ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0174 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0176 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0175 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ จอมเวทอหังการ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 175 : กลับสู่นครหลวง

หลังเดินทางในเทือกเขาอยู่หลายวัน ฉินหยุนตอนนี้กำลังมุ่งตรงไปยังจักรวรรดิเทียนฉิน!

จักรวรรดิเทียนฉินถือเป็นจักรวรรดิที่อยู่ใกล้ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามมากที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวังหลวงเทียนฉินและตำหนักทิศใต้เป็นไปได้ด้วยดี นอกจากนี้ องค์ชายรัชทายาทฉินเจิ้งเฟิงยังเป็นมิตรที่ดีกับเชี่ยวหยางหลงแห่งตำหนักตะวันตก

ดังนั้น ในระหว่างช่วงงานพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฉินเจิ้งเฟิงและเชี่ยวเย่ว์หลาน ตำหนักทั้งสี่ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามจึงมาร่วมงาน ตำหนักตะวันออกที่น้อยครั้งจะส่งศิษย์ออกมายังเข้าร่วม โดยหลักแล้วก็เพราะเชี่ยวเย่ว์หลานคือศิษย์ของตำหนักตะวันออกนั่นเอง

ที่ประตูหลักของนครหลวงเทียนฉิน ประตูเหล็กบานยักษ์สองบานสูงหลายสิบเมตรเปิดอ้ากว้าง ครั้งอดีต นครหลวงจะเปิดประตูสูงกว่าสิบเมตรนี้ก็ต่อเมื่อมีผู้เข้าออกซึ่งต้องผ่านการสอบถามโดยทหารรักษาการณ์ บางครั้ง ก็อาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าเมืองด้วย ทว่าคราครั้งนี้ไม่จำเป็น

ฉินหยุนตอนนี้ยังอยู่ห่างจากนครหลวงหลายร้อยเมตร ดวงตาสุกสว่างและลุ่มลึกของเขากำลังจ้องมองฝูงชนที่เข้าและออกนครหลวงกันไม่ขาดสาย

หลายผู้คนเดินผ่านเขาไป พวกเขาเพียงมองอย่างเฉยเมย

ฉินหยุนตอนนี้ทั้งสูงกว่าและกำยำยิ่งกว่าก่อนหน้า หลังโดนเคี่ยวกรำโดยแสงตะวันอยู่นับเดือนที่ยอดเขาชี้นำวิญญาณดวงดาว ผิวหนังจึงเริ่มเป็นสีน้ำตาลอ่อนขณะดูหล่อเหลากำยำมากขึ้น หลังประสบพบเจอห้วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาค่อยมีเหลี่ยมมุม กระทั่งว่าดูเติบใหญ่และหนักแน่นมากขึ้น

ตอนนี้เขากำลังมองประตูหลักของนครหลวง ภายในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย

ตอนนี้ เขาอายุสิบหกปีแล้ว นับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดแล้วด้วย!

ท้ายที่สุดเขาก็มีชะตาให้ต้องกลับสู่จักรวรรดิเทียนฉิน!

“จักรพรรดินีเย่ ข้าจะไปเข้าร่วมงานแต่งบุตรชายเจ้าอย่างแน่นอน!” ฉินหยุนกำหมัดเอาไว้แน่นขณะฝีเท้าเร่งรีบเดินมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง

วันนี้เขาสวมใส่ชุดสีเทา ทั้งยังมีหมวกไผ่สาน ท่าทีหาได้ลอกแล่ก ดวงตานั้นมาดมั่นและแน่วแน่ ด้วยท่าทางที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่มีทางที่ผู้อื่นจะทราบได้ว่าเป็นเขาซึ่งอายุสิบหกปีแล้ว มีเพียงคนสนิทคุ้นเคยเท่านั้นจึงสามารถมองเขาออกได้เพียงการมองครั้งเดียว

ขณะฉินหยุนเดินเข้าประตูเมือง เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันยิ่ง ทว่า บรรยากาศกลับไม่ใช่ แม้จะมีชีวิตชีวายิ่งกว่าก่อนหน้า แต่มันคล้ายมีความหนักอึ้งกังวล

เขาสอบถามไปทั่วขณะพบว่าไม่กี่เดือนนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้น!

โดยเฉพาะกับเชี่ยวเย่ว์เหม่ยซึ่งเขากำลังเป็นห่วงอยู่ นางกลายเป็นหญิงโฉดฆาตกรชั่วร้ายไปแล้ว!

