เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0220 [อ่านฟรี]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 220 : สถาบันเทียนเจียว
“นี่เป็นตำนานที่อาจารย์ข้าบอกเล่าต่อมา” พานต้าเหว่ยตอนนี้อาหารก็เต็มปากแต่ก็ยังพูดด้วยท่าทีสุภาพ เรื่องนี้ยากบอกว่าชายร่างท้วนผู้นี้เป็นผู้สุภาพในโต๊ะอาหาร
ตู้ก่วยกลืนอาหารลงท้องก่อนตอบคำ “ข้าเองก็ได้ยินอาจารย์กล่าวถึงตำนาน เขาบอกว่ามีสมบัติซุกซ่อนเอาไว้ในต้นไม้สมบัติตะวันดารา”
พานต้าเหว่ยถอนหายใจกล่าว “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตำนานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์! กระทั่งพวกเรายังไม่อาจเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลสาบหมื่นดารา แต่ข้าได้ยินจากอดีตอธิการบดี ว่าทะเลสาบหมื่นดาราถูกใช้สร้างเมืองขึ้นด้านบนเพราะเหตุผลบางอย่าง บางทีมังกรวัวกระทิงนั่นอาจเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ของทะเลสาบหมื่นดารา”
“ข้าสงสัยนักว่าตาเฒ่าพวกนั้นหลอกพวกเราหรือเปล่า” ตู้ก่วยกล่าวอย่างไม่เชื่อ “ข้าอาศัยในต้นไม้สมบัติตะวันดารามานานหลายปี แต่ไม่เคยพบเจอสมบัติใดมาก่อน นอกจากใบไม้และใบไม้ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรอีก”
พานต้าเหว่ยขมวดคิ้ว “อันที่จริงข้าคิดว่าตำนานมังกรวัวกระทิงอาจเป็นจริง เพราะแทบไม่มีสัตว์อสูรทรงพลังกล้าเข้าใกล้ทะเลสาบหมื่นดาราเลยแม้สักตัว”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนของเรานั้นมีการป้องกันกล้าแกร่ง เป็นปกติขอรับที่สัตว์อสูรไม่กล้าเข้ามา”
พานต้าเหว่ยส่ายศีรษะ “ย่อมไม่! เจ้าทราบหรือไม่ว่าสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนและหลิงเสวียนตกอยู่ภายใต้การโจมตีกี่ครั้งครา? การโจมตีครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามยังยากรอดพ้นมาได้”
“ทางด้านสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนของเรา ฝูงสัตว์ปีศาจห้อตะบึงมาด้วยความเร็วเต็มที่ แต่แล้วอย่างกะทันหัน พวกมันกลับไม่เข้ามาใกล้อีก ตอนนี้ทั้งสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนและหลิงเสวียน ล้วนริษยาพวกเราที่อยู่ได้สุขกายสบายใจแทบตาย”
หลังมื้ออาหาร ฉินหยุนและตู้ก่วยจึงกลับไปยังต้นไม้สมบัติตะวันดารา
ระหว่างทาง เขาพบว่าเมิ่งเฟยหลิงและคณะได้มุ่งหน้าไปยังนครหลวงเพื่อเข้าร่วมกองทัพของราชาปีศาจ ทำการกวาดล้างสัตว์อสูรที่คิดบุกจักรวรรดิเทียนฉิน
หลังกลับไปที่ต้นไม้สมบัติตะวันดารา ตู้ก่วยได้ชี้แนะฉินหยุนให้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะควบคุม และรวมจิตวิญญาณสังหาร เขาหวังว่าฉินหยุนจะกลายเป็นยอดฝีมือสังหารจิตวิญญาณได้ในอนาคต
สองวันให้หลัง ฉินหยุนได้เรียนรู้อะไรเพิ่มหลายอย่าง
ตู้ก่วยทราบดีว่าเขาคิดอยากใช้วัชระไขกระดูกวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดยืดเวลาออกไปอีก
ภายในห้องลับส่วนลึกของถ้ำต้นไม้ ฉินหยุนนำเอาหม้อขนาดใหญ่ออกมาวางไว้ตรงกลางห้องลับ จากนั้น เขาจึงนำเอาแผ่นหนังสัตว์ออกมาวางด้านล่างหม้อดังกล่าว
ที่แผ่นหนังสัตว์มีผังวิญญาณ พวกมันจัดตั้งขึ้นเป็นอาคม ซึ่งสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณพิเศษภายในต้นไม้สมบัติตะวันดาราเพื่อเกิดขึ้นเป็นวิญญาณเหลวได้
หลังเปิดการทำงานค่ายอาคม พายุหมุนเริ่มก่อตัวด้านบนของน้ำในหม้อ ราวกับเมฆหมอก หลังผ่านการหมุนวนอยู่พักหนึ่ง ประกายแสงโปร่งใสของวิญญาณเหลวจึงเริ่มหยดลง
ไม่นานจากนั้น หม้อจึงเต็ม
ฉินหยุนนำเอาวัชระไขกระดูกวิญญาณออกมาเทใส่หม้อใบใหญ่ จากนั้น เขาจึงกระโดดลงไปแช่ในหม้อที่มีวัชระไขกระดูกวิญญาณ
วัชระไขกระดูกวิญญาณเป็นสีทอง ราวทองคำที่เผาไหม้ เมื่อผสมผสานกับของเหลวในหม้อ มันจึงย้อมทั้งหม้อให้กลายเป็นวิญญาณเหลวสีทอง
ขณะฉินหยุนแช่ตัวในหม้อ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรง เขาต้องอดทน เขาเคยผ่านความเจ็บปวดมากมายกว่านี้มาแล้ว เขาเพียงแต่กัดฟันอดทนแล้วมันก็จะผ่านไป
แช่กายในวัชระไขกระดูกวิญญาณสามารถขัดเกลาร่างกายได้อย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการนั้นเจ็บปวดเหลือแสน อย่างไรแล้ว การฝึกฝนอย่างรวดเร็วย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับเจ็ด คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องหล่อเลี้ยงวัชระกระดูกให้มากขึ้น ถึงตอนนั้น วิถีกระดูกทองคำจึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสภาพของเหลว หรือที่เรียกกันว่า วัชระไขกระดูก สิ่งนี้โดยหลักแล้วใช้เพื่อบำรุงวิญญาณยุทธ์ แปรเปลี่ยนให้เป็นวัชระวิญญาณยุทธ์!
เมื่อวิญญาณยุทธ์กลายเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์ เมื่อนั้นคือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด มันจะทำให้วิญญาณยุทธ์สามารถปลดปล่อยพลังภายในที่แข็งแกร่งขึ้นได้!
ฉินหยุนยังคงแช่กายในหม้อ แม้ร่างกายเจ็บปวด แต่เขาสามารถรู้สึกได้ ว่าวัชระกระดูกกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ออร่ากระดูกทองคำที่ปลดปล่อยออกมายิ่งหนาแน่นมากขึ้น
“นี่เป็นเพราะวิญญาณเทวะเก้าตะวันหรือ? ดังนั้นแล้วเราจึงดูดกลืนฤทธิ์โอสถจากวัชระไขกระดูกวิญญาณได้เพิ่มมากขึ้น?” ฉินหยุนลอบตื่นเต้น หากเป็นกรณีดังกล่าว ความเร็วการเพิ่มพูนพลังของเขาจะยิ่งเร็วมากขึ้น
ห้าวันหลังจากนั้น ของเหลวทองคำในหม้อจึงแปรเปลี่ยนเป็นน้ำธรรมดา หมายความถึงฤทธิ์ยาถูกดูดกลืนหมดสิ้นแล้ว
ฉินหยุนออกจากหม้อและเริ่มเทน้ำออก ก่อนจะเริ่มทำการควบแน่นวิญญาณเหลวอีกครั้งหนึ่ง เขาเตรียมการสำหรับครั้งต่อไปโดยทันที
“วัชระไขกระดูกวิญญาณอีกหนึ่งขวด เราจะสามารถขัดเกลาวัชระกระดูกได้จนถึงจุดสูงสุด!” เขาไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้จะยอดเยี่ยมเพียงนี้
แน่นอนว่านี่อยู่ในความคาดหมาย หลังหล่อเลี้ยงด้วยวัชระไขกระดูกวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง เขาจะสามารถควบแน่นวัชระไขกระดูกสู่ภายในกระดูกได้
เป็นเพราะเขาฝึกฝนวิถีหัวใจเหลืองดำ วัชระกระดูกจึงมีพลังภายในเหลืองดำ มันจะยิ่งทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น
“เรามีสามวิญญาณยุทธ์ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายแก่การฝึกฝน! อันดับแรก เราต้องแปรสภาพวิญญาณยุทธ์สั่นไหวสู่วัชระวิญญาณยุทธ์เสียก่อน” เพื่อควบแน่นวัชระไขกระดูกโดยเร็ว ฉินหยุนจึงแช่กายในหม้ออีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เขายังเหลือวัชระไขกระดูกวิญญาณอีกสามขวดในมือ!
ตอนนี้ เขาใช้เวลาเพียงสามวันเพื่อดูดกลืนหนึ่งขวดเข้าไป
“ถึงอาการตีบตันแล้ว หลังวิญญาณยุทธ์ดูดกลืนวัชระไขกระดูกจำนวนมากเข้าไป มันจะเริ่มแปรสภาพ เราจะไม่สามารถดูดกลืนต่อได้หากมันยังไม่วิวัฒนาการเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์” ฉินหยุนออกจากหม้อและพึมพำกับตนเอง
ตอนนี้ เขาทำได้แค่ขัดเกลาวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬในตันเถียนและวิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคีภายในแขน
ฉินหยุนใช้เวลาหลายวันกว่าจะใช้วัชระไขกระดูกวิญญาณที่เหลือสองขวดจนหมด
วิญญาณยุทธ์ทั้งสามในร่างของเขาตอนนี้ถึงอาการตีบตันแล้ว มันยังไม่อาจวิวัฒนาการเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์ เป็นเขาไม่ทราบว่าปัญหาติดอยู่ที่ใดกันแน่
“อีกแค่นิดเดียวเราก็จะถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแล้ว!” แม้ฉินหยุนยังไม่เลื่อนระดับโดยสำเร็จ แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดี
วิญญาณยุทธ์ของเขาทั้งหมดล้วนระดับสูง เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นร่างวัชระได้สำเร็จ ก็หมายความถึงพลังภายในวิญญาณยุทธ์ของเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น มันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดด้วยกันเองด้วยซ้ำ!
ฉินหยุนออกจากการเก็บตัวฝึกฝนและไปพบตู้ก่วย
ตู้ก่วยวันนี้สวมใส่ชุดเรียบง่ายยืนอยู่โคนต้นของต้นไม้สมบัติตะวันดารา ดวงตานั้นหลับลง ไม่ทราบว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่เมื่อสัมผัสถึงฉินหยุนที่ออกจากถ้ำต้นไม้ เขาจึงลืมตาขึ้น
“อาจารย์ ข้าถึงอาการตีบตันแล้วขอรับ วิญญาณยุทธ์ของข้าไม่อาจดูดกลืนวัชระไขกระดูกได้อีก และมันก็ยังไม่มีวี่แววจะวิวัฒนาการเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์” ฉินหยุนเร่งรีบเอ่ยถามเมื่อพบตู้ก่วย
ตู้ก่วยทราบว่าวิญญาณยุทธ์ของฉินหยุนไม่มีปัญหา พลังจิตก็แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงสัมผัสถึงความผันแปรในวิญญาณยุทธ์ของฉินหยุน แต่ก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดแปลก
“เป็นเจ้าเข้าถึงช่วงสำคัญ เจ้าจำเป็นต้องทำความรู้และเข้าใจแก่นของวิญญาณยุทธ์ ผสานวิญญาณของเจ้าและแก่นของวิญญาณยุทธ์เข้าด้วยกัน เช่นนั้นจึงค่อยสำเร็จ มีเพียงวิญญาณยุทธ์รู้จักเจ้าดีพอ เมื่อนั้นวิญญาณยุทธ์ของเจ้าจะวิวัฒนาการเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์”
“เมื่อวิญญาณยุทธ์วิวัฒนาการ หมายความถึงมันสามารถออกจากร่างและจะถูกเปิดเผยได้ มันยังหมายความถึงความเสี่ยงครั้งใหญ่ วิญญาณยุทธ์มีสติปัญญาเป็นของตนเอง ดังนั้นเจ้าต้องชี้นำวิญญาณยุทธ์ให้ตัดสินใจ”
หลังจากได้รับคำแนะนำจากตู้ก่วย ฉินหยุนจึงจมดิ่งในความคิด นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดังเขาคิดถึงการก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด แต่เขาก็ยังมีแนวทางให้ก้าวเดินต่อ
“อย่าได้เร่งรีบ! เจ้าเพิ่งเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดไม่นาน และตอนนี้ เจ้าถึงขีดสุดของระดับเจ็ดแล้ว เป็นเจ้าเลื่อนระดับรวดเร็วเกินไป อายุเจ้าก็เพียงแค่สิบหกด้วย” ตู้ก่วยยิ้มให้ “ทางที่ดี ควรเป็นการเลื่อนระดับอย่างปลอดภัย”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ
ตู้ก่วยกล่าว “นี่อาจไม่ใช่เรื่องน่าสนใจสำหรับเจ้า แต่ข้าก็ยังคิดบอกต่อ! พวกเรา สถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสาม จะร่วมมือกับตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามจัดตั้งสถาบันเทียนเจียวขึ้น โดยหลักแล้วก็เพื่อหล่อเลี้ยงศิษย์ที่มีพรสวรรค์”
“ข้าย่อมต้องสนใจ ข้าสามารถเข้าร่วมได้หรือไม่ขอรับ?” ฉินหยุนเผยประกายในดวงตาเร่งรีบเอ่ยถาม
ตู้ก่วยไม่คิด ว่าฉินหยุนจะให้ความสนใจ “สถาบันเทียนเจียว อาจารย์จะถูกส่งไปจากสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสามและตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม อาจารย์เหล่านี้ล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า! ในบรรดาเหล่านั้น สถาบันยุทธ์เทียนเสวียน หลิงเสวียน และตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ทั้งหมดล้วนมีข้อพิพาทกับเจ้า”
“แน่นอนว่า เพราะสภาพแวดล้อมของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนของเราดียิ่ง สถาบันเทียนเจียวจึงตั้งอยู่ที่นี่ พวกเราได้ตระเตรียมพื้นที่ไว้แล้ว ศิษย์ของสถาบันยุทธ์อื่นและตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามก็น่าจะใกล้มาถึงกันแล้ว”
ฉินหยุนยิ่งเกิดความสนใจขณะยิ้มกล่าว “มีการประลองยุทธ์หรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่ขอรับ? ข้าคิดอยากทดลองพอดีว่าตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใดแล้ว”
ตู้ก่วยส่ายศีรษะ “ข้าไม่ทราบแน่ชัดว่าสถาบันเทียนเจียวจะดำเนินการอย่างไร หากสถานการณ์ผิดท่า เจ้าสามารถจากไป ข้าได้ยินว่าหากทำผลงานได้ดีในสถาบันเทียนเจียว ก็จะได้รางวัลเป็นแต้มเสวียน เช่นกัน เจ้าสามารถออกไปภายนอกพร้อมอาจารย์เพื่อสังหารสัตว์อสูร แต่เรื่องนี้ก็อันตรายอยู่บ้าง”
ฉินหยุนตัดสินใจแล้ว หลังสอบถามถึงที่ตั้งสถาบันเทียนเจียว เขาจึงกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดสีขาว และมุ่งหน้าไปยังบริเวณทิศตะวันตกของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน บริเวณนั้นเดิมเป็นพื้นที่รกร้าง
ที่ดินกว้างอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ มองผ่านสะพานไปสามารถพบเห็น
ที่กว้างแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี แต่หลังจากได้รับการจัดสร้างตกแต่งขึ้นใหม่ มันจึงเสมือนของใหม่หมดจด ที่ทางเข้า มีป้ายประกาศเขียนเอาไว้ว่า “สถาบันเทียนเจียว”
เพื่อเข้าไปในสถาบันเทียนเจียว คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน อย่างแรก ต้องอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด และต้องอายุน้อยกว่ายี่สิบห้าปี ฉินหยุนเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อ
สถาบันเทียนเจียวค่อนข้างใหญ่ มีศาลาหลายแห่งถูกสร้างขึ้น ทั้งยังมีลานฝึกซ้อมกว้างหลายร้อยเมตรตรงกลาง ด้านในพื้นที่ มีกลุ่มศิษย์จำนวนมากกำลังสนทนากันเสียงดังอื้ออึง
เมื่อฉินหยุนเข้าไป เขาจึงได้เห็นเชี่ยวหยางหลงสวมใส่ชุดเกราะสีน้ำเงินเป็นประกาย!
เชี่ยวหยางหลงคือขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ทั้งยังเป็นหัวหน้าศิษย์ของตำหนักตะวันตก และเชี่ยวหยางหลงก็เห็นฉินหยุนตั้งแต่ก่อนเข้ามา!
“น้องหยุน ในที่สุดเจ้าก็มา” ฮั่วจงวิ่งมาพลางหัวเราะ เขาตอนนี้สวมใส่ชุดเกราะสีดำเต็มตัว ดูทรงพลังและภูมิฐานยิ่ง
มู่หรงต้าเหรินสวมใส่ชุดสีน้ำเงินหรูหราของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ด้วยพัดในมือโบกไปมา เขาก้าวเดินมาหาฉินหยุนทั้งรอยยิ้ม
ฉินหยุนมาถึง ศิษย์ผู้อื่นและศิษย์ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามพลันเงียบ พวกเขาหลายคนไม่เคยพบฉินหยุน แต่เคยได้ยินนามนี้ผ่านหูมาบ้างไม่มากก็น้อย
“พี่สามฮัว พี่รองมู่หรง พวกท่านก็มาหรือนี่! แล้วพี่ใหญ่เซี่ยละ? เขาไม่มาหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามขณะยิ้มไปด้วย ทั้งสองคนตอนนี้ก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฮั่วจงยิ้ม “พี่ใหญ่แข็งแกร่งมาก ตอนนี้เขาอยู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นจึงออกไปล่าสัตว์อสูรระดับวิญญาณ”
“น้องหยุน เชี่ยวหยางหลงเองก็อยู่ที่นี่ ทั้งยังมีอีกหลายคนจากสถาบันยุทธ์หลิงเสวียนมองเจ้าเป็นศัตรู!”
ฉินหยุนสังหารองค์ชายรัชทายาทจักรวรรดิเทียนหลิง ด้วยปู่ขององค์รัชทายาทเป็นรองอธิการบดีของสถาบันยุทธ์หลิงเสวียน เขาจึงมีสถานะสูงส่งในสถาบัน ดังนั้นแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจากสถาบันยุทธ์หลิงเสวียนจะเกลียดชังเขา
เชี่ยวหยางหลงที่พบเห็นฉินหยุน สีหน้านี้เย็นเยือก เจตนาฆ่าฟันฉายชัดผ่านดวงตาโดยไม่กล่าวคำใด ที่นี่ บุคคลซึ่งเกลียดชังฉินหยุนที่สุดย่อมต้องเป็นเขาแล้ว
สองวันให้หลัง ฉินหยุนอยู่ร่วมกับฮั่วจงและมู่หรงต้าเหริน พวกเขากำลังรอคอยให้สถาบันเทียนเจียวเปิดอย่างเป็นทางการ
ยิ่งมาศิษย์ยิ่งเพิ่มขึ้น รวมแล้ว กว่าสองร้อยคนที่นี้ ล้วนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด และกว่าสิบคนที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด
ทว่า อาจารย์ผู้สอนมีเพียงห้าสิบท่าน พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ตัดสินจากเรื่องนี้ ก็ทราบได้ว่าอาจารย์เหล่านี้ให้ค่าสถาบันแห่งนี้เอาไว้สูงยิ่ง!
ที่แปลกใจที่สุดต่อฉินหยุนก็คือ บุคคลซึ่งเยาว์วัยที่สุดในกลุ่มผู้ฝึกสอนวิชายุทธ์ไม่ใช่เชี่ยวหยางหลง แต่เป็นหลันเฟิงจินที่เพิ่งมาถึง