจอย่างถี่ถ้วนขณะกล่าว “การเก็บเสียงทำได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ตัวผนังยังดูดกลืนพลังงานได้ ต่อให้พวกเราสู้กันที่นี่ คนด้านนอกห้องโถงไม่มีทางรู้เห็น”

หลันเฟิงจินกล่าว “ฉินหยุน ไม่ใช่เจ้าเป็นอาจารย์จารึกระดับต้นหรือ? เมื่อเข้าตำหนักจงมีเหรียญตราติดตัวไว้โดยตลอด”

ฉินหยุนนำเอาเหรียญตราตนเองออกมา และมองที่เหรียญตราของหลันเฟิงจิน มันเป็นสีทอง

“ของข้าแค่เหรียญตราทองแดง ดังนั้นข้าจึงไม่อาจเอาออกมานำเสนอเช่นท่านได้!” เขารู้สึกว่าสมควรได้เวลาเพิ่มระดับเหรียญตราตนเองแล้ว

เหรียญตราทองแดงคือระดับต้น เหรียญตราเงินคือระดับกลาง และเหรียญตราทองคือระดับสูง

ฉินหยุนรู้สึกได้ ว่าตนตอนนี้สมควรเป็นอาจารย์จารึกระดับกลางแล้ว ส่วนระดับสูง เขาไม่มั่นใจนัก เขาจำเป็นต้องขัดเกลายันต์วิญญาณระดับสูง อุปกรณ์วิญญาณระดับสูง หรือไม่ก็ค่ายอาคมวิญญาณระดับสูง

ปัจจุบัน เขาเพียงขัดเกลาผังวิญญาณระดับสูง และอุปกรณ์วิญญาณระดับสูง เขายังไม่เคยสร้างค่ายอาคมวิญญาณระดับสูงมาก่อน

การติดตั้งค่ายอาคมถือเป็นเรื่องยาก โดนเฉพาะกับระดับสูง มันจำเป็นต้องใช้เวลานานยิ่งหากคนผู้หนึ่งคิดทำให้สำเร็จ

ผู้คนเริ่มเข้ามาคนแล้วคนเล่า พวกเขาล้วนชราภาพ มีน้อยนิดที่อยู่วัยกลางคน มีเพียงแต่หลันเฟิงจินที่เป็นหญิงสาวและเยาว์ที่สุด

มีเพียงราวสามสิบคนที่เข้าร่วม นี่เป็นการบ่งบอกว่าอาจารย์จารึกระดับสูงมีไม่มากนัก

นอกจากอาจารย์จารึกระดับสูง ก็ยังมีผู้เยาว์จำนวนหนึ่ง พวกเขาล้วนมาที่นี่ก็เพราะอาจารย์จารึกระดับสูงให้ติดตามมา

เมื่อคนเหล่านี้พบหลันเฟิงจินและฉินหยุน พวกเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่า บางคนก็สายตาเฉียบคมพบเห็นเหรียญตราสีทองบนหน้าอกหลันเฟิงจิน นี่เป็นเหรียญตราของอาจารย์จารึกระดับสูง!

อาจารย์จารึกหญิงสาว ทั้งยังมีระดับสูง ถือว่าหาได้ยากยิ่ง

มีเพียงอาจารย์จารึกระดับสูงที่นั่งลง ขณะที่ผู้เยาว์ล้วนต้องยืนสองฟากข้างเก้าอี้ของผู้อาวุโส กระทั่งว่ามีเก้าอี้ว่างจำนวนมาก พวกเขายังไม่อาจนั่ง เป็นเพราะผู้ที่นั่งจะต้องมีสถานะระดับหนึ่งและได้รับการเชื้อเชิญ

“น้องชาย เจ้าไม่คล้ายเข้าใจกฎเกณฑ์นะ! ที่นั่งที่นี่ไม่ใช่สถานที่ซึ่งเจ้าสามารถนั่งได้” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีครามกล่าวเย็นชาขณะมองฉินหยุน เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่นั่งอย่างใจเย็นที่นี้

ฉินหยุนมองเด็กหนุ่มที่ทักท้วงตนและกล่าว “เจ้าเอาอะไรมาพูดว่าข้าไม่อาจนั่ง?”

เมื่อชายชราในชุดเขียวได้ยินดังนี้ เขาไม่ยินดีนัก คิ้วชราขมวดกันแน่นขณะเอ่ยเสียงเย็นชา “ตัวเจ้าคือเหตุผล! เป็นข้ามาที่นี่สองครั้งแล้ว และข้าคืออาจารย์จารึกระดับสูง มีเพียงอาจารย์จารึกจึงสามารถนั่งเก้าอี้ได้”

ฉินหยุนนำเอาเหรียญตราทองแดงออกมากล่าวคำ “ข้าเป็นอาจารย์จารึก ทีนี้หุบปากได้หรือยัง!”

แม้เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอาจารย์จารึกระดับต้น แต่กลับโอหังได้เพียงนี้!

เรื่องนี้ทำเอาทั้งโถงเต็มไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา!

“อาจารย์จารึกวัยเยาว์เพียงนี้สมควรมีคนเดียว เป็นฉินหยุน! ข้าสงสัยนักว่าเจ้าใช่ฉินหยุนหรือไม่?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงดัง

“ข้าเอง!” ฉินหยุนปรบมือแก่ชายวัยกลางคน “เป็นผู้อาวุโสจ้าวฉวนเชิญข้ามาที่นี่!”

เป็นฉินหยุนตัวจริง!

