เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0123 [อ่านฟรี]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 123 : แข็งขืน
ทั้งอาจารย์และศิษย์ที่ทำตัวเป็นผู้ชมจากระยะไกลล้วนกายแข็งทื่อ!
ศิษย์จากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ล้วนไม่ใช่ศิษย์ดาษดื่นธรรมดา พวกเขาทั้งหมดล้วนมีสถานะสูงส่ง ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับสิทธิ์ควบคุมมนุษย์เหล็ก
แต่แล้วตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดกลับต้องประสบเภทภัยร้ายแรง!
เซี่ยอู๋เฟิง ฮั่วจง และมู่หรงต้าเหรินล้วนตื่นตะลึง ทว่าภายในใจของพวกเขานั้นกลับโล่ง!
“เมื่อกี้เจ้าหรือที่อวดดี?” ฉินหยุนก้าวเหยียบที่ศีรษะของเก๋อตง
หลังโดนทั้งอสนีบาตและอัคคีเพลิง เก๋อตงตอนนี้สภาพไม่ต่างอะไรกับคนตายไปแล้ว
“อย่าได้กังวล ข้านั้นเป็นคนจิตใจดี ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะให้เจ้าได้มีชีวิตรอด!” กล่าวคำจบ หมัดของเขาพลันต่อยเข้าที่ท้องของเก๋อตง แรงปะทะครั้งนี้ไม่รุนแรง ทว่ามันเพียงพอให้ทำลายพลังธาตุของเก๋อตงได้จนสิ้น
เก๋อตงเจ็บปวด ร่างกระตุกกับพื้น ไม่เพียงร่างกายเจ็บปวด ใจของเขาก็เจ็บปวดยิ่ง!
พลังธาตุถูกทำลาย นี่หมายความถึงวิถียุทธ์ของเขาจบสิ้น!
“ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตน พวกเขาคงไม่รังเกียจเจ้าที่พลังภายในโดนทำลาย น่าจะให้การดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเลยเชียวละ!” ฉินหยุนหัวเราะลั่น
หลังกล่าวจบคำ เขาจึงค่อยเดินไปไล่เรียงทำลายพลังภายในแก่ศิษย์ทั้งหมดของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม!
“ดูสิ ข้าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเพียงใด ข้าไม่แม้กระทั่งสังหารเจ้าด้วยซ้ำ!” ฉินหยุนหัวเราะชวนขนลุกที่ทำผู้คนสั่นสะท้าน
ดวงตาของบรรดาศิษย์ทุกผู้คนที่นี่ อะไรคือความเมตตา? โชคชะตาเช่นนี้เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย! กระทั่งผู้เหี้ยมโหดยังไม่ทำเช่นนี้!
ศิษย์ของตำหนักดวงดาวล้วนแต่มีพรสวรรค์ทางวิถียุทธ์ แต่แล้วตอนนี้พวกเขาล้วนพิการ พวกเขาไม่ต่างอะไรกับขยะข้างทาง ในภายหน้า ไม่เพียงพวกเขาจะโดนหัวเราะเยาะ พวกเขายังจะโดนทอดทิ้ง ช่วงชีวิตที่เหลือจะต้องทุกข์ตรมในความสิ้นหวังและเจ็บปวด มันคงดีกว่าหากพวกเขาเลือกจะตายเสียแต่ตอนนี้!
ทุกคนต่างรู้สึก ว่าฉินหยุนบ้าคลั่งไปแล้ว เขากระทั่งหาญกล้ายั่วยุตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เป็นเพราะเขาแสวงหาการแก้แค้นต่อตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม!
ถึงตอนนี้เอง พวกเขามองฉินหยุนไม่ต่างอะไรกับกับผู้ที่ตายไปแล้ว!
นี่เป็นเพราะฉินหยุนจงใจหาเรื่องต่อตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เขาย่อมต้องตายอย่างไม่ผิดคาด!
ผู้อำนวยการไป่ทะยานกายจากระยะไกลและกล่าว “ฉินหยุน เจ้าไปได้แล้ว!”
ฉินหยุนเอ่ยถาม “ผู้อำนวยการไป่ ท่านคิดทำอย่างไรต่อ?”
ผู้อำนวยการไป่ไม่ได้เข้ายุ่งเรื่องราวครั้งนี้แต่แรก หากไม่แล้ว ฉินหยุนคงไม่มีทางก่อการได้จนสำเร็จครบถ้วนทุกคน เขาจะต้องโดนเก๋อตงและคณะกดขี่อย่างไม่ต้องสงสัย นี่ถือเป็นการลอบช่วยเหลือฉินหยุนและพรรคพวก!
ผู้อำนวยการไป่หาได้กล่าวคำใด เขาเองก็ย่อมต้องมีปัญหา รวมทั้งคู่ชีวิตและบุตร...
ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนจึงไม่อยากให้เขาเป็นผู้เกี่ยวข้อง!
