เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0105 [อ่านฟรี]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 105 : สถาบันซานเสวียน
ฉินหยุนรู้สึกได้ ว่าอัคคีสีขาวภายในมือไม่มีความร้อน ทว่า มันกลับเป็นไปตามที่เขาคิด เปลวเพลิงสามารถร้อนหรือเย็นได้เพียงสมองของเขาคิด เพียงเท่านี้ก็เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว
“ท่านปู่ต้วน ท่านทราบได้อย่างไรกัน?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่าเมื่อใดที่วิญญาณยุทธ์ไฟแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่มันจะใช้กำลังภายใน แต่ยังต้องการใช้พลังจิตด้วย!”
“ชัดเจนว่าวิญญาณยุทธ์ไฟของเจ้าเข้าถึงระดับดังกล่าว ดังนั้นต่อให้เจ้าหลับ พลังจิตวิญญาณของเจ้าก็ยังคงตื่นอยู่และปล่อยอัคคีเพลิงออกมาได้ แต่ตอนนี้มันยังไม่ได้ก่อตัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นเจ้าคงต้องพยายามให้หนักขึ้นแล้ว” ต้วนเฉียนอธิบายให้ฟัง
วิญญาณยุทธ์ไฟของฉินหยุนไม่ได้ถูกทำลายเพราะอุกกาบาตอัคคี กลับกัน มันเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น แต่ตอนนี้มันยังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ มันไม่ได้หายตายจากไปอย่างที่อาจารย์เว่ยและคณะคาดหวังให้เป็น
“อาจารย์เว่ยและสหายคงต้องผิดหวังกันแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“นี่ก็นับเป็นเรื่องดี! พรสวรรค์ของเจ้าที่แสดงให้เห็นจนถึงตอนนี้เจิดจรัสเกินไป เป็นผลให้หลายคนล้วนริษยาคิดอยากทำลายเจ้า ยังไม่ต้องกล่าวถึงทางด้านจักรพรรดินีและคณะ ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นคิดว่าวิญญาณยุทธ์เจ้าตายจากไปแล้ว พวกเขาจะยิ่งเกิดความสบายใจ ทั้งยังลดความหวาดระแวงต่อเจ้าลง”
ต้วนเฉียนปาดเช็ดเหงื่อของตนเช่นกัน เขาวางถ้วยชาลงและเผยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ก็อย่าได้หย่อนความระวังเพราะเรื่องนี้ จักรพรรดินีและคนของนางคือผู้ที่คิดทำลายเจ้าให้สิ้นซาก!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้ตอนเขาเดินทางออกจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ก็เพิ่งเผชิญหน้ากับมือสังหารขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้ามาหมาด ๆ
“ก็นับว่าเป็นการล้มเหลวบังหน้าที่ดี!” ต้วนเฉียนหัวเราะกล่าว
“ขอรับ ข้าเห็นด้วย โชคดีที่ฉากหน้าล้มเหลว ไม่เช่นนั้นความพยายามหลายปีของข้าคงสูญเปล่าแล้วขอรับ” ฉินหยุนยิ้มรับคำ “หลังจากนี้ ข้าจะได้เข้าร่วมสถาบันซานเสวียนอย่างสงบได้แล้วขอรับ”
อันที่จริง ต่อให้เขาไม่มีวิญญาณยุทธ์ไฟ เขาก็ยังคงมีวิญญาณยุทธ์สั่นไหวที่ทรงพลังอำนาจกว่าให้ใช้งาน
“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปยังสถาบันซานเสวียนก็แล้วกัน” ต้วนเฉียนกล่าว “วันนี้จงพักผ่อนให้เพียงพอ!” จากนั้นจึงค่อยออกจากห้องไป
* * *
แม้เป็นช่วงกลางดึก แต่สายสืบและผู้ส่งสารจำนวนมากต่างวุ่นวาย พวกเขากำลังส่งต่อข่าวคราวที่วิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงของฉินหยุนแตกสลาย
ในพระราชวังหลวง
จักรพรรดินีกล่าวทั้งหัวเราะออกจากใจ “ฉินหยุนช่างโลภมากนัก ได้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงยังไม่พอใจในพละกำลังที่ได้ ดันคิดฝืนผสานรวมจนทำให้วิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงแตกสลาย นี่คงเป็นเจตนาแห่งสวรรค์แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ท่านจักรพรรดินีที่นับถือ กระหม่อมเพิ่งได้รับข่าวคราวมาว่า องค์ชายรัชทายาทได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา ใบหน้านั้นเปี่ยมด้วยความยินดีขณะรายงาน
เรื่องนี้ยิ่งทำให้จักรพรรดินีหัวเราะสุขใจหนักขึ้นยิ่งกว่า!
* * *
เช้าตรู่ ฉินหยุนและต้วนเฉียนออกจากตำหนักจารึกเทวะด้วยรถม้า
แม้ยังเป็นช่วงเช้าตรู่ แต่เขาก็ยังได้ยินผู้คนในเมืองตลอดทางล้วนคุยกันถึงเรื่องที่วิญญาณยุทธ์ของเขาแตกสลาย
ข่าวคราวที่ฉินเจิ้งเฟิงได้รับเป็นศิษย์โดยผู้อาวุโสตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามก็เข้าถึงหูของเขาเช่นกัน
“ฉินเจิ้งเฟิงเข้าร่วมตำหนักทิศใต้” ต้วนเฉียนกล่าว “ตำหนักทิศใต้และราชวงศ์เทียนฉินค่อนข้างสนิทกันไม่น้อย”
ฉินหยุนเอ่ยขึ้น “หากตำหนักทิศใต้และจักรพรรดินีมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน มันก็จะกลายเป็นเชือกให้แก่จักรวรรดิเทียนฉิน ในอนาคตพวกเขาต้องก่อการอะไรน่าสงสัยแน่”
ต้วนเฉียนแค่นเสียง “สมควรเป็นเช่นนั้น เพราะแบบนั้นสุนัขขี้แพ้อย่างตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามจึงตกต่ำเพราะมีความอหังการมากจนเกินไป ตอนนี้พวกเขาอยู่ชายขอบของวิถียุทธ์แห่งเต๋าด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ยังทำตัวไม่ยอมลดหน้าที่เชิดอยู่ลงแม้สักนิด”
ฉินหยุนพบว่าต้วนเฉียนคล้ายทราบเรื่องตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามไม่ใช่น้อย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านปู่ต้วน ดูเหมือนตำหนักจารึกเทวะไม่ได้หวั่นเกรงตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามแม้เพียงนิด! ข้าพบเห็นเรื่องนี้จากท่าทีของอาจารย์จารึกที่รวมตัวกันในตำหนักจารึกเทวะ ท่านพอจะบอกเล่าเรื่องราวของตำหนักจารึกเทวะแก่ข้าได้หรือไม่ขอรับ?”
ต้วนเฉียนพลันหัวเราะ “เจ้าผ่านการทดสอบของตำหนักจารึก เพียงหมายความถึงเจ้าเป็นอาจารย์จารึก ไม่ใช่คนของตำหนักจารึกเทวะเรา! ข้าไม่อาจบอกต่อเจ้าเรื่องของตำหนักจารึกเทวะได้มากนัก ข้าคงบอกได้เพียงว่าตำหนักจารึกเทวะมีความยิ่งใหญ่ในแดนยุทธ์อ้างว้าง มันไม่ใช่อะไรที่สำนักเล็กจ้อยอย่างตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามสามารถเทียบเปรียบได้”
ตำหนักจารึกเทวะถึงกับถูกสร้างขึ้นโดยคนผู้หนึ่งจากแดนยุทธ์อ้างว้าง เรื่องนี้ทำเอาฉินหยุนประหลาดใจไม่ใช่น้อย
ต้วนเฉียนกล่าวต่อ “ครั้งตำหนักจารึกเทวะของเราสร้างสถาบันยุทธ์พร้อมคนกลุ่มนั้น พวกเรารับหน้าที่ในเรื่องราวส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสถาบันยุทธ์ซานเสวียน”
ฉินหยุนพยักหน้ารับและเอ่ยถาม “แบบนั้นแล้วตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามไม่ยิ่งใหญ่กว่าหรือขอรับ? หลายผู้คนต่างคิดอยากเข้าร่วมตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามกันทั้งนั้น”
ต้วนเฉียนถอนหายใจ “ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามดีจริงดังที่ว่า... ปัจจุบันนี้ มีเพียงตำหนักตะวันออกที่เรียกได้ว่ายังมีความเหมาะสม หากเจ้าคิดอยากไป เช่นนั้นจงเข้าร่วมตำหนักตะวันออก! กล่าวกันว่าคนของตำหนักตะวันออกรับหน้าที่ในสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน คงดีกว่าหากเจ้าเข้าร่วมกับสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินหยุนได้รับคำแนะนำให้เข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ก่อนหน้านี้ ทั้งหยางฉีเย่ว์และเชี่ยวเย่ว์หลาน ทั้งสองต่างแนะนำให้เขาเข้าร่วมกับสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน
หลังรถม้าพ้นจากเขตเมือง มันจึงยิ่งทวีความรวดเร็วมากขึ้น เพียงไม่นานมันก็ถึงแม่น้ำเมฆมังกรก่อนจะวิ่งลัดแม่น้ำไป
หนึ่งในปลายทางของแม่น้ำเมฆมังกร คือทางเข้าเทือกเขาเมฆมังกร
หลังรถม้าวิ่งอยู่ราวสองวัน ในที่สุดก็ออกพ้นจากชายแดนของจักรวรรดิเทียนฉิน
“เทือกเขาเมฆมังกรใหญ่มหาศาล มันเชื่อมต่อกับหลายอาณาจักร...” ฉินหยุนถอนหายใจขณะมองผ่านหน้าต่างออกไป
“เป็นเช่นนั้น นี่ยังนับเป็นปราการธรรมชาติที่แบ่งพื้นที่ขนาดเล็กออกจากกันด้วย” ต้วนเฉียนกล่าว “มีเพียงก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจึงสามารถผ่านเทือกเขาเมฆมังกร โดยปกติแล้วผู้ที่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจะคิดอยากออกสู่ภายนอก ดังนั้นที่ภูมิภาคแถบนี้จึงมีผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าอยู่น้อยนัก”
ฉินหยุนนึกถึงท่านทวดของตนเองที่กำลังบุกเข้าสำรวจเทือกเขาเมฆมังกร
ต้วนเฉียนกล่าวขึ้น “สถาบันซานเสวียน ตั้งอยู่ในเทือกเขาเมฆมังกร ผู้ที่สามารถเข้าร่วมต้องอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก หากไม่อาจก้าวสู่ระดับที่เจ็ดได้ภายในอายุยี่สิบห้า หรือไม่ถูกเลือกโดยสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องไปจากสถาบันยุทธ์ซานเสวียน”
“มีผู้คนไม่สามารถผ่านการทดสอบจำนวนมากหรือขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่างานชุมนุมวีรชนครั้งก่อนมีคนผ่านไปเพียงหยิบมือหรือขอรับ?”
ต้วนเฉียนกล่าว “งานชุมนุมวีรชนเป็นเพียงแค่หนึ่งในการทดสอบที่นำไปสู่สถาบันยุทธ์ระดับเสวียน ทุกคนจะมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมวีรชน หากเจ้าพลาดในรอบแรก ก็ยังสามารถผ่านการทดสอบทางอื่นได้”
“แต่ว่า หลังจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามปรากฏตัวขึ้น งานชุมนุมวีรชนจึงถูกยกเลิก เพราะเนื้อหาหลักของการทดสอบงานชุมนุมวีรชนง่ายจนเกินไป”
“พวกคนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม คิดทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องการศิษย์จำนวนมากให้เข้าร่วมหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามกับตนเอง
รถม้าตอนนี้เข้าสู่เทือกเขาเมฆมังกรขณะเข้าใกล้ภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ต้วนเฉียนลงจากรถม้าพร้อมพาฉินหยุนพุ่งขึ้นผ่านอากาศ
“นี่คือช่วงสุดท้ายของการเดินทางแล้ว” ต้วนเฉียนกล่าว “ที่นี่ค่อนข้างมีอันตรายไม่น้อย โดยปกติแล้วไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้ที่นี่นัก”
พวกเขาวิ่งผ่านอากาศกว่าชั่วโมงก่อนถึงบริเวณเชิงเขาลูกใหญ่ยักษ์ ตรงนี้มีถ้ำขนาดใหญ่เป็นทางเข้า ทั้งยังมีประตูปิดเอาไว้แน่นหนา
ต้วนเฉียนใช้กุญแจทองคำเปิดประตูออก พร้อมกันนี้ ชายชราในชุดขาวคนหนึ่งจึงเดินออกจากประตูมารับหน้าพวกเขา