ทุกคนอึ้งกันอีกครั้ง ตามข่าวลือ ฉินหยุนเชี่ยวชาญผังวิญญาณระดับสูงจำนวนมาก

สีหน้าของเด็กหนุ่มที่ต่อว่าฉินหยุน และผู้อาวุโสของเขากลับกลายเป็นน่าเกลียด โดยเฉพาะเด็กหนุ่ม เขาต้องอับอายต่อรุ่นเยาว์ผู้อื่นซึ่งมาที่นี่ด้วยกันราวเป็นตัวตลก ทั้งยังไม่อาจปกปิดความริษยาที่มีต่อฉินหยุนได้

“น้องชาย อาจารย์จารึกหญิงข้างกายเจ้าไม่ค่อยคุ้นหน้านัก ข้า หลี่จวินไม่เคยได้ยินว่า มีอาจารย์จารึกระดับสูงวัยเยาว์เพียงนี้อยู่ด้วย” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม

อาจารย์จารึกชราผู้อื่นต่างพยักหน้าเห็นด้วย

ที่ภูมิภาคแห่งนี้ อาจารย์จารึกระดับสูงมีกันอยู่ราวหนึ่งร้อยคน หากมีผู้อื่นที่เพิ่งเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง พวกเขาย่อมต้องทราบ

หลันเฟิงจิน โดยปกติแล้วอยู่แต่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ และการทดสอบเป็นอาจารย์จารึกของนางไม่ได้จัดขึ้นที่นี่ แต่เป็นแดนยุทธ์อ้างว้าง

“ข้ามาจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เป็นปกติที่จะไม่รู้จักข้า เป็นข้าผ่านการทดสอบจากสาขาในแดนยุทธ์อ้างว้าง” หลันเฟิงจินเผยน้ำเสียงเย็นชา สายตาของนางกวาดมองกลุ่มคน เป็นการเผยความภาคภูมิตนเอง

เมื่อได้ยินว่านางมาจากแดนยุทธ์อ้างว้าง อาจารย์จารึกระดับสูงที่นี่ล้วนตระหนัก สำหรับพวกเขา แดนยุทธ์อ้างว้างถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์

หลันเฟิงจินเผยสีหน้าเย็นชาที่ใบหน้า แม้อาจารย์จารึกที่อวดดีเหล่านี้ไม่ยินดี แต่พวกเขาก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้เพราะสถานะเท่าเทียมกัน

ฉินหยุนรู้แต่แรกแล้ว ว่าอาจารย์จารึกระดับสูงล้วนอวดดีและภาคภูมิในตัวเอง เมื่อพบเจอกับตัวเช่นนี้อีกครั้งเขาพลันผิดหวัง การแลกเปลี่ยนครั้งนี้คงไม่สวยงามดังเขาคิดแล้ว

ชายชราในชุดสีเหลืองนำเอากระดูกทองคำขนาดใหญ่ออกมา มันเป็นกระดูกขาของสัตว์ขนาดใหญ่ เขาวางกระดูกทองคำลงกับพื้นและยิ้มเอ่ยคำ “นี่เป็นสัตว์อสูรระดับวิญญาณที่ข้าสังหารได้สิบวันก่อน! ต้องบอกเลยว่าสัตว์อสูรตัวนี้ทรงพลังมากนัก เป็นเพราะพวกมันฝึกฝนกระดูกได้ดีเพียงนี้”

“เศษกระดูกนั่นคืออะไร? เขาขนาดใหญ่ของสัตว์วิญญาณที่ข้าสังหารได้นั้นถึงทรงพลังแท้จริง กระทั่งว่าเจ้าใช้อาวุธวิญญาณระดับราชัน ก็ยังไม่อาจทำลายมันลงได้” ชายชราหนวดเครายาวนำเอาเขาสัตว์สีดำยาวสองเมตรออกมานำเสนอ

อาจารย์จารึกระดับสูงท่านอื่นต่างก็เอากระดูก เกล็ด เขาสัตว์ ฟันสัตว์ อวัยวะของสัตว์อสูรระดับวิญญาณออกมานำเสนออวดความสามารถตัวเองกันยกใหญ่ นี่เป็นการแสดงพลังอำนาจ พวกเขาล้วนพูดคุยกันเอง

เด็กหนุ่มในชุดสีครามผู้ที่เบาะแว้งกับฉินหยุนก่อนหน้านี้ แค่นเสียงกล่าวคำต่อฉินหยุน “ฉินหยุน เจ้าเป็นอาจารย์จารึก สมควรมีของดีนำเสนอบ้างใช่หรือไม่!”

ฉินหยุนไม่ยินดีนักขณะกล่าวเสียงดัง “ข้าจะนำออกมาหรือไม่ล้วนไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า เหตุใดปากเจ้าพูดมากเพียงนี้? กับเด็กน้อยเช่นเจ้าที่ได้แต่ยืนอยู่ด้านข้าง ล้วนหุบปากอย่าได้กล่าววาจาอันใด”

ผู้อาวุโสของเด็กหนุ่มเผยเสียงเหยียดหยัน “ฉินหยุน เจ้าก็แค่อาจารย์จารึกระดับต้น! แต่นี่คือการแลกเปลี่ยนที่เตรียมไว้เพื่ออาจารย์จารึกระดับสูง เดิมทีนี่ไม่ใช่สถานที่ของเจ้า เจ้าถึงขั้นโอหังในที่แห่งนี้ หยิ่งผยองเกินไปแล้ว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด