ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0201 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0203 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0202 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ จอมเวทอหังการ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 202 : ตั๋วเข้าออก

เมื่อตู้ก่วยเห็นว่าฉินหยุนคิดเคลื่อนไหว เขาจึงหัวเราะออกและบอกกล่าว “อย่าได้เร่งรีบออกไปนัก เมื่อใดที่พวกเราอาจารย์ออกไปสำรวจสถานการณ์ภายนอก เด็กหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าสามารถตั้งหน่วยของตนเองที่นี่ ทำความคุ้นชิน สร้างกลยุทธ์ใช้ร่วมกัน แบบนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าเองมากกว่าก่อนออกสู่ภายนอก”

“ขอรับ ข้าจะไปหาสหายร่วมหน่วย!”

ฉินหยุนเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา เซี่ยอู๋เฟิงและคณะเพิ่งไปจากที่นี่ หากพวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเขาจะสามารถจัดตั้งหน่วยที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้

“พี่เฟยหลิงแข็งแกร่งนัก ไปหานางก่อนดีน่าจะดี”

หลังออกจากป่าสมบัติ เขาจึงเร่งรีบมุ่งหน้าไปยังบริเวณศูนย์กลางของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ที่ตรงกลางของบริเวณนั้น มีศิษย์หลายคนกำลังรวบรวมกลุ่มสามถึงห้าคนจัดตั้งหน่วยขนาดเล็กขึ้น

เมิ่งเฟยหลิงก่อนหน้านี้ได้บอกสถานที่ติดต่อเอาไว้แก่ฉินหยุนแล้ว เป็นนางบอกว่าพักอาศัยอยู่ที่ภัตตาคารที่เขตศูนย์กลางของสถาบันยุทธ์ ภัตตาคารดังกล่าวชื่อว่า “ภัตตาคารดาวตก” เป็นอาคารสูงหลายสิบชั้น เครื่องตกแต่งหรูหราทั้งภายในและภายนอก

ฉินหยุนมาถึงหน้าห้องก่อนจะเคาะประตูเบา ๆ กล่าวคำ “พี่เฟยหลิง ข้าฉินหยุน!”

ไม่นานจากนั้น มีคนออกมาเปิดประตูให้

“น้องหยุน ในที่สุดก็มาหาข้า!” เมิ่งเฟยหลิงกล่าวทั้งรอยยิ้ม นางสวมใส่ชุดบางสีม่วง ขณะนี้เองจึงเร่งรีบดึงฉินหยุนเข้าไปด้านใน

พอฉินหยุนเข้ามาแล้ว เขาจึงได้เห็นห้องเล็กด้านใน มันเป็นสถานที่สำหรับคนเพียงคนเดียวทั้งยังเล็กยิ่ง ทว่า ของที่วางเอาไว้ก็เพียงพอแก่การใช้งาน การจัดแต่งวิจิตรและสง่างามสมกับสถานที่

“พี่เฟยหลิง ท่านอาศัยอยู่ในที่เล็กเพียงนี้!” ฉินหยุนนั่งบนเก้าอี้ปลายเตียงขณะมองรอบและยิ้มกล่าว

เมิ่งเฟยหลิงถอนหายใจ “ข้าจะเป็นอย่างเจ้าที่อาศัยอยู่ต้นไม้สมบัติตะวันดาราได้อย่างไร? ศิษย์งบน้อยอย่างพวกเรา ทั้งการใช้ชีวิตและอาหารการกินต้องพึ่งพาตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นฝูงสัตว์อสูรมาเยือนแล้ว ดังนั้นสถาบันยุทธ์จึงใช้เหรียญผลึกจำนวนมากเพื่อเปิดม่านพลัง ในภายหน้า ค่าเล่าเรียนของสถาบันจะยิ่งแพงกว่านี้อีก”

ขณะนางกล่าว นางจึงถอดชุดคลุมสีม่วงตัวนอกออก เผยให้เห็นรูปร่างมากยิ่งขึ้น เรือนร่างของนางแต่เดิมก็งดงามอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับมีเพียงผ้าไม่กี่ชิ้นปกปิดจุดสำคัญ

“ดูดีใช่ไหมละ?” เมิ่งเฟยหลิงพบว่าฉินหยุนหน้าแดงก่ำจึงหัวเราะดีใจยกใหญ่

“พี่เฟยหลิง ท่านทำเกินไปแล้ว!” ฉินหยุนเขินอายก่อนจะหันหน้าหนี

เมิ่งเฟยหลิงเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะหยิบชุดเกราะสีเขียวจากบนเตียง นางค่อยสวมใส่มันก่อนยิ้มกล่าว “ข้าเพียงสวมใส่ชุดเช่นนี้ต่อหน้าเจ้า เพราะรู้ว่าเจ้าไม่กล้าทำอะไรข้ายังไงละ!”

นางสวมใส่ชุดเกราะ มัดผมรวบขึ้น เปลี่ยนไปใส่รองเท้าหนัง เครื่องแต่งกายนี้ยิ่งทำให้ขับเสน่ห์ความดุดันของนาง กระทั่งออกจะดูหล่อเหลาด้วยซ้ำ

“พี่เฟยหลิง ตระกูลเมิ่งของท่านช่างลึกลับนัก ดูเหมือนว่าท่านจะเก็บซ่อนกองกำลังลับทรงพลังเอาไว้ใช่หรือไม่” ฉินหยุนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมิ่งเฟยหลิงเพียงเข้าสู่สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนไม่นาน นางก็สามารถก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดได้แล้ว เรื่องนี้ชัดเจนว่าต้องมีตระกูลเมิ่งหนุนหลัง

นอกจากนี้ ราชาปีศาจแห่งตระกูลเมิ่งยังเป็นที่รู้จักกันดีว่าคือผู้ซึ่งสามารถขัดเกลาผงเขย่าวิญญาณได้!

“ข้าไม่เกรงใจแล้วกัน ตระกูลเมิ่งของเรานั้นเป็นตระกูลเก่าแก่ยิ่งว่าตระกูลฉินของเจ้า แต่เป็นเพราะพวกเราไม่มีพลังเพื่อต่อสู้ พวกเราจึงเก็บงำตัวเองเอาไว้!” เมิ่งเฟยหลิงนำสร้อยข้อมือมิติเก็บของออกมาส่ายเบา ๆ และหัวเราะ “แต่เจ้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าข้านัก เจ้าถึงขั้นมอบสร้อยข้อมือเก็บของแก่ข้าโดยง่ายดาย! เพื่อตอบแทนเจ้า ข้าสัญญาว่าจะใช้ร่างกายนี้ตอบแทนให้!”

ฉินหยุนเอ่ยคำ “เรื่องนั้น... พี่เฟยหลิง ตระกูลเมิ่งของท่านสมควรมีประสบการณ์รับมือกับสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูรใช่หรือไม่! ข้าคิดอยากรวบรวมแต้มเสวียนจำนวนมาก จึงอยากให้ท่านช่วยเหลือ พวกเราจะจัดตั้งหน่วยขนาดเล็กออกไปล่าสัตว์อสูรกัน ท่านคิดว่าอย่างไร?”

เมิ่งเฟยหลิงมองกระจก สัมผัสใบหน้างดงามของตนเองและหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้ามาหาข้าเพราะเรื่องนี้! งั้นก็ไปหาสมาชิกคนอื่นกัน พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด พละกำลังถือว่าผ่าน ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น มีคนที่เป็นศิษย์ของตระกูลเมิ่งเราด้วย”

เมิ่งเฟยหลิงเปิดประตูออก นำฉินหยุนออกจากภัตตาคาร เดินไปตามถนนมุ่งหน้าสู่บริเวณทางตะวันตกของศูนย์กลาง ที่ตรงนั้นเป็นลานกว้างขนาดใหญ่

ที่ลานกว้างจะมีศิษย์ไปรวมตัวกัน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ด้านใน เป็นเพราะมันเอาไว้เพื่อใช้ในการประเมินผล

ระหว่างทาง เมิ่งเฟยหลิงจึงเล่าให้ฉินหยุนฟัง “ข้าเจอสหายร่วมหน่วยมาสามคน หนึ่งเป็นสามีภรรยาอายุราวสามสิบ เรียกพวกเขาเป็นพี่หลี่กับพี่สะใภ้หลี่ก็ได้ พวกเขาเกือบจะถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแล้วด้วย! ถือว่าเป็นศิษย์อายุมากของที่นี่ ทั้งยังผ่านศึกมาหลายครั้งครา ส่วนสหายร่วมหน่วยอีกคนเป็นเด็กหนุ่มอายุเกือบยี่สิบชื่อว่าอวี้เจิน เป็นบุตรชายของเพื่อนของพี่หลี่”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาค่อยได้รู้จักสหายร่วมหน่วยเพิ่มมากขึ้น พวกเขา พี่ชายและพี่สาวหลี่ ทั้งสองเชื่อถือได้เพราะเป็นคนจากสาขาตระกูลเมิ่ง

เมื่อมาถึงพื้นที่รอบนอกของลานกว้าง เมิ่งเฟยหลิงก็พบพี่หลี่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะสีเทาสว่าง รูปลักษณ์ดูธรรมดา ท่าทีดูเรียบง่ายทั้งยังกล่าวทักทายฉินหยุนด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง

พวกเขาล้วนเป็นบุตรหลานของตระกูลเมิ่ง ดังนั้นในสายตาพวกเขา ฉินหยุนคือรัชทายาทซึ่งมีตำแหน่งสูงยิ่ง

“เหล่าหลี่ อาหลี่ อวี้เจินพื้นเพเป็นอย่างไร? เขาแข็งแกร่งขนาดไหน?” เมิ่งเฟยหลิงเอ่ยถาม

“เรื่องนี้พวกเราไม่ทราบแน่ชัดนัก ไว้เจอกันคงได้เห็น” พี่ใหญ่หลี่เป็นชายหน้าเหลี่ยมและดูสัตย์ซื่อ

“มาทางนั้นแล้ว” พี่สะใภ้หลี่ชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านนอกลานกว้าง ด้านล่างของต้นไม้ดังกล่าว มีเด็กหนุ่มสวมใส่ชุดหรูหรายืนอยู่

เด็กหนุ่มผู้นี้คืออวี้เจิน ด้วยใบหน้าผอมยาว เขาค่อนข้างหล่อเหลาเอาการ ทั้งยังมีดาบยาวไว้ในมือ สีหน้าเปี่ยมด้วยความภาคภูมิ เขาหันมองรอบไม่คิดเดินเข้ามาแม้พบเห็นเมิ่งเฟยหลิงและผู้อื่นแล้ว

“ไปกัน! เขาไม่ค่อยชอบสถานที่จอแจสักเท่าไหร่!” พี่ใหญ่หลี่ออกปากและเดินนำไป

เมิ่งเฟยหลิงแค่นเสียงเล็กน้อยขณะเดินตาม

“ผู้น้อยทักทายพี่ใหญ่หลี่และพี่สะใภ้หลี่ นี่คงเป็นท่านหญิงเมิ่งจากคฤหาสน์ราชาปีศาจแล้ว!” แม้อวี้เจินดูสุภาพ แต่คำกล่าวทักทายนั้นฟังดูชวนอึดอัด

พี่ใหญ่หลี่และคณะพยักหน้ารับ

อวี้เจินหันมองฉินหยุน คิ้วนั้นขมวดขณะเอ่ยถาม “เหตุใดหน่วยของเราจึงมีเด็ก? เขาคือ?”

ฉินหยุนสวมใส่ชุดสีขาวซึ่งทำจากหนังสัตว์ฟอกสี มันดูราคาถูกแต่แท้จริงกลับแพงล้ำเพราะผังธาตุแสงภายใน

“ข้าฉินหยุน!”

อวี้เจินชะงัก เขาไม่เคยเห็นฉินหยุนตัวจริง แต่นามนั้นเคยได้ยินมาไม่น้อย ถือว่าน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อฉินหยุนมาก่อน

ข่าวลือมีทั้งด้านดีและร้าย แต่ส่วนใหญ่ข่าวลือของฉินหยุนจะไปทางด้านร้ายเสียมากกว่า หากเป็นผู้ซึ่งริษยาผู้อื่นเป็นทุนเดิม พวกเขาเหล่านั้นย่อมเชื่อข่าวลือด้านร้ายมากกว่า

อวี้เจินคิ้วขมวด “พาเขาไปด้วยหรือ? แม้พละกำลังของเขาไม่แย่ แต่พวกเราต้องรับมือกับสัตว์อสูร ดังนั้นพวกเราควรต้องใช้ความสามารถอย่างมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ เขายังใช้วิชานอกคอก ข้าเป็นกังวลว่าเขาจะพาพวกเราตกต่ำ”

“เจ้าว่าอะไร? น้องหยุนของข้าจัดการผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดไปแล้วถึงสองคน ชี่อวี้และฉินเจิ้งเฟิง หากเขาไม่อาจจัดการสัตว์อสูร เจ้าเผชิญหน้ากับพวกมันก็คงตายเพียงสถานเดียวแล้ว” เมิ่งเฟยหลิงแค่นเสียงไม่ยินดี

อวี้เจินมองทางฉินหยุนอย่างเดียดฉันท์และแค่นเสียง “ก็แค่เพราะชี่อวี้กับฉินเจิ้งเฟิงไม่ระวังกลลวงของเขาจึงทำให้เสียเปรียบ ของพวกนั้นเอามาใช้กับสัตว์อสูรทรงพลังไม่ได้!”

พี่สะใภ้หลี่กล่าวคำ “ไว้รอจนพวกเราผ่านการประเมินผลและได้รับตั๋วเข้าออกก่อนค่อยพูดเรื่องนี้! ระหว่างการประเมินผลจะมีการทดสอบพละกำลังทุกด้าน หากเขาสามารถได้รับบัตรผ่าน เช่นนั้นก็หมายความถึงไม่มีปัญหา”

อวี้เจินมองไปยังตรงกลางลานกว้างและหัวเราะ “นั่นก็จริง บางทีเขาอาจไม่ผ่านการทดสอบด้วยซ้ำ! ที่เขาได้ตำแหน่งรัชทายาทกลับคืนจากฉินเจิ้งเฟิงไม่ใช่เพราะบิดาเขากลับมาอย่างกะทันหันหรอกหรือ?”

ฉินหยุนคาดเดาได้ ว่าอวี้เจินมีสัมพันธ์อันดีกับชี่อวี้และคณะในอดีต เพราะเหตุนั้นอีกฝ่ายถึงตั้งป้อมต่อเขาเพียงนี้

หากไม่ใช่เพราะพี่หลี่ทั้งสอง เมิ่งเฟยหลิงอาจพิโรธไปแล้ว นางคิดและเก็บงำเอาไว้ ว่าหลังผ่านการทดสอบ นางจะบีบอวี้เจินออกจากหน่วยไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามแต่

ฉินหยุนไม่คิดกล่าวอื่นใดมากความ เพราะเขาไม่รู้เรื่องของสัตว์อสูรแต่อย่างใด นอกจากนี้สภาพแวดล้อมภายนอกตอนนี้ยังโหดร้าย ไม่ใช่เรื่องแย่นักที่จะมีคนร่วมทางไปด้วยเพิ่มขึ้น

ไว้หลังจากเขาทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมภายนอกตอนนี้ ครั้งหน้าก็เป็นเรื่องง่ายแล้วหากเขาคิดอยากออกไปด้วยตัวเอง

ฉินหยุน เมิ่งเฟยหลิง และคณะเริ่มต่อแถวเพื่อเตรียมเข้ารับการทดสอบ

ขั้นตอนการประเมินผลเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่หาได้ง่ายดายไม่! อย่างแรกคือความเร็ว มันจำเป็นต้องทะยานกายให้ได้ถึงหนึ่งร้อยเมตรต่อวินาที จากนั้น จึงค่อยทดสอบการหลบเลี่ยงหินนับร้อยก้อนที่อาจารย์เป็นผู้ยิงพวกมันออก ระหว่างขั้นตอนการหลบ ร่างกายของผู้ทดสอบห้ามโดนก้อนหินแม้แต่ก้อนเดียว

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการทดสอบพละกำลัง โดยจะให้ทำการเคาะระฆังขนาดใหญ่กว่าสิบเมตรด้วยหมัดหนึ่ง

ท่ามกลางศิษย์ที่เข้ารับการทดสอบ ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด แต่แล้ว ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยซึ่งไม่อาจผ่านการทดสอบรอบแรกไปได้!

ฉินหยุนไม่ได้วางใจแต่อย่างใด เพราะการทดสอบนี้ก็ไม่ได้ง่ายสำหรับเขา ไม่นานมานี้ ความเร็วของเขายังได้แค่ราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบเมตรต่อวินาทีอยู่เลย

ถือว่าโชคดีที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาฝึกฝนวิชาตัวเบาเพิ่มขึ้น

“รอบแรกน่าจะผ่านไปได้! รอบที่สองและสามไม่น่าเป็นปัญหา! ตั้งใจกับรอบแรกก่อนดีกว่า” ฉินหยุนคิดกับตัวเองเช่นนี้

เหตุผลว่าทำไมถึงนำการทดสอบความเร็วไว้ในรอบแรก ก็เพื่อทดสอบความสามารถในการหลบหนี ระหว่างกระบวนการหลบหนี ความเร็วคือสิ่งสำคัญที่สุด! การระเบิดพลังเท้าปลดปล่อยความเร็วหนึ่งร้อยเมตรต่อวินาทีคือสิ่งจำเป็น แม้พบเจอสัตว์อสูรทรงพลัง พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีได้

ไม่นาน ก็ถึงคราวของพี่ใหญ่หลี่! ระหว่างทดสอบความเร็ว เขาสามารถทำสำเร็จได้ตามเป้าผ่านการทดสอบรอบแรกไป

การทดสอบรอบที่สองคือความสามารถในการหลบหลีก เขาสามารถหลบก้อนหินซึ่งขว้างปาเข้าใส่ได้ทั้งหมด! ส่วนรอบที่สาม สีหน้านั้นค่อยผ่อนคลายขณะต่อยระฆังใหญ่ด้วยหมัด

เขาสามารถผ่านการทดสอบทั้งสามรอบได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางศิษย์ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด พละกำลังระดับนี้ถือว่าเหนือล้ำ มีเพียงผู้อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดจึงสามารถกระทำได้โดยง่ายเช่นเขา

เมื่อฉินหยุนได้เห็นพละกำลังของพี่ใหญ่หลี่ เขาถึงกับลอบชื่นชม

เมื่อถึงคราวพี่สะใภ้หลี่ นางก็เป็นเช่นเดียวกับพี่ใหญ่หลี่ ภายนอกดูเรียบง่ายและผ่านการทดสอบไปได้อย่างเรียบง่าย

ฉินหยุนเพียงมองระหว่างการประเมินผลก็ทราบว่าพวกเขายังไม่ได้เผยพละกำลังแท้จริง

ตอนนี้ถึงคราวเมิ่งเฟยหลิง!

จุดแข็งของนางคือวิชาตัวเบา ดังนั้นรอบแรกจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด!

“นางแม่มดเมิ่งแข็งแกร่งนัก เพิ่งก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด แต่ความเร็วกลับเหนือกว่าศิษย์พี่กายวรยุทธ์ระดับที่แปดเสียอีก!”

“นางเร็วเพียงนี้ การทดสอบหลบหลีกไม่ควรมีปัญหา”

“เดาว่าถ้านางจะไม่ผ่านก็คงรอบสุดท้าย!”

ขณะทุกคนสนทนากัน ใครคนหนึ่งก็พบว่าฉินหยุนเข้าร่วมแถวรอรับการทดสอบเช่นกัน เขาเอ่ยกระซิบเบา “นั่นฉินหยุนไม่ใช่หรือ? ยืนอยู่ด้านหลังนางแม่มดเมิ่ง หรือเขาคิดอยากเข้าร่วมหน่วยกับนางแม่มดเมิ่งนั่นกัน?”

4.5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด