เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0108 [อ่านฟรี]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 108 : ผู้ไร้ซึ่งวิญญาณยุทธ์
การที่ศิษย์ของสถาบันซานเสวียนจะครอบครองอาวุธวิญญาณก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของ
เมื่อพวกเขาพบว่าฉินหยุนครอบครองอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของ พวกเขาล้วนเผยสายตาละโมบออกมา
ฉินหยุนเกิดความมั่นใจ ว่าหากตนพบบุคคลพวกนี้ที่ภายนอก มีโอกาสสูงนักที่เขาจะต้องโดนปล้นสะดมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“จงกลับไปเตรียมตัวกันเสีย จากนั้นพวกเราจะได้เริ่มงานกัน!” ผู้อำนวยการไป่กล่าว “ยามคิดออกจากหุบเขา ประตูหลักจะไม่เปิดให้พวกเจ้าแต่อย่างใด พวกเจ้าจำเป็นต้องปีนออกไปด้วยตนเอง!”
หุบเขาแห่งนี้รายล้อมด้วยภูเขาใหญ่มหึมา อย่างน้อยก็สูงหลายพันเมตร ทั้งยังมีความชันมหาศาล การปีนออกไปนั้นต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่เซี่ย งั้นข้าขอตัวกลับไปเอาไม้คทาก่อน รอข้าที่นี่ละ!” พอฮั่วจงกล่าวคำจบ เขาก็วิ่งราววัวคลั่งกลับไปที่บ้านหิน
ร่างของฮั่วจงใหญ่โต แต่ความเร็วนั้นหาได้ช้าไม่ โดยทันที เขากลับมาพร้อมกับไม้คทายาวสีดำ นั่นคงเป็นอาวุธของเขาแล้ว
“พี่ใหญ่เซี่ย พี่รองมู่หรง อาวุธของพวกท่านเล่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“อาวุธของข้าคือพัด!” มู่หรงต้าเหรินโบกพัดให้เห็นตรงหน้าทั้งรอยยิ้มราวกับกำลังพูดว่า ‘ข้าคือผู้สง่างาม!’
เซี่ยอู๋เฟิงตอบกลับ “ข้าไม่ต้องใช้อาวุธ พวกเราออกเดินทางก่อน จะได้ไม่ต้องร่วมทางไปกับเจ้าพวกนั้น”
หากเกิดการต่อสู้ที่ภายนอก สถาบันซานเสวียนจะไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่รู้เห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้ฉินหยุนจึงร่วมทางกับคนทั้งสี่ หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับหน่วยขนาดใหญ่ที่ภายนอก แบบนั้นคงเกิดความยากลำบากไม่ใช่น้อยแล้ว
พวกเขาติดตามเซี่ยอู๋เฟิงเพื่อปีนขึ้นเขา
เซี่ยอู๋เฟิงมองยอดเขาและเอ่ยถาม “น้องหยุนมีเชือกยาวหรือไม่? ข้าจะได้พาเจ้าบินออกไปในคราวเดียวเลย!”
“ขอรับ!”
เซี่ยอู๋เฟิงแท้จริงแล้วบินได้ ทั้งยังสามารถพาคนทั้งสามไปได้ด้วย? พละกำลังระดับนี้ออกจะน่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว มันทำเอาเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก
ฉินหยุนนำเชือกยาวกว่าสิบเมตรออกมาเส้นหนึ่งจากมิติเก็บของ เซี่ยอู๋เฟิงคว้ามันเอาไว้และกล่าว “จับไว้ให้แน่น ไปละ!”
กลุ่มคนที่เพิ่งตามมาทันตอนนี้กำลังเริ่มปีนป่ายขึ้นยอดเขา แต่อย่างกะทันหัน พวกเขาได้เห็นเซี่ยอู๋เฟิงทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมมีเชือกยาวรั้งท้าย
ฉินหยุน ฮั่วจง และมู่หรงต้าเหรินคว้าเชือกนั้นเอาไว้ติดสอยห้อยตามไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้พวกเต่าคลาน พวกเราไปก่อนละ! ระวังตัวด้วย อย่าได้เผลอหล่นลงไปเชียว ฮ่าฮ่าฮ่า!” พอมู่หรงต้าเหรินลอยขึ้นไปด้านบนจึงกล่าวเยาะเย้ยกลุ่มคน เป็นผลให้บรรดาศิษย์ที่เหลือต่างกัดฟันกรอดแน่น
ฉินหยุนสงสัยยิ่งว่าเซี่ยอู๋เฟิงบินขึ้นฟ้าได้อย่างไร เขาไม่อาจสัมผัสพลังปราณใดจากตัวเซี่ยอู๋เฟิงได้เลยด้วยซ้ำ
หากเขาต้องการบินก็ต้องใช้ก้าวอัคคีเมฆา ทว่าพลังที่ใช้ออกก็ค่อนข้างเด่นชัด แต่เซี่ยอู๋เฟิงกลับไม่ใช่ เขาบินกลางอากาศอย่างเงียบงัน ทั้งยังพาพวกเขาทั้งสามคนไปพร้อมกันได้
“พี่ใหญ่เซี่ยช่างน่าทึ่งนัก!” ฉินหยุนอดไม่ได้ที่จะลอบอุทานต่อเรื่องนี้
“เป็นเช่นนั้นแหละ!” มู่หรงต้าเหรินยิ้ม “ข้าเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน นอกจากเรื่องบินได้แล้ว ข้านับว่าไม่ห่างไกลเท่าใดนัก... น้องหยุน เจ้าเองก็ทรงพลังไม่ใช่น้อย ถึงขั้นจัดการไอ้สารเลวเชี่ยวหลางกับผู้อื่นได้”
“นั่นเป็นเรื่องในอดีตขอรับ!” ฉินหยุนเผยรอยยิ้มเก้กังกล่าว
“ไม่เลย ข้าเองก็เคยสูญเสียวิญญาณยุทธ์ไป พี่ใหญ่เซี่ยเองก็ไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังสามารถเข้าร่วมสถาบันซานเสวียน หากไม่โดนหลอกลวง เขาคงก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับเจ็ดในสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนไปเรียบร้อยแล้ว” ฮั่วจงยิ้มขณะกล่าวปลอบฉินหยุน
เซี่ยอู๋เฟิงไม่มีวิญญาณยุทธ์ในครอบครอง เรื่องนี้ทำเอาฉินหยุนตกใจไม่น้อย
มู่หรงต้าเหรินก็ยิ้มกล่าวเช่นกัน “เพราะแบบนั้นเจ้าก็ไม่ต้องแตกตื่นไปแต่อย่างใด ไว้ภายหน้าพอมีเวลา ให้พี่ใหญ่เซี่ยชี้แนะเจ้าก็ยังทัน”
ในเมื่อเป้าหมายของทุกคนคือเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ฉินหยุนจึงรวมตัวเข้ากับหน่วยของเซี่ยอู๋เฟิงได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เขายังได้รับความไว้วางใจจากเซี่ยอู๋เฟิงและคนอื่นเพราะเรื่องที่สามารถล้มเชี่ยวหลางและผู้อื่นได้
หน่วยสี่คนของพวกเขานับว่าถึงยอดเขาเร็วที่สุด ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเพิ่งปีนกันขึ้นมาได้ราวหนึ่งพันเมตรกันเท่านั้นเอง
“พวกเราต้องลงมืออย่างเต็มที่เพื่อออกล่าสัตว์ร้ายให้มากที่สุดภายในสิบวัน” เซี่ยอู๋เฟิงพอถึงยอดเขาจึงเริ่มการเคลื่อนที่ลงสู่พื้นอีกด้านของภูเขา
พวกเขาปีนผ่านแนวเขาของหุบเขามาพ้นแล้ว นับแต่นี้คืออาณาเขตป่าที่อันตรายยิ่งของเทือกเขาเมฆมังกร
ฮั่วจงเอ่ยถาม “แล้วพวกเราจะหาตัวสัตว์ร้ายพวกนั้นอย่างไรกันดี? นี่ไม่นับว่าเป็นงานที่ง่ายนัก!”
มู่หรงต้าเหรินขมวดคิ้วพยักหน้ารับ “แม้ช่วงนี้มีสัตว์ร้ายโผล่หน้ามาเยอะ แต่พวกเราคงไม่บังเอิญเจอพวกมันได้หากไปแบบไม่รู้ทิศทาง”
“เข้าไปก่อนเถอะ มาดูกันว่าพอจะหาร่องรอยที่สัตว์ร้ายหลงเหลือไว้ได้หรือไม่” เซี่ยอู๋เฟิงกล่าวขณะเร่งรีบทะยานกายออกไป
“พี่ใหญ่เซี่ยรอเดี๋ยว! ข้าสามารถหาสัตว์พวกนั้นได้!” เขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันล่าสังหารสัตว์ร้ายมาก่อน ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสถึงพวกมันได้
“จริงหรือ?” เซี่ยอู๋เฟิงดูประหลาดใจไม่น้อย “งั้นบอกต่อข้า เจ้าหามันเจอได้อย่างไร?”
ฉินหยุนหลับตาและใช้พลังจิตเพื่อสัมผัส เขากล่าวออกเสียงเบา “พลังจิตของข้าค่อนข้างพิเศษ ข้าสัมผัสถึงสัตว์ร้ายพวกนั้นได้! เพราะวิธีการนี้ข้าจึงสามารถสัมผัสถึงสัตว์ร้ายจำนวนมากระหว่างการทดสอบในสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงพร้อมเอาชนะมาได้อย่างขาดลอย”
ไม่นานนัก เขาก็สัมผัสถึงร่องรอยสัตว์ร้ายตัวหนึ่งได้ จากนั้นเขาจึงเป็นคนออกนำด้วยการใช้ก้าวอัคคีเมฆาทะยานตัวออกไป เซี่ยอู๋เฟิงและพรรคพวกก็ตามติดเขาแทบไม่ห่าง
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มเข้าใกล้สัตว์ร้ายตัวหนึ่งแล้ว
เซี่ยอู๋เฟิงกระซิบเสียงเบา “ข้าสัมผัสออร่าสัตว์ร้ายได้แล้ว ข้าจะเข้าไปก่อน น้องหยุนยังมีปัญหาเรื่องวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วง อย่าเพิ่งสู้น่าจะดีกว่า”
กล่าวจบคำ เขาก็หายตัวไปพร้อมเสียงลมดัง ‘ฟุ่บ!’
ฉินหยุนถึงกับไม่สามารถตามรอยเซี่ยอู๋เฟิงได้ ความเร็วนี้รวดเร็วจนเกินไปแล้ว! ในบรรดาวิชาตัวเบาที่เขาพบเจอมา ที่แข็งแกร่งที่สุดสมควรต้องยกให้เซี่ยอู๋เฟิง
ฮูม!
เสียงคำรามดังมาจากตรงหน้า!
ฮั่วจงกำลังถือไม้คทายาวในมือแน่น เขากำลังบริกรรมอะไรสักอย่างไปยังทิศทางที่เสียงร้องคำรามปรากฏ
มู่หรงต้าเหรินยิ้ม “อย่างที่เป็นตอนนี้นับว่าดีเยี่ยม หากเป็นแบบนี้ดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ อันดับหนึ่งย่อมตกแก่พวกเรา! มาดูกันว่าไอ้พวกหน่วยขยะไร้ค่าพวกนั้นจะกล้ามาล้อพวกเราเล่นอีกหรือไม่! ที่เป็นแบบนี้ได้ต้องขอบคุณน้องหยุนแล้ว!”
“พี่รองมู่หรงไม่เข้าร่วมต่อสู้หรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ให้พี่ใหญ่เซี่ยกับน้องฮั่วจัดการก็พอแล้ว ข้าน้อยครั้งจะเคลื่อนไหวเอง นอกจากนี้หากข้าเข้าร่วม ใครกันจะปกป้องเจ้า?” มู่หรงต้าเหรินยิ้มกว้างให้เห็น
ฉินหยุนถึงกับต้องเม้มริมฝีปากด้วยความเหยียดหยัน
มู่หรงต้าเหรินเป็นคนที่พูดเยอะ ทั้งยังชอบอวดโอ่ถึงความแข็งแกร่งตนเอง แต่แล้วตอนนี้ ในเวลาที่สมควรแสดงฝีมือ เขากลับเอาแต่พูดคุยหยอกล้ออยู่เช่นนี้
“เรียบร้อย!” ฮั่วจงตะโกนลั่นด้วยความตื่นเต้นยินดี เขานำร่างหมาป่าสีดำตัวใหญ่กลับมาพร้อมยิ้มกล่าว “น้องหยุนช่างยอดเยี่ยม ถึงกับสามารถสัมผัสสัตว์ร้ายพวกนั้น จมูกของเจ้าดียิ่งกว่าสุนัขไม่รู้กี่เท่า!”
อีกฝ่ายปัจจุบันอายุสิบเก้าปี และก้าวถึงของเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกแล้ว ทั้งยังอยู่ที่นี่มานานถึงสี่ปี เพราะเขาไม่อาจเข้าสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน เขาจึงต้องติดแหงกอยู่ที่นี่
ไม่ช้าฮั่วจงก็วางหมาป่าร่างใหญ่กับพื้น ร่างของมันถูกจัดการมาเป็นอย่างดี มองเพียงครั้งเดียว เขาก็บอกได้ว่าเป็นไม้คทานั่นโจมตีเข้าใส่อย่างแน่นอน
ฉินหยุนเก็บร่างนั้นเข้ามิติเก็บของและยิ้มพูดขึ้น “พี่ชายก็ทรงพลังยิ่งนัก กับสัตว์ร้ายระดับที่หก ถึงขั้นสามารถจัดการได้ในคราเดียว”
“แน่นอนว่า พละกำลังของหน่วยเราเหนือล้ำผู้อื่นนัก!” มู่หรงต้าเหรินยิ้มรับ
หลังเก็บร่างสัตว์ปีศาจเรียบร้อย ฉินหยุนจึงพูดขึ้น “ข้าจะเริ่มสัมผัสถึงพวกมันต่อไป ตราบเท่าที่สัตว์ร้ายพวกนี้ไม่ได้อยู่ห่างจากข้ามากเกินไป ข้าก็ยังสามารถสัมผัสถึงพวกมันได้”
เพียงไม่นาน สัมผัสของสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เป็นเขาออกนำหน้าเซี่ยอู๋เฟิงและผู้อื่นเช่นเดิม
พวกเขาทั้งสี่ตื่นเต้นยินดีกันไม่น้อยขณะวิ่งออกไป ตอนนี้พวกเขาได้รับความมั่นใจแล้วว่าสามารถเหนือล้ำกว่าหน่วยอื่นที่เข้าร่วมได้!