ที่นี่มีอาจารย์จากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามหลายท่าน สองในนั้นกลับมาพบเห็นเรื่องราวพอดี
เมื่อพวกเขาทราบ พวกเขาจะส่งคนกลับไปยังตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามเพื่อรายงานอย่างเร่งด่วน
เมื่อได้เห็นผู้อำนวยการไป่ อาจารย์เหล่านั้นไม่กล้าพูดสิ่งใด ที่ทำเพียงแค่เร่งรีบเข้าช่วยเหลือเก๋อตง
อาจารย์ผู้นี้นามมั่วเหิง เขาเป็นชายวัยกลางคนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด พลังระดับนี้นับว่าต่ำเตี้ยในตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม นี่หมายความถึงว่าเขาไร้ซึ่งสถานะอันใดจึงต้องมาเป็นอาจารย์อยู่ที่สถาบันแห่งนี้
“เก๋อตง เกิดอะไรขึ้น?” หลังมั่วเหิงช่วยเยียวยาเก๋อตง เขาเร่งร้อนเอ่ยถาม
“รีบ... ฆ่าฉินหยุนเร็ว ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้น!” เก๋อตงฟื้นฟูอาการมาได้บ้างแล้ว ดวงตาของเขาตอนนี้เปี่ยมล้นด้วยความเกลียดชัง
ฉินหยุนอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้และกล่าว “คิดอยากฆ่าข้าหรือ? ข้าไว้ชีวิตสุนัขข้างทางเช่นเจ้า ดังนั้นที่เจ้าควรทำคือคุกเข่ากราบกรานขอบคุณต่อข้า!”
“เจ้า... เจ้า...” เก๋อตงโกรธแค้นจนแทบหายใจไม่ทัน กระทั่งอดไม่ได้จนต้องกระอักโลหิตออก เป็นเขาโกรธจนสิ้นสติ
มั่วเหิงจ้องมองฉินหยุนและกล่าว “เก๋อตงเป็นหลานชายของผู้อาวุโสตำหนักตะวันตก เจ้าไม่ต่างอะไรกับคนตาย! หากวันนี้เจ้าหนีได้ ก็ไม่มีผู้ใดที่นี่รอดพ้นจากความผิดของเจ้า!”
หลังกล่าวคำนี้จบ กลุ่มศิษย์และอาจารย์โดยรอบพลันตระหนักได้จนต้องเร่งร้อนเข้าปิดล้อม
“ฉินหยุน พวกเราไม่คิดทำอะไรเจ้า เพียงเจ้ารอที่นี่ให้คนของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามมาถึงก็พอแล้ว” อาจารย์จากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนตะโกนขึ้นเสียงดัง
“เจ้าก็รู้ว่าไม่มีทางหนีพ้นได้!”
“เจ้าควรรู้ว่าตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามน่าหวาดกลัวเพียงใด แต่แล้วเจ้ายังกล้าต่อต้าน เป็นเจ้านำเภทภัยสู่ตนเอง มันก็แค่ผังธาตุแสงไม่ใช่หรืออย่างไร? ให้พวกมันไปก็ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายปานนี้แล้ว”
อาจารย์ของสถาบันยุทธ์แต่ละคนเริ่มบ่นกันออกมา
ฉินหยุนพบว่าผู้อำนวยการไป่เองก็ส่งคนออกจากหุบเขาเพื่อรายงานเรื่องนี้ แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดกันที่เขารายงานถึง
“น้องหยุน ฆ่าเบิกทาง!” ฮั่วจงกล่าวคำขณะคว้าไม้คทาในมือไว้แน่น
“ต่อให้พวกเราต้องตาย ก็ต้องลากพวกมันให้ตายตาม!” มู่หรงต้าเหรินจ้องมองบรรดาศิษย์และอาจารย์ที่ปิดล้อม
ฉินหยุนกลับผ่อนคลาย เขาทำความสะอาดเข็มขัดมิติเก็บของก่อนส่งคืนแก่เซี่ยอู๋เฟิง
เซี่ยอู๋เฟิงไม่กล่าวคำใด ทว่าหัวใจของเขาหนักอึ้ง เขาไม่ได้กังวลถึงตนเอง แต่เป็นเพราะฉินหยุนกำลังจะถูกทำลายจนสิ้นเพราะเรื่องนี้!
“พวกท่านล้วนไม่ต้องทำอะไร ข้าเป็นคนรับผิดชอบเอง!” ฉินหยุนกล่าว “อย่าได้ห่วง ข้าต้องรอด!”
“ฝันเฟื่องนัก! ความตายของเจ้าไม่ผิดพลาดแล้ว!” มั่วเหิงแค่นเสียง เขากำลังผสานพลังภายในเข้าสู่ร่างของบรรดาศิษย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ด้วยเหตุนี้ หลังผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ออร่าทรงพลังพลันปรากฏเข้าสะกดข่ม
มั่วเหิงยินดีขณะจ้องมองฉินหยุนและกล่าวยกยิ้มชั่วร้าย “ความตายมาเยือนเจ้าแล้ว! ยอดฝีมือจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามอยู่ที่นี่ รวมทั้งผู้อาวุโสจากสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสามก็ด้วย!”
ใบหน้าของเซี่ยอู๋เฟิงเคร่งเครียดขณะกล่าวคำเสียงเบา “น้องหยุน รีบไปจากที่นี่... ข้ายังบินได้!”
ฉินหยุนส่ายหน้าและกล่าวคำ “เปล่าประโยชน์แล้วพี่ใหญ่ ให้ข้าเผชิญหน้าเอง!”
ผู้อาวุโสกว่าเจ็ดหรือแปดคน รวมทั้งชายวัยกลางคนจำนวนหนึ่งร่อนลงจากฟ้า
สองในนั้นเป็นชายชราสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงิน พวกเขาคือคนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม
ผู้อื่นเป็นสามรองอธิการบดีแห่งสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน
“อาตง!” เมื่อชายชราผมสีดอกเลาในชุดสีน้ำเงินพบเห็นเก๋อตง เขาถึงกับเร่งรีบเข้ามาพร้อมตะโกน
ชายชราผู้นี้คือปู่ของเก๋อตง นามนั้นคือเก๋อหยวนเฟย ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสของตำหนักตะวันตก!
“ท่านปู่ พลังธาตุข้าแตกสลาย...” เก๋อตงลืมตาขึ้นกล่าวคำเสียงอ่อย จากนั้น สายตาพลันเลื่อนมองโกรธแค้นฉินหยุน “เป็นมันที่ลงมือ... ท่านรีบจัดการมัน ข้าคิดอยากตัดเนื้อเถือหนังมันออกเป็นชิ้น ข้าต้องการทรมานมันที่ตำหนักตะวันตก!”
เก๋อหยวนเฟยจับจ้องฉินหยุนขณะปลดปล่อยออร่า แต่ขณะที่เขากำลังจะโจมตีนั้นเอง ชายชราร่างผอมบางผู้หนึ่งในชุดแดงพลันปรากฏต่อหน้าฉินหยุน
ถัดจากนั้น ชายชราร่างผอมสูงในชุดขาวก็มาถึงข้างกายฉินหยุน
“พวกเจ้าเป็นใคร? คิดอยากห้ามข้าหรือ?” เก๋อหยวนเฟยตะโกนด้วยโทสะ
ผู้อาวุโสร่างเตี้ยในชุดคลุมสีแดงหัวเราะกล่าวคำ “ข้าคือจ้าวฉวน ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักจารึกเทวะ สถาบันซานเสวียนคือส่วนหนึ่งของตำหนักจารึกเทวะ ข้าไม่อนุญาตให้มีการสังหารศิษย์ของที่นี่!”
ชายชราในชุดขาวยังกล่าวคำด้วยสีหน้าเย็นเยือก “ข้าคือรองอธิการฉิงเฟิงแห่งสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน!”
พวกเขาเหล่านี้ยืนหยัดเพื่อฉินหยุน บรรดาอาจารย์และศิษย์ที่รายล้อม รวมทั้งเซี่ยอู๋เฟยและคณะต่างอดไม่ได้ที่จะเผยความแตกตื่น
ทว่า พอมาคิดให้ดีแล้ว ก็นับว่าสมเหตุสมผล จ้าวฉวนคือผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักจารึกเทวะ และฉินหยุนก็คือผู้มีพรสวรรค์แห่งวิถีจารึก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาคิดเข้าปกป้อง
กระทั่งว่าไม่มีผู้ใดทราบว่าจ้าวฉวนคือใคร แต่พวกเขาล้วนได้เห็นว่าเขามั่นใจมากเพียงใด จากเรื่องนี้ ก็เพียงพอบ่งบอกแล้วว่าเขาแข็งแกร่งยิ่ง
เมื่อเก๋อหยวนเฟยได้ยินนามของตำหนักจารึกเทวะ สีหน้าโกรธขึ้งที่ใบหน้าพลันอ่อนลง
ถึงตอนนี้เอง เหลียวหนิงจากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนพลันเดินเข้ามาและกล่าวคำ “เป็นฉินหยุนก่อปัญหาอีกแล้ว เจ้าหนูนี่ก่อปัญหาได้ไม่เว้น!”
ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าวคำ “เหลียวหนิง หุบปากสุนัขของเจ้าเสีย! เจ้านายของเจ้าคงไม่ต้องการสุนัขเช่นเจ้าที่ทำได้แต่เห่าไม่อาจกัดผู้คน!”
ถัดจากนั้น เขาจึงกล่าวกับจ้าวฉวน “ผู้อาวุโส ท่านรบกวนสนทนากับผู้อำนวยการไป่ถึงเรื่องราว ด้วยวิธีการนี้น่าจะเชื่อถือได้มากขึ้นขอรับ!”