ศิษย์กว่าหนึ่งร้อยคนจากตำหนักตะวันตกและตระกูลขุนนางแห่งเทียนเชี่ยว ล้วนถูกนางสังหาร บางตระกูลขนาดเล็กกระทั่งถูกกวาดล้าง ตระกูลเหล่านั้นล้วนมีสัมพันธ์อันดีกับเชี่ยวหยางหลง!

นอกจากนี้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยังสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดได้สำเร็จจำนวนหลายสิบคนด้วยกัน สำหรับจักรวรรดิเทียนเชี่ยว เรื่องนี้ถือเป็นความเจ็บปวดอันร้ายแรงยิ่ง

สถาบันยุทธ์เทียนเสวียนก็ไม่เว้น ทุกสามวัน จะต้องมีศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ก็พิกลพิการ!

ในช่วงหลายเดือนมานี้ คนของสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน จักรวรรดิเทียนเชี่ยว และตำหนักตะวันตกล้วนตกอยู่ในอาการหวาดกลัวเพราะเชี่ยวเย่ว์เหม่ย

ทว่า ไม่กี่วันก่อน ข่าวคราวชวนตื่นตะลึงก็เกิดขึ้นจนได้!

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยถูกจับตัวโดยจักรวรรดิเทียนเชี่ยว และตอนนี้ถูกกักขังเอาไว้ที่นครหลวงจักรวรรดิเทียนฉิน และพวกเขายังไม่ทราบว่าควรจัดการกับนางอย่างไรดี

“เย่ว์เหม่ยโดนจับ แล้วตอนนี้ก็อยู่ในจักรวรรดิเทียนฉิน!” เมื่อฉินหยุนได้ยินดังนี้ คิ้วนั้นขมวดมุ่นขณะเผยสีหน้าเคร่งเครียด

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยโดนจับตัว และนำมายังนครหลวงเทียนฉิน เรื่องนี้ชัดเจนว่าเป็นความจงใจ เป็นไปได้สูงว่านี่จะเป็นการกดดันเชี่ยวเย่ว์หลาน พี่สาวของนาง ดังนั้นแล้วนางจึงกลายเป็นตัวประกันเพื่อให้เกิดความร่วมมือที่ดีระหว่างพิธีอภิเษกสมรส!

เชี่ยวเย่ว์หลานเห็นเย็นชาและไร้หัวใจเพียงนั้น แต่นางกลับดีต่อน้องสาวของตนยิ่ง ตอนนี้น้องสาวของนางได้สังหารผู้คนไปมากและถูกจับตัว นางย่อมต้องมีโทษตายแล้ว

หากนางให้ความร่วมมือกับจักรวรรดิเทียนเชี่ยวและแต่งงานจนผ่านพ้น เช่นนั้นน้องสาวของนางจะรอด

“เราต้องไปช่วยเย่ว์เหม่ย!” ฉินหยุนตัดสินใจได้โดยทันที ว่าต้องไปช่วยเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม!

ผู้คนที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยสังหารล้วนข้องเกี่ยวกับข้าราชบริพารแห่งเทียนเชี่ยว หรือไม่ก็ศิษย์ของตำหนักตะวันตก และสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน หลังนางฆ่าผู้คนเหล่านั้นได้ หลายคนกระทั่งโห่ร้องยินดีด้วยซ้ำ

และเรื่องนี้ก็ชัดเจน ว่านางสังหารคนเหล่านั้นเพื่อแก้แค้นให้แก่ฉินหยุน!

ฉินหยุนได้ทราบว่าพิธีระหว่างเชี่ยวเย่ว์หลานและฉินเจิ้งเฟิงจะถูกจัดขึ้นในอีกยี่สิบวันถัดจากนี้

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ขุนนางทั้งหลาย อาจารย์ และศิษย์จากแต่ละอาณาจักรล้วนมาเยือนพระราชวังหลวงเทียนฉินกันไม่ขาดสาย

นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีข่าวคราวชวนตื่นตะลึง วิญญาณยุทธ์ของเชี่ยวเย่ว์หลานถูกผู้คนรับรู้ เป็นวิญญาณยุทธ์มังกรไฟระดับทองม่วง ถือเป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนาน!

เมื่อฉินหยุนทราบข่าว เขาแตกตื่นยิ่งกว่าผู้คนส่วนใหญ่ เป็นเพราะเขาทราบดีว่านอกจากวิญญาณยุทธ์มังกรระดับทองม่วงแล้ว เชี่ยวเย่ว์หลานยังมีวิญญาณยุทธ์พลังจิต!

ทว่า เป็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่เป็นน้องสาวนางบอกต่อเขา ว่าไม่อาจใช้วิญญาณยุทธ์กระจกเพื่อทำสำเนาวิญญาณยุทธ์ทั้งหมดของพี่สาวนางได้!

วิญญาณยุทธ์มังกรไฟระดับทองม่วง ถือเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับทองม่วง กระจกของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยสามารถทำสำเนามันได้ แน่นอนว่านางต้องเคยเก็บมันเอาไว้ในวิญญาณยุทธ์กระจก และในภายหลัง นางจึงค่อยคัดลอกวิญญาณยุทธ์พลังจิตของเชี่ยวเย่ว์หลานมา!

หรือก็คือ เชี่ยวเย่ว์หลานมีวิญญาณยุทธ์ที่สามซึ่งแข็งแกร่งขนาดที่วิญญาณยุทธ์กระจกของน้องสาวนางไม่อาจทำสำเนาคัดลอกได้!

“วิญญาณยุทธ์มังกรถือเป็นวิญญาณยุทธ์สัตว์ และมังกรถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เชี่ยวเย่ว์หลานครอบครองวิญญาณยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับทองม่วง ทั้งยังมีวิญญาณยุทธ์สีดำอันลึกลับ นี่จะบอกว่านางได้รับพวกมันเหล่านี้เพราะแผนที่หลุมฝังเซียนอย่างนั้นหรือ?”

ฉินหยุนคิดกับตนเอง วิญญาณเทวะเก้าตะวันของเขาก็ได้รับจากแผนที่หลุมฝังเซียน ดังนั้นเขาจึงได้รับวิญญาณยุทธ์ที่ชวนสะพรึงยิ่งมาไว้ในครอบครอง!

“เสี่ยวเม่ยเหลียนก็น่าจะมีวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา! หวังว่านางจะเก็บซ่อนมันเอาไว้อย่างดีนะ!”

ขณะเขาเดินผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง เขาได้พบชายร่างใหญ่สองคนกำลังสนทนากันตั้งแต่ปากทางเข้าเมืองแล้ว หนึ่งในนั้นกล่าวคำ “นักดาบแขนเดียวผู้นั้นน่ากลัวนัก กระทั่งจัดการสัตว์ปีศาจระดับแปดได้!”

“อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดแท้ ๆ แต่กลับมีดาบชีวิตเทวะที่ทรงพลัง!”

“เห็นว่าฆ่าสัตว์ปีศาจดุร้ายไปหลายตัว ทั้งยังแบกมันมาด้วยตัวเองเพื่อนำขาย!”

พอฉินหยุนได้ยินดังนี้ เขาเร่งร้อนเข้าเอ่ยถาม “พี่ชาย นักดาบแขนเดียวที่ท่านพูดถึงยังอยู่ในนครหลวงนี้หรือไม่?”

“คิดว่านะ เห็นเอาสัตว์ระดับแปดไปขายอยู่ที่ตำหนักจารึกเทวะ!”

พอฉินหยุนได้ยินดังนี้ เขาเร่งรีบกล่าวขอบคุณขณะมุ่งหน้าสู่ทางตะวันตกของนครหลวง ที่ซึ่งตำหนักจารึกเทวะตั้งอยู่

เขาไม่แปลกใจที่เซี่ยอู๋เฟิงก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดแล้วสักเท่าใดนัก

ครั้งอยู่สถาบันซานเสวียน ระดับการฝึกฝนของเซี่ยอู๋เฟิงก็คือขีดสุดของกายวรยุทธ์ระดับที่หกแล้ว หลังเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ด้วยการหล่อเลี้ยงจากโฮ่วฉิงเฟิง เขาย่อมต้องเลื่อนระดับพลังโดยรวดเร็วเป็นแน่

สถานที่ซึ่งฉินหยุนคุ้นเคยที่สุดในนครหลวงก็คือตำหนักจารึกเทวะ ระหว่างทางมาที่นี่ เขาได้ยินได้ฟังหลายผู้คนสนทนาถึงเรื่องที่เซี่ยอู๋เฟิงสังหารสัตว์ปีศาจระดับแปดได้

บริเวณทางตะวันตกของนครหลวง ตำหนักจารึกเทวะอยู่ค่อนข้างห่างไกล ทว่ามันกลับมีชีวิตชีวายิ่งในช่วงเวลาเช่นนี้ หากเป็นช่วงเวลาปกติ ตำหนักจารึกเทวจะไม่ค่อยมีแขกให้ต้อนรับเข้าพักสักเท่าใดนัก จึงนับได้ว่าเงียบเหงายิ่ง

เมื่อฉินหยุนมาถึงตำหนัก เขาได้พบต้วนเฉียนซึ่งกำลังจะออกไปด้านนอก

โดยทันที เขาเร่งรีบส่งยันต์เสียงออกไปและตะโกนขึ้น “คุณปู่ต้วน!”

ด้วยอาการแตกตื่น ต้วนเฉียนหันมองทางประตู เขาพบว่ามีเพียงเด็กหนุ่มร่างสูง สวมใส่หมวกไผ่สานและชุดสีเทาที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

เป็นฉินหยุน!

ต้วนเฉียนถึงกับชะงัก แม้ฉินหยุนเปลี่ยนไปมาก แต่ความมุ่งมั่นที่เผยผ่านระหว่างคิ้วของเขาไม่เคยแปรเปลี่ยน

ด้วยแดนต้องห้ามเทียนชี่ถูกทำลายไปแล้ว ทุกคนล้วนเชื่อว่าฉินหยุนตายไปแล้วเช่นกัน ต้วนเฉียนเองก็คิดเช่นนั้น เขายังรู้สึกเศร้าใจอยู่พักหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

ขณะต้วนเฉียนมึนงงอยู่ ฉินหยุนก็เดินถึงด้านหน้าของอีกฝ่ายแล้ว

ต้วนเฉียนคว้ามือฉินหยุนเอาไว้ พอสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากเลือดภายใน เขาค่อยยืนยันได้ว่านี่คือคนเป็น เขากระซิบกล่าวเสียงเบา “ไปคุยกันด้านใน!”

จากนั้น เขาจึงฉุดลากฉินหยุนเข้าไปในห้องลับ!

“คุณปู่ต้วน ข้ายังไม่ตาย!” ฉินหยุนถอดหมวกไผ่สานขณะแลบลิ้นขี้เล่นเผยให้อีกฝ่ายเห็น

ตอนเขาเข้ามาในเมือง เขาก็ได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงตนเองด้วยความเสียดายไม่น้อยเช่นกัน

“เจ้าหนู ชีวิตเจ้าช่างทนทายาดนัก!” ต้วนเฉียนหยิกแขนของฉินหยุนและหัวเราะออกจากใจ “ทั้งยังสูงขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย!”

ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาคือผู้ที่ส่งฉินหยุนเข้าสถาบันซานเสวียน ใครกันจะทราบว่าเรื่องราวจะมาไกลและมากมายเพียงนี้กัน?

“คุณปู่ต้วน พี่ใหญ่เซี่ยได้มาหาท่านหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

รอยยิ้มต้วนเฉียนเลือนหาย น้ำเสียงกล่าวคำจริงจัง “ใช่! เซี่ยอู๋เฟิง มู่หรง และฮั่วจง พวกเขาล้วนมาที่นี่เมื่อครู่ พวกเขานำสัตว์ปีศาจมาขายเป็นคันรถเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญผลึกและคิดหาทางไปช่วยเชี่ยวเย่ว์เหม่ย สหายของเจ้านั้นดียิ่งนัก!”

ฉินหยุนเร่งร้อนเอ่ยถาม “คุณปู่ต้วนขอรับ เย่ว์เหม่ยกำลังเผชิญหน้ากับความตาย ท่านต้องช่วยข้าพานางออกมา ข้าสัญญาว่าจะชดใช้ต่อเรื่องนี้ในภายหน้าอย่างแน่นอน!”

ต้วนเฉียนหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าเรียกหาข้าเป็นปู่ไม่หยุด ข้าจะไม่ช่วยได้หรือ? แล้วก็อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องชดใช้หรือตอบแทนข้า แค่เห็นเจ้ายังมีชีวิตข้าก็มีความสุขยิ่งแล้ว!”

“ข้าจะไปบอกต่อเซี่ยอู๋เฟิงก่อน พวกเราคืนนี้ค่อยพบปะกัน! หากไม่มีอะไรเกินคาดเกิดขึ้น เมื่อฟ้ามืด ผู้คนที่ข้าส่งออกไปสืบข่าวจะกลับมา ถึงตอนนั้น พวกเราจะได้รู้รายละเอียดสถานที่คุมขังเชี่ยวเย่ว์เหม่ย”

เดิมฉินหยุนคิดกระทำเรื่องนี้เพียงลำพัง แต่ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าเซี่ยอู๋เฟิงและคณะคิดช่วยเหลือเขาเช่นกัน มันทำให้เขาเกิดความวางใจ แรงกดดันที่เคยมีคล้ายหายไปเกือบหมดสิ้น

ต้วนเฉียนกล่าว “ฉินหยุน อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าทำหน้าที่เฝ้าระวังเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ด้วยพละกำลังของเจ้า เจ้าไม่มีทางต่อต้านพวกเขาได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะตัวตนของข้า ทว่าข้าจะช่วยเจ้าในเรื่องเบาะแสและแผนการ”

“ขอรับ ข้าทราบดี! ตอนนี้ขั้วอำนาจทั้งหลายต่างรวมตัวกันในนครหลวง หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นการดึงความสนใจเหล่ายอดฝีมือ! พวกเราคงทำได้เพียงแต่แอบลงมือในทางลับ” ฉินหยุนพยักหน้ารับ เขาเองก็เข้าใจว่าเรื่องราวครั้งนี้ยากเย็นเพียงใด

ต้วนเฉียนหัวเราะ “ด้วยพรสวรรค์วิถีจารึกของเจ้า การใช้ยันต์หรือผังวิญญาณถือเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถทำลายค่ายอาคม เรื่องนี้เจ้าไม่น่ามีอะไรต้องห่วงเกินไปนัก”

“โอ้ใช่ แล้วนี่เจ้ารอดมาได้อย่างไร?”

ฉินหยุนเข้าแดนต้องห้ามเทียนชี่ และมีชีวิตรอดได้จากอุกกาบาตถล่ม

หากต้วนเฉียนไม่ได้เห็นฉินหยุนมีชีวิตอยู่ตรงหน้าด้วยตาตัวเอง เขาเองก็ไม่คิดเชื่ออย่างแน่นอน เป็นเพราะการจะรอดชีวิตจากสถานการณ์นั้นได้ แทบไม่มีโอกาสเลยด้วยซ้ำ

ฉินหยุนกล่าวเสียงเบา “เป็นโชคทั้งนั้นขอรับ คุณปู่ต้วน รบกวนเก็บความลับที่ข้ารอดชีวิตไว้ด้วย!”

“แน่นอนว่าข้าต้องเก็บ! แต่เจ้าต้องเตรียมตัวเผชิญหน้ากับความยากลำบากจากทุกทิศทางไว้ พวกนั้นต้องคิดแน่ว่าเจ้าต้องได้รับวิชาจากอสูรขัดเกลาวิญญาณ” ต้วนเฉียนเองก็รู้เรื่องราวประวัติของอสูรขัดเกลาวิญญาณมาบ้าง เพราะเรื่องนี้มีการบันทึกเอาไว้ในตำหนักจารึกเทวะเช่นเดียวกัน

ฉินหยุนพยักหน้า “ข้าจะระวังให้ดีขอรับ!”

ต้วนเฉียนบอกฉินหยุนให้ไปพักก่อน ไว้เซี่ยอู๋เฟิงและคณะมาถึง พวกเขาจะไปพบเขาเอง

การอยู่อาศัยในตำหนักจารึกเทวะถือว่าปลอดภัย เขาไม่หวาดเกรงว่าข่าวของตนจะถูกผู้อื่นแพร่งพราย

ฉินหยุนตอนนี้ได้พักห้องชุดคุ้นเคยขณะนั่งบนเก้าอี้ที่ห้องนั่งเล่น เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงครั้งที่หยางฉีเย่ว์ชี้แนะเขาให้ฝึกฝนมังกรหลอมหกกระบวน

ขณะความคิดวิ่งแล่น เขาหลับตาลงและเริ่มหลับใหล

กว่าจะมีคนมาเคาะประตูก็ฟ้ามืดแล้ว

เมื่อฉินหยุนไปเปิดประตู เขาพบว่าเป็นผู้อาวุโสทำหน้าที่ส่งสารแจ้งต่อเขาให้ไปยังห้องลับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด