ตอนที่แล้วGE246 ปลุกโลหิต [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE248 โลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิ [ฟรี]

GE247 ลู่ซ่งหยุนผู้บ้าคลั่ง [ฟรี]


อีกด้านหนึ่งของสถานที่ มีรูปปั้นสัตว์อสูร 6 ขาตั้งอยู่

หนิงฝานหันมองพลางขมวดคิ้ว รูปปั้นสัตว์อสูร 6 ขาเป็นเหมือนตัวแทนของเผ่าพันธุ์วิหค ดูยิ่งใหญ่ ดวงตาของมันคล้ายระฆังทะเลตะวันออกมาก

เมื่อใกล้รูปปั้นเข้าไป หนิงฝานจึงสังเกตุเห็นว่า สัตว์อสูร 6 ขาเจ้าของรูปปั้นนี้ คืออีกาทองคำโบราณ!

โดยทั่วไปแล้ว เผ่าพันธุ์อีกาทองคำจะมี 3 ขา อีกาทองคำที่เก่งกาจขึ้นมาอีกขั้นจะมี 4 ขา เป็นอีกาทองคำที่ถูกจัดอยู่ในเผ่าพันธ์ุ ‘อีกาทองคำจักรพรรดิ’ ส่วนอีกาทองคำที่มี 6 ขา ในประวัติศาสตร์มีเพียงตนเดียว นั่นคืออีกาทองคำโบราณตามรูปปั้นที่ปรากฏ

แม้จะเป็นรูปปั้น แต่โลหิตอสูรในกายหนิงฝานกลับสั่นไหว

หลังจากบรรลุความเข้าใจวิชาลับดวงใจ หนิงฝานสัมผัสได้เลือนลางว่า โลหิตของตนก็เป็นสีทอง

ซึ่งโลหิตสีทองนั้น คือโลหิตของบรรพบุรุษอสูรโบราณ!

“อีกาทองคำโบราณ...”

หนิงฝานขบคิด

“ด้วยโลหิตอสูรโบราณในร่าง บางทีข้าอาจมีร่างกายแบบนั้นได้ในสักวัน… แม้การปลุกโลหิตครั้งที่สองจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หากจะให้ปลุกโลหิตอสูรที่แท้จริงขึ้นมายังคงเป็นไปได้ยาก การปลุกโลหิตครั้งที่ 3 แม้จะกระตุ้นโลหิตที่แท้จริงขึ้นมาได้ แต่อย่างมากก็ได้โลหิตอสูรเทียบเท่าเผ่าพันธุ์อีกาทองคำทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้น เส้นทางการฝึกฝนในเส้นทางอสูรของข้าเองก็ถือว่าไม่ธรรมดา แต่ถึงแม้จะทำให้ผู้คนในโลกทั้ง 9 นับถือยกย่อง แต่โลหิตระดับนี้ในดินแดนวิญญาณอสูรไม่นับว่าเป็นอันใด”

หนิงฝานขมวดคิ้ว ดูเหมือนการปลุกโลหิตอสูรจะไม่แน่นอน อาจผันแปรไปตามโชคชะตา

ฉะนั้น การปลุกโลหิตในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นอย่างที่คิด… หรือจะล้มเหลวอย่างคาดไม่ถึง?

ลู่ซ่งหยุนเดินมาเบื้องหน้ารูปปั้นอีกาทองคำ คำโลหิตอสูรมาป้ายที่ใบหน้าตน จุดธูปด้วยสีหน้าจริงจัง

“เชิญท่านลู่… การปลุกโลหิตในครั้งนี้ ขอให้ท่านตั้งใจและตั้งสมาธิ หากการปลุกโลหิตล้มเหลว เชิญท่านพิพากษา”

“ท่านวางใจเถอะ… จะสำเร็จหรือล้มเหลว ข้าไม่คิดจะโทษท่านอยู่แล้ว!”

หนิงฝานกล่าวพลางเดินบริเวณที่เปิดโล่ง มีข่ายอาคมอสูรสลัก ตรงกลางเป็นบ่อโลหิตอสูรใหญ่ประมาณ 100 จ้าง โลหิตที่อยู่ภายใน อัดแน่นไปด้วยปราณอสูร

“ไม่รู้ว่าการปลุกโลหิตอสูรในครั้งนี้จะเป็นการปลุกโลหิตอีกาทองคำในตัวข้าด้วยหรือเปล่า… ตอนนี้ข้ามี 2 แสนแต้ม ถึงครั้งแรกจะปลุกโลหิตไม่สำเร็จก็ยังมมีโอกาสครั้งที่สอง… หากล้มเหลว ข้าจะได้รู้ว่าโลหิตอสูรในกายข้าเบาบางขนาดไหน และต้องปลุกกี่ครั้งถึงจะได้โลหิตอสูรที่ทรงพลัง”

หนิงฝานนำแผ่นหยกแสดงแต้มออกมา ใช้แต้มไป 1 แสนจนเหลือเพียง 1 แสน

ในช่วงเวลานั้นเอง โลหิตอสูรในบ่อเริ่มเดือดจนกลายเป็นฟอง

แต่ขณะที่หนิงฝานกำลังจะก้าวลงสะโลหิตกลับมีเสียงสตรีดังขึ้น

“ช้าก่อน!”

สตรีในอาภรณ์ม่วงเดินตรงเข้ามาบริเวณสระด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพี่สั่งให้ข้ามาดูแลปรนนิบัตินายกองน้อยลู่ และป้องกันไม่ให้ท่านซ่งหยุนกลั่นแกล้ง… นี่เป็นโอสกผันแปรที่ 5 นามว่า ‘โอสถปลุกโลหิต’ ท่านพี่มอบให้ใช้ในการปลุกโลหิตครั้งที่ 3 แต่ข้าให้ท่าน...”

หนิงฝานตกตะลึงเล็กน้อย สายตาจับจ้องว่านเอ๋อร์ไม่วาง

ดูแลปรนนิบัติ… นั่นหมายความว่านางอาจถูกเขาล่วงเกิน

ลู่เฉิงเป็นคนสั่งให้นางมา หรือว่านางตัดสินใจมาด้วยตนเอง...

หนิงฝานก้มมองโอสถในมือนางพลางกล่าว

“แต่โอสถนี้ นางกองลู่มอบให้เจ้า...”

“ใช่… แต่ข้าอยากจะมอบให้ท่าน… หรือว่าท่านไม่ต้องการ...” นางก้มหน้าพลางกล่าว

หนิงฝานถอนหายใจ

โอสถปลุกโลหิตเป็นโอสถที่ช่วยให้อสูรดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ปลุกโลหิตและทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ ที่ลู่เฉิงมอบให้นางก็เพื่อหวังให้นางทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณได้อย่างรายรื่น แต่นางกลับนำมามอบให้เขา

ดูท่าลู่เฉิงอาจจะอยากผูกมิตรกับตนเองเอามากๆ แต่หากเป็นอย่างนั้นจริง การทำเช่นนี้จะเป็นการทำร้ายตัวว่านเอ๋อร์เอง

แต่เมื่อจ้องมองแววตาของนาง หนิงฝานรู้ว่านางโกหก

ที่นางเข้ามาที่นี่และมอบโอสถให้ เพราะนางชอบพอในตนเอง

ดูเหมือนนางไม่อยากอยู่ในเมืองทะเลทรายตอนเหนือ นางจึงทำอะไรตามใจโดยไม่ได้คิดผลกระทบ

“ช่างยากจะตอบสนองกับความรู้สึก...”

หนิงฝานถอนหายใจ แววตาที่จ้องมองนางเปลี่ยนไป และยิ้มให้

“ข้าเคยได้ยินมาว่า สตรีที่กล้าหาญเรื่องความรัก กล้าเปิดเผยความรู้สึก ส่วนใหญ่จะเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกขาว… การที่แม่นางว่านเอ๋อร์ปิดบังผู้เป็นพี่ชาย หลอกลวงข้า ทั้งยังมอบโอสถล้ำค่าให้ ดูท่าแม่นางคงจะเป็นจิ้งจอกขาวจริงๆ!”

กลับกลายเป็นว่า ลู่ว่านเอ๋อร์มีโลหิตจิ้งจอกขาว

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหนิงฝาน ใบหน้าที่ขาวนวลของนางแดงก่ำ

“ที่แท้ก็รู้อยู่แล้ว! จริงๆแล้วโอสถนี้ข้ามอบให้เพราะอยากจะขอโทษ หมายครั้งหลายคราที่ท่านพูดจากเกี้ยวพาข้า ยิ่งนานไปข้าก็ยิ่งไม่พอใจและแอบด่าทอท่าน...”

หนิงฝานถอนหายใจ

ที่แท้เรื่องก็คือ แรกเริ่มนางชอบพอลู่เป่ยอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งนานไปตัวตนของลู่เป่ยก็ยิ่งสลักลึกลงไปในใจของนาง เพียงแต่สิ่งที่สลักลงไปนั้นคือด้านลบ

แต่เมื่อหนิงฝาน...ลู่เป่ยในอีกตัวตนปรากฏตัว ความรู้สึกด้านลบที่สลักอยู่ในใจนาง กลับกลายเป็นด้านบวกจนยากจะอธิบาย ทำให้ความขุ่นเคืองกลายเป็นความชอบพอ

แต่น่าเสียดายที่หนิงฝานไม่ใช่ลู่เป่ยตัวจริง

“เจ้าชอบผิดคนแล้ว...”

“อืม...” นางถอนหายใจเล็กน้อย นางเข้าใจว่าหนิงฝานหมายถึงอะไร

“โอสถเม็ดนี้ล้ำค่า ข้าเป็นหนี้เจ้าหนหนึ่ง หากเจ้าต้องความช่วยเหลือ ข้าจะช่วยเจ้า”

“อืม...” นางยิ้มและเริ่มปลดอาภรณ์ให้หนิงฝาน

นางเอื้อมมือขาวนวลสัมผัสกายหนิงฝาน ปลดอาภรณ์ทีละชิ้น... เป็นครั้งแรกที่นางได้ปลดอาภรณ์ให้บุรุษ

การที่อสูรสตรีปลดอาภรณ์ให้บุรุษนั้น ไม่นับเป็นอันใด

หนิงฝานเดินลงสระโลหิตด้วยร่างกายเปลือยเปล่า สิ่งที่ติดตัวไปมีเพียงอุปกรณ์เก็บของ

ว่านเอ๋อร์ที่รออยู่ข้างสระใบหน้าแดงก่ำ นางคาดไม่ถึงว่าบุรุษผู้สังหารอสูรเป็นผักปลา จะมีรูปร่างผอมบางดูไร้กำลัง ผิวพรรณ์กระจ่างใสถึงขนาดนี้

แต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางชื่นชอบหนิงฝานมากขึ้น

“จิ้งจอกขาวนักรัก...”

เมื่อหวนนึกถึงคำนี้ นางรู้สึกเขินอาย

“ลู่เป่ย… ข้าปรารถนาอยู่ข้างกายเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ต้องการข้า...”

เมื่อลงสู่สระโลหิต หนิงฝานมุ่งหน้าลงไปยังก้นสระที่อยู่ลึกลงไปพอสมควร

สระโลหิตลึก 100 จ้าง ด้วยความที่ในสระเป็นโลหิต จึงไม่ได้ลื่นไหลได้เหมือนน้ำ เมื่อลงไปถึงก้นสระ หนิงฝานกินโอสถปลุกโลหิตเข้าไป

เมื่อโอสถออกฤทธิ์ เขารู้สึกราวกับโลหิตในกายกำลังเดือดพร่าน

โอสถปลุกโลหิตถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการปลุกโลหิตครั้งที่ 3 การที่นำมาให้หนิงฝานใช้ในครั้งที่ 2 นี้ ถือว่าเสียเปล่ามาก

แต่นางกลับไม่คิดเช่นนั้น นางไม่เสียดายที่หนิงฝานจะกินมัน

ลู่เฉิงบอกนางว่า หากหนิงฝานปลุกโลหิตได้สำเร็จ มันจะพาหนิงฝานเดินทางไปยังเมืองลั่วหยุน เพื่อเข้ารับการทดสอบเป็นนายกอง หากสำเร็จก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ยิ่งหากหนิงฝานบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณได้สำเร็จ เขาจะกลายเป็นหนึ่งในอสูรระดับสูงของเผ่า และอาจได้ก้าวล่วงไปยังดินแดนวิญญาณอสูรเบื้องบน

ทั้งหมดนั้นทำให้นางตัดสินใจมอบโอสถให้หนิงฝาน

นางอยากจะเดินทางไปพร้อมกับเขา ช่วยหนุนเสริมให้เขาได้ไปยังสถานที่ที่สูงชั้นมากขึ้น

อสูรสตรีนั้นต่างมนุษย์ หากพวกนางได้รักใคร ไม่ว่าจะทำเช่นใดพวกนางจะไม่มีวันหันหลังกลับ!

แต่ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าหนิงฝานไม่ใช่ลู่เป่ย

และนางก็ยังไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์อสูรที่แท้จริง...

“ขอบคุณ...” หนิงฝานกล่าวถึงนางในใจ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มกลายเป็นสีม่วง

หนิงฝานสัมผัสได้ว่า โลหิตอสูรของตนกำลังทรงพลังมากขึ้น

กลิ่นอายจากโลหิตอสูรก็ทรงพลังมากขึ้น

และยามนี้ เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงโลหิตอสูรที่อยู่ภายในร่าง

และยามนี้ เขาต้องดูดซับโลหิตอสูรในสระ เพื่อยกระดับโลหิตอสูรของตน!

“ดูดซับ!”

แม้ลู่ซ่งหยุนไม่กล่าว หนิงฝานก็แปรเปลี่ยนตนเองให้เป็นเหมือนวังวน ดูดกลืนเอาโลหิตอสูรภายในสระเข้าไปในร่าง

กระบวนการดูดซับและยกระดับโลหิตอสูรนั้นค่อนข้างสร้างความเจ็บปวด แต่สำหรับหนิงฝานไม่นับเป็นอันใด

เพราะขนาดการสลักรอยสักอสูรไว้บนร่าง หนิงฝานยังทนได้!

เพียงชั่วพริบตาที่เริ่มดูดกลืนโลหิตอสูร ระดับโลหิตของหนิงฝานเพิ่มเป็นระดับ 18!

ลู่ซ่งหยุนและลู่เชิงที่เฝ้ามองชื่อของหนิงฝาน ตกตะลึง

เพราะยังไม่มีอสูรตนใดสามารถดูดกลืนโลหิตเข้าไปในร่างได้ หากไม่ได้โอสถปลุกโลหิตช่วย

แต่โลหิตปลุกโอสถนั้น มีเพียงนายกองอสูรเท่านั้นที่มี หรือเพียงผู้ที่นายกองอสูรมอบโอสถให้ ทหารอสูรทั่วไปไม่มีทางมีโอสถปลุกโลหิตในครอบครอง

“ว่านเอ๋อร์… นางบอกว่าจะไปคุ้มกันลู่เป่ย แต่คาดไม่ถึงว่านางจะยอมมอบโอสถปลุกโลหิตให้… เด็กโง่เอ้ยทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนี้...” ลู่เฉิงถอนหายใจ มันคาดไม่ถึงว่าน้องสาวจะชอบลู่เป่ยมากถึงขนาดนั้น

ยามนี้ ว่านเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้หนิงฝานมากที่สุด แววตาเป็นประกายราวกับดาราระยับ

“โลหิตยกระดับเป็นระดับ 18 ในพริบตา… แม้เป็นนายกองอสูรก็ยังทำไม่ได้ อีกอย่าง การปลุกโลหิตนั้นเจ็บปวด แต่เจ้ากลับไม่ปริปากสักคำ… ข้าว่านเอ๋อร์ช่างโชคดีนัก ข้ามองเจ้าไม่ผิด เจ้าคือบุรุษที่โดดเด่นที่สุด… แต่น่าเสียดาย… ที่ข้าไม่เลือกให้ข้าอยู่ข้างกาย...”

เมื่อหนิงฝานเริ่มดูดกลืนโลหิตอสูร ลู่ซ่งหยุนเร่งคุกเข่า ร่ายบทสวดต่อรูปปั้นอีกาทองคำโบราณ และเคาะบางสิ่งเป็นสัญญาณ

เคาะ 10 ครั้ง… เคาะ 100 ครั้ง... เคาะ 1,000 ครั้ง… ไอปราณสีขาวแผ่ออกจากร่างลู่ซ่งหยุนเข้าสู่รูปปั้น ดวงตาทั้งสองข้างของรูปปั้นเปล่งประกายสีทอง แม้จะเป็นสีทองจางๆ แต่นั่นกลับทำให้ปราณอสูรในสระโลหิตเพิ่มพูนขึ้นมาก

หนิงฝานสัมผัสได้ถึงความร้อนที่มากขึ้นอย่างชัดเจน

ระดับ 19… 20… 25!

แม้ระดับโลหิตจะเพิ่มพูนถึง 25 หนิงฝานยังไม่หยุด เขายังคงดูดซับโลหิตเพื่อยกระดับโลหิตของตนเองต่อ

รายชื่อของหนิงฝานที่ปรากฏบนกำแพงหยกค่อยๆเลื่อนระดับมาเป็นลำดับที่ 8600

แต่เมื่อระดับโลหิตบรรลุถึง 26 แววตาของลู่เฉิงก็เป็นประกาย

“เด็กนี่ไม่ต้องการปลุกโลหิตธรรมดา มันต้องเร่งระดับโลหิตให้ถึง 100 แน่นอน!”

ลู่ซ่งหยุนเองก็ขมวดคิ้ว มันประหลาดใจในความเร็วในการยกระดับโลหิตของหนิงฝาน

เมื่อโลหิตบรรลุระดับ 25 มันผ่อนคลาย เพราะไม่ต้องกังวลว่าหนิงฝานจะปลุกโลหิตล้มเหลว

แต่เมื่อเห็นหนิงฝานยังคงยกระดับต่อ จิตใจของมันกลับสั่นสะท้าน

มันคิดว่าหนิงฝานทะลวงระดับ 60 แน่!

การที่โลหิตบรรลุระดับ 60 แม้จะมีโอกาสปลุกโลหิตอสูรโบราณที่เบาบางขึ้นมาได้ แต่นั่นก็ถือว่าทำให้อสูรทรงพลังขึ้นมาก และยังสามารถยกระดับโลหิตอสูรโบราณให้ทรงพลังขึ้นได้ในระหว่างการฝึกฝน

มีคำร่ำรือว่า อสูรตนแรกที่แข็งแกร่งที่สุด ได้สละร่างกายเพื่อให้เกิดอสูรสายพันธุ์ต่างๆขึ้น และโลหิตของมันที่ผสานเข้ากับอสูรสายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง ก็จะยิ่งหนุนเสริมให้อสูรนั้นๆทรงพลังมากขึ้น

“ครั้งก่อนที่มันปลุกโลหิต โลหิตของมันอยู่เพียงระดับ 9 แต่ตอนนี้กลับบรรลุถึงระดับ 25 และทำท่าจะทะลวงให้ถึงระดับ 60… หากการทะลวงระดับผิดพลาด นายกองลู่ต้องโทษว่าเป็นความผิดข้าแน่! บ้าเอ้ย! จะเป็นไงก็เป็นกัน!”

ลู่ซ่งหยุนหยุดร่ายบทสวด มันนำขวดใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ในนั้นมีของเหลวสีขาว เป็นปราณอสูรที่อัดแน่นจนกลายเป็นของเหลว

ก่อนหน้านี้มันเคยใช้สิ่งนี้กับบุตรชาย ยามที่บุตรชายของมันปลุกโลหิตครั้งที่สอง ตอนนี้ของเหลวในขวดจึงเหลือเพียงครึ่ง ซึ่งมันกำลังจะนำมาใช้กับหนิงฝาน

“หากเจ้าอยากบรรลุโลหิตระดับ 60 ข้าจะช่วยเอง!!”

ลู่ซ่งหยุนบีบขวดแตก ของเหลวสีขาวกลายเป็นไอไหลซึมเจ้าไปในรูปปั้น พร้อมกับสระโลหิตที่เพิ่มความเร็วในการยกระดับขึ้นเป็น 3 เท่า!

แต่เมื่อยกระดับโลหิตไปจนถึงระดับ 31 หนิงฝานสัมผัสได้ว่าความเร็วกำลังลดลง

ยิ่งระดับสูงขึ้น โลหิตก็ยิ่งยกระดับได้ช้าขึ้น

แต่จู่ๆ หนิงฝานกลับสัมผัสได้ว่าความเร็วในการยกระดับเพิ่มพูนขึ้น จนทำให้โลหิตของเขายกระดับเป็น 32 ในพริบตา

“ลู่ซ่งหยุนคงทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้ความเร็วในการดูดซับของข้าเพิ่มมากขึ้น”

หนิงฝานเพ่งสมาธิไปกับการดูดซับโลหิต จนโลหิตของเขายกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

33… 34… 59!

ผ่านไป 10 วัน ระดับโลหิตของหนิงฝานเพิ่มพูนเป็น 59… แต่เมื่อโลหิตยกระดับเป็น 60! ลำดับชื่อของเขาบนกำแพงหยกก็เลื่อนมายังลำดับที่ 147!

ในแดนสองอันกว้างใหญ่นี้ ผู้ที่ปลุกโลหิตในระดับนี้ได้ มีเพียง 147 ตนเหล่านั้น!

แต่การเปลี่ยนแปลงลำดับ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่เผ่าลั่วหยุน กำแพงหยกในลักษณะเดียวกันที่อยู่ตามเผ่าและเมืองต่างๆ ได้เปล่งแสงสว่างจ้า

ทำให้อสูรมากมายเร่งทะยานมายังสถานที่ปลุกโลหิตของตน เพื่อดูว่าใครเป็นผู้เลื่อนระดับ!

“ลู่เป่ย! ลู่เป่ยคนนั้นที่มีค่าหัว 30 ล้านหยกสวรรค์! ข่าวลือว่ามันเป็นอสูรตัดวิญญาณขั้นกลาง แต่นี่มันเพิ่งปลุกโลหิตครั้งที่ 2! แปลก แปลกมาก!”

บุรุษในเกราะเงินแห่งเผ่ารอยแยกพิภพ ยืนมองกำแพงหยกด้วยสายตามืดมน แรงกดดันที่รุนแรงทำให้อสูรที่อยู่ด้านหลังมันหายใจได้อย่างยากลำบาก

มันคือนายกองแห่งเผ่ารอยแยกพิภพ… ไป่ลู่!

“ที่แท้เป็นเจ้าลู่เป่ย! ก่อนหน้านี้ข้าให้คนไปสืบเรื่องของมัน มันปลุกโลหิตครั้งที่สองไม่สำเร็จ เป็นเพียงขยะของเผ่า แต่ที่ไหนได้ มันกลับเป็นผู้สังหารทหารมือดีที่สุดของข้า!”

ใกล้ๆนั้น ชายชราในชุดเกราะอสูรคนหนึ่งจ้องมองชื่อลู่เป่ย ดวงตาหรี่แคบ แต่ดูลึกล้ำ

“ลู่เป่ย… ตัวเกงในการเข้าชิงตำแหน่งนายกองอสูรของลู่เฉิง ไม่ธรรมดาจริงๆ… มีกลิ่นของเทพกษัตริย์เงา… หากโลหิตของมันบรรลุระดับ 100 โลหิตโบราณที่อยู่ในร่างของมันจะถูกปลุก แม้มันไม่บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ แต่มันได้เป็นนายกองอสูรคนใหม่แน่!”

เผ่าเพลิง… ชายชราในชุดคลุมแดงยืนอยู่ไม่ไกลจากกำแพงหยก จ้องมองรายชื่อหนึ่งบนนั้น

หวางเซี่ยวและนายกองอสูรจากโลกอสูรที่มา ได้มุ่งหน้าไปยังเผ่าเพลิง และยามนี้พวกมันก็กำลังมองกำแพงหยกที่ปรากฏรอยชื่อของลู่เป่ย

“เด็กนั่นปลุกโลหิตได้ถึงระดับ 60 คาดไม่ถึงว่าจะมีอสูรระดับนี้อยู่...” ชายวัยกลางคนจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา

แต่คำกล่าวของมันกลับทำให้หวางเซี่ยวและนายกองอสูรของมันเย้ยหยัน

“ก็แค่ระดับ 60! คนนั้นมีเป็นร้อย ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงหรอก!”

เหตุที่หวางเซี่ยวกล้ากล่าวแบบนั้น เพราะพวกมันเป็นอสูรของแดนสวรรค์ และมีโลหิตอสูรโลหิตโบราณที่ไม่สมบูรณ์ในครอบครอง พวกมันประสบความสำเร็จในการปลุกโลหิต

ยกตัวอย่างลี่ป่าน

มันเป็นผู้เชี่ยวชาญเผ่าพันธุ์อสูรทะเล แต่เมื่อปลุกโลหิตครั้งที่ 3 มันประสบความสำเร็จในการปลุกโลหิตมังกรอัสนีโบราณที่แฝงอยู่ภายในร่าง มันจึงถือเป็นอสูรที่สวรรค์เลือกสรรค์

พวกมันจึงมองหนิงฝานที่ยกระดับโลหิตเป็น 60 ว่าธรรมดาทั่วไป

“ไม่หรอก… นายกองหวางจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก… เดิมทีลู่เป่ยเป็นอสูรของเผ่าเพลิงเรา มันมีความสามารถในการสืบข่าวเป็นเลิศ แต่พรสวรรค์กลับต่ำต้อยจนเป็นที่น่าขัน พวกข้าสร้างเรื่องขับไล่มันออกจากเผ่า เพื่อให้มันทำหน้าที่สอดแนมเผ่าลั่วหยุน… ครั้งก่อนที่มันปลุกโลหิต โลหิตของมันอยู่เพียงระดับ 9 และปลุกโลหิตไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้มันยกระดับโลหิตถึง 60 ข้าว่ามันแปลก… แปลกมากๆ...”

“ฮ่าฮ่า! ท่านคิดมากไปแล้ว! ข้าว่าเรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า ว่าจะจัดการจักรพรรดิปีศาจนั่นยังไง และเข้าไปชิงจักรพรรดิดารายังไง? เรื่องลู่เป่ยไม่ต้องไปสนใจมันหรอก”

“อืม… ข้าคงคิดมากไป” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว

แต่ในหมู่คนทั้งหมด มีเพียงลู่ป่านเท่านั้นที่จ้องมองไม่วางตา

เงาภาพของลู่เป่ยปรากฏในความคิดมันโดยไม่ทราบสาเหตุ

ลู่เป่ยที่อยู่บนรายชื่อกำแพงหยก ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากลู่เป่ยที่มันพบยามที่ข้ามาจากแดนหนึ่ง

“ซัวหมิง! ฮึ่ม! ไม่รู้ว่ามันตายอยู่ในข่ายอาคมเคลื่อนย้ายหรือยัง… ถ้ามันไม่ตายคงดี ข้าจะได้ฆ่ามัน! ตอนนี้มันสมควรอยู่ในทะเลไร้สิ้นสุด แต่ยังไงมันก็ไม่มีทางรอดไปได้แน่...” ลี่ป่านทำสีหน้าเย้ยหยัน

แต่ถ้ามันรู้ว่าหนิงฝานยังไม่ตาย มันจะทำหน้ายังไง?

เมืองทะเลทรายทางเหนือแห่งเผ่าลั่วหยุน...

ลู่เฉิงจ้องมองกำแพงหยกพลางขมวดคิ้วแน่น

มันเชื่อมั่นว่าหนิงฝานไม่หยุดที่ระดับ 60 แน่ เขาต้องยกระดับไปจนถึงโลหิตโบราณไม่สมบูรณ์

เมื่อมันเห็นโลหิตเลื่อนระดับเป็น 61 มันหัวเราะลั่น

“ฮ่าฮ่าฮ่า!! ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ! ถ้ามีลู่เป่ยอยู่ ก็ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนายกองคนที่ 8 ได้อีก!”

ในช่วงที่ผ่านมา ลู่ซ่งหยุนร่ายบทสวดและเคาะจังหวะประกอบอย่างไม่ขาดสาย

เมื่อมันเห็นโลหิตอสูรของหนิงฝานบรรลุระดับ 60 มันผ่อนคลายลงมาก

เด็กคนนี้ไม่ทำให้ความพยายามของมันสูญเปล่า

“ในที่สุดเด็กนั่นก็บรรลุระดับ 60 แล้ว...”

แต่ขณะที่มันลุกขึ้น มันกลับทรุดเข่าลงอีกครั้ง แข้งขาไร้เรี่ยวแรง เลือดลมปั่นป่วน หัวใจบีบรัดราวกับจะขาดใจ

“61! นี่มันจะทะลวงระดับ 100 เลยไง!! แค่นี้มันยังไม่พอใจหรือไง!!”

ลู่ซ่งหยุนแทบคลั่ง หากมันไม่ใช่นักบวชอสูร มันคงด่าทอหยาบคายไปแล้ว

ลู่เป่ยไม่รู้ว่ามันต้องทุ่มความพยายามขนาดไหนที่จะช่วยให้โลหิตอสูรยกระดับขึ้นเป็น 60 การจะไปถึงระดับ 100 นั้นเป็นได้เพียงความฝันเท่านั้น!

น่าโมโห… น่าโมโหที่สุด

หากลู่เป่ยล้มเหลว ลู่เฉิงไม่เอามันไว้แน่!

สวรรค์กลั่นแกล้งข้า ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักนิด ทั้งยังช่วยเจ้าเต็มกำลัง แต่ทำไมข้าต้องมาประสบกับอะไรแบบนี้!

“ดูท่าถ้าเจ้าไม่บรรลุระดับ 100 เจ้าคงไม่ยอมหยุด แต่ถ้าเจ้าพลาด คนซวยก็คือข้า เจ้าลู่เฉิงนั่นคงฆ่าล้างตระกูลข้าแน่นอน… นี่คือแก่นโลหิตที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น เดิมทีข้าคิดจะใช้ทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ แต่ข้าก็ต้องยกให้เจ้า หากเจ้าล้มเหลว ข้าจะอาฆาตเจ้าไปชั่วชีวิต!”

ลู่ซ่งหยุนนำขวดอีกใบออกมา บีบทำลายมัน หมอกโลหิตลอยฟุ้ง แก่นจะซึมเข้าไปยังรูปปั้น

รูปปั้นเปล่งแสงเจิดจ้า ความเร็วในการดูดซับโลหิตในสระเพิ่มพูนเป็น 10 เท่า!

“เจ้าต้องทะลวงระดับ 100 ให้ได้ ไม่งั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

ลู่ซ่งหยุนยามนี้ดูราวกับคนบ้า...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด