ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0168 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0170 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0169 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ จอมเวทอหังการ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 169 : เคลื่อนย้ายวิญญาณ

ข่าวคราวที่ฉินหยุนถูกส่งเข้าแดนต้องห้ามเทียนชี่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

ตู้ก่วยรู้สึกย่ำแย่ยิ่ง เขาแทบไม่เชื่อว่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมผู้นั้นจะถูกส่งไปยังแดนต้องห้าม

เซี่ยอู๋เฟิง ฮั่วจง และมู่หรง พวกเขาล้วนมาพบตู้ก่วย พวกเขาคิดอยากช่วยเหลือฉินหยุน ตู้ก่วยคิดสนับสนุน ทว่า พวกเขาไม่มีพละกำลังถึงเพียงนั้น พวกเขาทำได้เพียงแต่กลับไปและฝึกฝน

กระทั่งว่ามีผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมั่นใจได้ว่าจะสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายจากแดนต้องห้าม

แดนต้องห้ามเทียนชี่ตั้งอยู่ในป่าลึก ทางเข้าของมันเป็นบ้านหินสีเขียวหลังหนึ่ง

หลังจากฉินหยุนกระแทกกับประตูจนหลุดเข้ามาด้านในบ้าน ด้านล่างนั้นกลับเป็นเส้นทางแนวดิ่งทอดยาวลงลึกไปกว่าหนึ่งพันเมตร

เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงเพราะผู้อาวุโสจากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจโคจรพลังภายในได้ สติตอนนี้ก็เลือนราง เขาทำได้เพียงปล่อยให้ร่างกายร่วงหล่นไป เขากระทั่งเชื่อว่า ที่ปลายทางตนคงมีสภาพน่าสังเวชยิ่ง

แต่แล้ว หลังร่วงหล่นลงมา เขาปะทะเข้ากับวัตถุนุ่มนิ่ม แต่ก็ยังต้องหมดสติไปเพราะแรงปะทะ

หลังผ่านไปหลายวัน ฉินหยุนค่อยลืมตาตื่นขึ้น เขาได้เห็นแสงสว่างเจือจางสีขาวบนกำแพง เขาเร่งรีบลุกขึ้นนั่งสำรวจมองโดยรอบ

เขาตอนนี้อยู่ในห้องหิน มีเพียงแสงสลัวผ่านไข่มุกที่ประดับเอาไว้บนผนังช่วยส่องผ่านความมืด

“จำได้ว่า... เราโดนผลักกระเด็นเข้ามาในบ้านหินสีเขียว! อย่าบอกนะว่า นี่เราอยู่ในแดนต้องห้ามเทียนชี่?” ฉินหยุนนึกย้อนก่อนตื่นตระหนก

“เด็กน้อย เจ้าอยู่ในแดนต้องห้ามเทียนชี่จริง!”

เสียงอ่อนโยนของผู้หญิงดังขึ้น ทว่า บุคคลที่เดินเข้ามานี้คือหญิงชรา ศีรษะเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาวดอกเลา นางใช้ไม้เท้าหัวมังกรทองคำค้ำยันเดินเข้ามา

หญิงชราผู้นี้มีรอยเหี่ยวย่นที่ใบหน้าไม่น้อย นางยิ้มอบอุ่นขณะเดินมาถึงข้างเตียงและนั่งลง

ผู้คนล้วนทราบว่าอสูรขัดเกลาวิญญาณถูกคุมขังเอาไว้ในแดนต้องห้ามเทียนชี่

ฉินหยุนทราบเรื่องนี้กระจ่างชัดตั้งแต่ยังเยาว์

แต่แล้ว เขาไม่เคยคิดเลย ว่าอสูรขัดเกลาวิญญาณในตำนานจะเป็นหญิงชรา!

“อะ... คุณยาย เหตุใดท่านอยู่ที่นี่?” ฉินหยุนยากจะเชื่อว่าหญิงชราตรงหน้าคืออสูรร้ายที่โด่งดังผู้นั้น

“เป็นข้าทำผิดจึงถูกขังเอาไว้ที่นี่ แล้วเจ้าเล่า?” หญิงชราหัวเราะ

รอยยิ้มของนางทำให้ฉินหยุนรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง

“ข้ามีปัญหากับคนกลุ่มหนึ่งและถูกส่งมาที่นี่” ฉินหยุนเร่งรีบพยายามสัมผัสถึงวิญญาณยุทธ์ทั้งสองในแขนซ้าย เมื่อเขาพบว่าพวกมันยังอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก

เขายังประหลาดใจ บาดแผลตามร่างกายล้วนหายดีแล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเพราะผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ด้วยสภาพที่เขาไม่อาจโคจรพลังตนเองเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฟื้นฟูได้รวดเร็วขนาดนี้

หญิงชราหัวเราะ “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นข้ารักษาให้! วิญญาณยุทธ์ของเจ้าน่าสนใจนัก แต่เจ้าเองก็พบปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว”

“คุณยาย ท่านคืออสูรในตำนานผู้นั้น?” ฉินหยุนรวมความกล้าเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงชราไม่มีท่าทีคุกคาม

หญิงชราถอนหายใจ “ใช่ ใช่... เป็นข้าเองที่ถูกเรียกขานอสูรขัดเกลาวิญญาณ ข้าช่วยเหลือผู้คนมากมายของจักรวรรดิเทียนชี่เพื่อให้ได้รับวิญญาณยุทธ์ทรงพลัง แต่กลับเป็นพวกเขาอกตัญญูต่อข้า บีบบังคับให้ข้าต้องส่งมอบเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณหลังจากที่สามีของข้าจากไป! ข้าไม่ยินยอม จึงถูกกักขังเอาไว้ที่นี่”

ฉินหยุนเข้าใจดีถึงความโหดเหี้ยมแห่งจักรวรรดิ ดังนั้น เขาจึงเชื่อว่าคำกล่าวของหญิงชราผู้นี้สมควรเป็นจริงแล้ว

“คุณยาย ผู้น้อยนามว่าฉินหยุน เป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิเทียนฉิน เดิมข้าเป็นองค์ชายรัชทายาท แต่ข้าถูกทำร้าย จัดฉากวางแผนโดยข้าราชบริพาร ตำแหน่งรัชทายาทของข้าถูกเพิกถอน เส้นวิญญาณสี่ตะวันถูกนำออก ถึงกระนั้นแล้วพวกมันก็ยังคงเพ่งเล็งข้า พวกมันคิดทำลายข้าให้สิ้นซาก” ฉินหยุนถอนหายใจ “ภายนอกข้ามีศัตรูมากมายนัก ที่นี่เหมือนจะเป็นที่ปลอดภัยไม่น้อย”

หลังหญิงชราได้ยินดังนี้ นางขมวดคิ้วและกล่าวโกรธแค้นแทน “พวกสารเลวเหล่านั้นช่างชั่วช้า กระทั่งนำเส้นวิญญาณผู้อื่นออกจากร่าง... ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าใด?”

“สิบปี!” ฉินหยุนยิ้มขื่นขมกล่าวตอบ “แต่ก็เป็นเพียงแค่อดีตขอรับ ข้าตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายเพียงนั้น ตอนนี้อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกแล้ว”

“เจ้าต้องจดจำบุคคลที่พรากเส้นวิญญาณไปจากเจ้า ภายหลัง เจ้าต้องฆ่าพวกมันไปทีละคนทีละคน อย่าได้ปล่อยวายร้ายเหล่านั้นมีชีวิตรอด” สีหน้าของหญิงชราแกร่งดั่งเหล็กกล้า ทั้งโหดเหี้ยม และเย็นเยือก ชัดเจนว่านางเกลียดชังและโกรธแค้นต่อเรื่องราวทำนองนี้ยิ่ง

ฉินหยุนเอ่ยถาม “คุณยาย ข้าได้ยินว่าท่านพรากเอาวิญญาณยุทธ์ผู้อื่น เรื่องนี้เป็นจริงหรือ?”

หญิงชราส่ายศีรษะ “สิ่งที่ข้าพรากออกมาคือวิญญาณยุทธ์ไร้เจ้าของหรือวิญญาณยุทธ์สัตว์ ข้าไม่เคยนำวิญญาณยุทธ์จากผู้คนออกมา แน่นอนว่าหากข้าเผชิญหน้ากับบุคคลชั่วร้ายที่ทำร้ายข้า ข้าก็ไม่ปราณีพวกมันเช่นกัน”

“ข้าคือหนึ่งในสี่นางสนมเอกแห่งจักรวรรดิเทียนชี่ ในกลุ่มนางสนม ข้าถือว่าใหญ่ที่สุดรองจากจักรพรรดินี หลังองค์จักรพรรดิสิ้นพระชน จักรพรรดินีเป็นกังวลว่าข้าจะสู้เพื่อคิดชิงบัลลังก์ ไม่เพียงแต่นางสังหารบุตรชายทั้งสองของข้า นางยังบีบบังคับให้ข้าส่งมอบวิชาขัดเกลาวิญญาณ ช่างเป็นกลุ่มคนเขลา หากพวกมันไม่สังหารบุตรชายข้า ข้าก็คงให้ความร่วมมือด้วยไปแล้ว”

ฉินหยุนก้มศีรษะลงนึกย้อนถึงเรื่องราวที่บันทึกเอาไว้ เขากล่าวกระซิบ “มีย่อหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งเทียนชี่ หนึ่งในสี่นางสนมเอก เฉียวรุ่ยเหวิ่นถูกจับประหารเพราะสมคบคิดกับบุตรชายคิดชิงบัลลังก์”

ไม่มีผู้ใดทราบว่าอสูรขัดเกลาวิญญาณและนางสนมเอกจะเป็นคนเดียวกันเช่นนี้!

“ในครั้งนั้น มีผู้คนเพียงน้อยนิดที่ทราบว่าข้ารู้วิชาที่ใช้ขัดเกลาวิญญาณยุทธ์ พวกมันเป็นกังวลว่าข้าจะใช้วิชาขัดเกลาวิญญาณเพื่อเอาชนะใจผู้คน ดังนั้น พวกมันจึงคิดเคลื่อนไหวกวาดล้างตระกูลข้า พวกมันกลับกลายวิชาขัดเกลาวิญญาณเป็นวิชาของปีศาจที่ไม่อาจได้รับการยอมรับ เป็นผลให้ไม่มีผู้ใดคิดตามหาข้าเพื่อเรียนรู้วิชาดังกล่าว” เฉียวรุ่ยเหวิ่นแค่นเสียง

ฉินหยุนกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่น้อย “ท่านยายเฉียว ท่านถูกคุมขังที่นี่มากว่าสองร้อยปี และท่านยังชราภาพเพียงนี้! หมายความว่าจักรพรรดินีเมื่อครั้งนั้นสมควรตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

เฉียวรุ่ยเหวิ่นหัวเราะ “แน่นอน ข้าใช้วิชาขัดเกลาวิญญาณเพื่อยังคงสภาพดวงวิญญาณเอาไว้! ตราบเท่าที่วิญญาณยุทธ์ไม่สิ้นอายุขัย ข้าก็ยังสามารถอยู่ได้ตราบนานเท่านาน!”

หลังจากนั้น ฉินหยุนได้บอกเล่าต่อเฉียวรุ่ยเหวิ่นถึงทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับตนเอง มันทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องราวนี้คล้ายกับตนเองนัก เป็นผลให้นางยิ่งเกลียดชังผู้ที่มีสถานะจักรพรรดินียิ่ง

เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว “เสี่ยวหยุน วิญญาณยุทธ์ในร่างของเจ้าพิเศษนัก ด้วยตัวเจ้าเองก็น่าจะรู้”

“เป็นเพราะตอนนั้นสถานการณ์อันตราย ข้าจึงย้ายพวกมันไปที่แขน แต่กลับไม่อาจย้ายกลับคืนที่เดิม” ฉินหยุนรู้สึกยุ่งยากใจ “ข้าเป็นกังวลอยู่ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรในภายหน้าหรือไม่!”

เฉียวรุ่ยเหวิ่นรีบกล่าว “แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบ หากวิญญาณยุทธ์ทั้งหมดของเจ้าไปอยู่ที่แขน จะเกิดอะไรขึ้นหากในภายหน้ามันถูกตัดออก? เจ้ารับประกันได้หรือว่าแขนของเจ้าจะอยู่กับตัวตลอดไป?”

ใบหน้าของฉินหยุนพลันเต็มไปด้วยความกังวลขณะเอ่ยถาม “ท่านยายเฉียว ท่านพอจะช่วยข้าย้ายวิญญาณยุทธ์และพลังธาตุกลับคืนสู่ตันเถียนได้หรือไม่ขอรับ?”

“เหตุใดจึงย้ายกลับไปตันเถียน? ข้าคิดย้ายวิญญาณยุทธ์สั่นไหวและพลังธาตุสั่นไหวของเจ้าไปยังหัวใจ! ที่แขนซ้ายให้เหลือไว้เพียงวิญญาณยุทธ์ไฟที่ยังหลับใหลอยู่ก็พอ!”

“เหตุใดจึงย้ายกลับไปตันเถียน?” ฉินหยุนถึงกับสับสนเพราะคำพูดนี้ แต่แล้ว เขาพลันลอบตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน มันจะเป็นเรื่องดียิ่งหากวิญญาณยุทธ์สั่นไหวของเขาสามารถไปยังหัวใจ หัวใจคือจุดตาย ด้วยการปกป้องจากพลังธาตุสั่นไหว มันจะไม่มีทางบาดเจ็บได้โดยง่าย

เฉียวรุ่ยเหวิ่นหัวเราะ “หากเจ้าไม่ต้องการย้ายพวกมันกลับตันเถียน กรณีนั้นเจ้าจะสามารถเก็บมันเอาไว้เพื่อวิญญาณยุทธ์ที่สามให้อยู่อาศัย! นั่นนับเป็นสถานที่ที่ดีซึ่งเหมาะสมกับการเก็บวิญญาณยุทธ์ที่สาม”

“เรื่องนี้เป็นไปได้หรือขอรับ?” ฉินหยุนตื่นเต้น

“นอนลงและให้ความร่วมมือกับคุณยายผู้นี้ ระหว่างกระบวนการ เจ้าจำเป็นต้องใช้สติของตัวเองเพื่อควบคุมวิญญาณยุทธ์” เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว

หลังจากฉินหยุนนอนลง เฉียวรุ่ยเหวิ่นจึงนำมือของนางวางสัมผัสที่แขนของเขา ตอนนี้ นางปล่อยพลังจิตพิเศษซึ่งเล็งเป้าไปที่วิญญาณยุทธ์สั่นไหว

ไม่ช้า นางค่อย ๆ เริ่มเคลื่อนย้ายพลังธาตุสั่นไหวและกล่าวกระซิบ “พลังธาตุสั่นไหวของเจ้านั้นอยู่ภายในพลังธาตุไฟอีกทีหนึ่ง หากข้าเคลื่อนมันออกตอนนี้ คงจะต้องอดทนต่ออาการเจ็บปวดพอสมควร อดทนเข้าไว้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เจ้าต้องห้ามไม่ให้พลังธาตุสั่นไหวกลับคืนเข้าไป!”

ฉินหยุนเร่งร้อนพยักหน้ารับก่อนคิ้วขมวดรอคอย ไม่นานนัก เขารู้สึกได้ถึงพลังธาตุเริ่มสั่นสะเทือน ขณะมือของเฉียวรุ่ยเหวิ่นเคลื่อนไหวทีละน้อย มันเคลื่อนเข้าสัมผัสกำแพงของพลังธาตุไฟ ก่อนจะเริ่มฉีกกระชากมันออกเพื่อเข้าถึงพลังธาตุสั่นไหว

“อื้อ!” ฉินหยุนพยายามสะกดข่มเสียงร้องความเจ็บปวด

“อดทนไว้ ไม่นานก็เสร็จ!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นเองก็หลั่งเหงื่อขณะตะโกนบอกเสียงลุ่มลึก

หลังผ่านไปครู่ ความเจ็บปวดค่อยเลือนหาย ฉินหยุนหอบหนักขณะเหงื่อท่วมร่างกาย พลังธาตุสั่นไหวในที่สุดก็ถูกแยกออกจากพลังธาตุไฟ ด้วยการควบคุมของเฉียวรุ่ยเหวิ่น มันค่อย ๆ เคลื่อนย้ายสู่หัวใจของเขา

“ท่านยายเฉียว พลังธาตุไฟของข้าหลับอยู่ ข้าจำเป็นต้องผสานกับวิญญาณยุทธ์ทรงพลังเพื่อปลุกมันให้ตื่นขึ้นหรือขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“ใช่! วิญญาณยุทธ์สั่นไหวนี้แข็งแกร่งนัก หากวิญญาณยุทธ์ไฟไม่แข็งแกร่งพอ มันจะทำลายวิญญาณยุทธ์ไฟและพลังธาตุไฟของเจ้า นับเป็นเรื่องดีที่เจ้าได้พบข้า ไม่เช่นนั้นหากเจ้าออกไปหาวิญญาณยุทธ์ด้วยตนเอง คงอาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้”

ไม่ช้า ฉินหยุนเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังแรงกล้าทะลักเข้าในหัวใจ มันเป็นพลังธาตุสั่นไหวที่เข้าสู่หัวใจของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

เฉียวรุ่ยเหวิ่นปาดเช็ดเหงื่อและกล่าว “หากไม่ใช่เพราะเจ้าฝึกฝนวิถีหัวใจเหลืองดำ ข้าคงไม่กล้าช่วยเคลื่อนย้ายให้ มีเพียงวิถีหัวใจเหลืองดำจึงสามารถทานทนต่อแรงพลังธาตุของเจ้าได้ กระทั่งว่าเป็นวัชระวิถีหัวใจ มันก็ไม่มีทางทานทนได้ คงได้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงแน่”

หัวใจคือแกนกลางสำหรับการโคจรพลังภายในร่างกาย ตอนนี้มันได้ผสานรวมเข้ากับพลังสั่นไหว หมายความถึงพลังสั่นไหวของเขาจะสามารถเคลื่อนไปยังทุกหนแห่งในร่างกายได้ในทันทีเพื่อทำการป้องกันตนเอง!

“ขอบคุณท่านยายเฉียว!” ฉินหยุนกล่าวทราบซึ้ง

“เหตุใดต้องมากมารยาทต่อข้า? เจ้าหนู เจ้านั้นลำบากมามากแล้ว คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นทุกวันนี้ น่าเวทนานักที่เจ้าต้องติดอยู่สถานที่บัดซบเช่นนี้!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นถอนหายใจ “กระทั่งว่าข้ามีพลังระดับขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ก็ยังไม่อาจหลบหนีพ้นจากที่นี่ได้”

“ท่านยายเฉียว อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ท่านไม่อาจออกไปได้?” ฉินหยุนค่อนข้างเชี่ยวชาญผังวิญญาณ เขาคิดอยากเห็นต้นตอของมันเผื่อว่าจะสามารถทะลวงผนึกจากภายใน

“ภายในมีอาคมที่ทรงพลังยิ่ง เป็นค่ายอาคมวิญญาณที่ปกคลุมตำหนักใต้ดินแห่งนี้ เจ้าสามารถเข้าได้จากภายนอก แต่ไม่มีวันออกไปได้เมื่ออยู่ภายใน” เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว

ฉินหยุนสัมผัสผนังรอบด้าน เขาเริ่มส่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกไปนอกกำแพง แต่กลับไม่สำเร็จ สถานที่แห่งนี้เหมือนจะหนาแน่นยิ่งกว่าหอคอยทัณฑ์สวรรค์

หลังสำรวจโดยรอบแล้ว เขาจึงเดินออกจากห้อง มีทางเดินยาวอยู่ภายนอก ระหว่างทางมีทางแยกอยู่จำนวนมากที่คล้ายเชื่อมต่อถึงกัน

เฉียวรุ่ยเหวิ่นเมื่อเห็นฉินหยุนคิดออกค้นหาจึงเดินตามมา “เสี่ยวหยุน ข้านั้นอยู่ที่นี่มากว่าสองร้อยปีแล้ว และรู้ถึงตำหนักใต้ดินแห่งนี้เปรียบเสมือนหลังมือของข้าเอง! ด้านล่างนี้มีห้องหินอยู่หนึ่งร้อยเก้าห้อง ที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นห้องแปดเหลี่ยม ประกอบด้วยห้องหินรูปสี่เหลี่ยมสามสิบหกห้อง ซึ่งค่อนข้างใหญ่พอสมควร ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดสิบสองห้องหินจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด