ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0105 [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0107 [อ่านฟรี]

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0106 [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ จอมเวทอหังการ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 106 : ศิษย์พี่

“ฉินหยุนจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง!” ต้วนเฉียนส่งจดหมายให้แก่ชายชรา

“เข้ามา!” ชายชราพยักหน้ารับและกล่าวกับฉินหยุน

ต้วนเฉียนนำมือวางที่ไหล่ของฉินหยุน “พยายามเข้า เจ้าจะต้องได้เข้าร่วมสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนอย่างแน่นอน!”

ฉินหยุนก้าวเดินเข้าถ้ำพร้อมกล่าวลาต้วนเฉียน

เหตุผลที่เขาอยากเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนก็เพื่อเสริมกำลังแก่ตน ตราบเท่าที่เขาพยายามอย่างหนัก เขาจะสามารถได้รับเคล็ดวิชาและเม็ดยา รวมทั้งยังจะได้รับประสบการณ์อีกมากมาย

หลังแยกจากต้วนเฉียน ฉินหยุนเดินตามชายชราในชุดขาวเข้าสู่ด้านในถ้ำ

หลังเดินผ่านพ้นถ้ำ พวกเขาตอนนี้อยู่บริเวณหุบเขา

สภาพแวดล้อมในหุบเขาไม่แย่นัก มันถูกล้อมเอาไว้ด้วยภูเขาขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งสิ้น

บ้านไม้และบ้านหินหลายหลังพบเห็นแก่สายตา นั่นคือสถานที่ซึ่งบรรดาศิษย์ใช้อยู่อาศัย ตรงกลางของหุบเขาคือพื้นที่สำหรับฝึกวิชายุทธ์ขนาดใหญ่

สถาบันซานเสวียนมีศิษย์ไม่มากนัก มีราวหนึ่งหรือสองร้อยคนที่อยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก

ระหว่างทาง ชายชรากล่าวถาม “ฉินหยุน สำนักใดที่เจ้าคิดเข้าร่วม? การตัดสินใจของเจ้าจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตระหว่างที่อยู่ในสถาบันซานเสวียน

ฉินหยุนตัดสินใจได้แต่แรกแล้ว เขาตอบไปโดยทันที “สถาบันยุทธ์ชิงเสวียน!”

เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนถึงตัดสินใจเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่มด้วยซ้ำ

ชายชรากล่าวต่อ “สถาบันซานเสวียนล้วนมีโอกาสอยู่มากมาย ในภายหน้า บรรดาศิษย์จะแบ่งออกเป็นหน่วย หากพวกเขาผ่านด่านไปได้ หน่วยนั้นก็จะเข้าร่วมกับสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน และสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนที่เจ้าเลือกถือว่ามีคนจำนวนเพียงน้อยนิด นอกจากสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนแล้ว ยังมีสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนอยู่อีกสอง รวมทั้งตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามทิศใต้และทิศตะวันตก พวกเขาจะจัดแจงผู้คนส่วนหนึ่งมาที่นี่เพื่อชี้แนะบรรดาศิษย์ที่คิดอยากเข้าร่วมกับพวกเขา”

ฉินหยุนทราบแล้ว ว่าการมาถึงของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง กฎหลายอย่างของสถาบันซานเสวียนถึงกับแปรเปลี่ยนไปมาก

เหตุผลว่าทำไมชายชราถึงบอกต่อเขาถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็เพื่อต้องการให้เขาพิจารณาให้ดี

“ปัจจุบัน ศิษย์ที่คิดเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนมีกี่คนกันหรือขอรับ?” ฉินหยุนหาได้หวั่นเกรงการอยู่คนเดียวไม่ เพราะครั้งสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเขาก็อยู่แต่เพียงผู้เดียว

ใบหน้าของชายชราหนักแน่นขณะกล่าว “สามคน รวมเจ้าแล้ว ก็มีสี่คน! เมื่อถึงเวลา นอกเหนือจากพวกเจ้าสี่คนแล้ว ที่เหลือจะมีอาจารย์คอยชี้แนะ ทว่าพวกเจ้าสี่คนล้วนไม่มี ดังนั้นแล้วเมื่อเกิดการแข่งขัน มันอาจทำให้เกิดช่องว่างมหาศาลระหว่างเจ้าและพวกเขา”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ขอรับ ข้าตัดสินใจเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน”

สำหรับเขาแล้ว การมีคนเพียงสามร่วมทางไปด้วยนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดียิ่ง

เขาคาดหวังว่าจะได้ผูกมิตรกับพวกเขาเหล่านั้น และในเมื่อพวกเขาทั้งสามต่างเลือกสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน พวกเขาก็น่าจะมีความคิดอะไรที่คล้ายกันบ้าง

ชายชราพบว่าฉินหยุนแน่วแน่ ดังนั้นจึงไม่กล่าวอื่นใดต่อเพิ่มอีก เขาเร่งรีบนำเอาตรายืนยันตัวตนออกมาและส่งมอบแก่เขาก่อนนำไปยังบ้านหินหลังใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของหุบเขา

“นับจากนี้ที่นี่คือบ้านพักของเจ้า! เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง เจ้าต้องไปรวมตัวที่ลานฝึกฝนวิชายุทธ์ตรงกลางของหุบเขาโดยทันที” ชายชราชี้มือไปยังบ้านหินและกล่าว “เข้าไปและเลือกห้องของเจ้า ทำความคุ้นเคยกับสามคนที่อยู่ด้านในด้วย”

หุบเขาแห่งนี้ประกอบด้วยภูเขาใหญ่รายล้อมเอาไว้ มันจึงเป็นปราการธรรมชาติอย่างหนึ่ง มีเพียงถ้ำแห่งนั้นที่เป็นทางเข้าออก ดังนั้นจึงนับว่าที่นี่ปลอดภัยจากสัตว์ปีศาจบินได้ฝูงใหญ่ที่อาจเข้าโจมตีจากทุกทิศทาง

หลังฉินหยุนเข้ามา เขาพบชายร่างสูง ผอม และหล่อเหลาอยู่ในโถงหลัก

ชายผู้นี้อายุราวยี่สิบปี สวมใส่ชุดสีขาวเรียบง่าย ทั้งยังผมสั้นและใบหน้าที่เอาการเอางาน ดวงตานั้นค่อนข้างลึกและคมกล้า

เมื่อเขามองไป เขารู้สึกได้ถึงความคมกล้าราวแสงของดาบทิ่มแทงเข้ามา

“เจ้าคือศิษย์ใหม่หรือ?” ชายในชุดขาวเอ่ยถามขณะสำรวจมองฉินหยุน

“ขอรับ ข้านามฉินหยุน ศิษย์พี่โปรดชี้แนะด้วย!” ฉินหยุนกำหมัดประสานกับอีกมือและกล่าวคำ

“นามข้าคือเซี่ยอู๋เฟิง!” แม้บรรยากาศรอบกายชายในชุดขาวจะอหังการ แต่น้ำเสียงนี้สุภาพไม่ใช่น้อย

ถึงตอนนี้ ชายหัวล้านคนหนึ่งพลันเดินออกมา เขาสวมใส่ชุดป่านหยาบกร้านทั้งยังมีรอยยิ้มจริงใจฉายชัดที่ใบหน้า เมื่อเขาเห็นฉินหยุน เขาจึงยิ้มกล่าวคำ “เจ้า! เด็กใหม่หรือ อ่อนเยาว์นัก ข้าชื่อฮั่วจง ยินดีแล้ว ยินดีแล้ว”

“ฉินหยุนขอรับ!” ฉินหยุนยิ้มกล่าวอย่างมีมารยาท

ประตูอีกห้องหนึ่งพลันเปิดออก ชายหล่อเหลาเส้นผมยาวสง่าพลันก้าวเดินออก อีกฝ่ายสวมใส่ชุดหรูหราสีน้ำเงิน ทั้งยังมีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ประดับใบหน้า เขาถือพัดคลี่ออกในมือและถือมันด้วยท่วงท่าของชนชั้นสูง

“ฉินหยุนหรือ? ข้าได้ยินชื่อนี้มาก่อน ศิษย์น้องช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ข้ามู่หรงต้าเหริน นับจากนี้ให้ข้าปกป้องเจ้าแล้วกัน หากมีผู้ใดกล้ารังแกเจ้า จงเอ่ยนามข้า!”

*ผู้แปล : ต้าเหริน ในชื่อของมู่หรงเป็นคำพ้องเสียงกับ ต้าเหรินที่ใช้เป็นคำยกย่องบุคคล เอาไว้เรียกผู้ที่นับถือหรือผู้ที่ยิ่งใหญ่*

“ผู้ยิ่งใหญ่มู่หรง?” ฉินหยุนเอ่ยคำเสียงเบา

“ต้าเหรินต่างหาก ต้าเหริน!” มู่หรงต้าเหรินหัวเราะกล่าว

ฉินหยุนแอบดูถูกนามนี้ หากเขาเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อแรก คงเป็นเรื่องฝืนใจเกินจะกล่าวแล้ว เขาจึงเลือกยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่มู่หรง หากท่านมีน้องชาย น้องชายของท่านไม่ใช่มู่หรงต้าอี้หรือ?”

*ผู้แปล : ต้าอี้ หมายความถึง ผู้เที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่*

มู่หรงต้าเหรินหัวเราะเสียงดัง “นี่เจ้าทราบได้อย่างไรกัน? ข้านั้นมีน้องชาย และนามว่ามู่หรงต้าอี้จริง ทว่าเขาเสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว!”

เมื่อกล่าวถึงความตายของน้องชาย เขากลับยิ้มกล่าวด้วยความยินดี ทั้งสองคงต้องมีความขัดแย้งกันมหาศาลแล้ว

“ฉินหยุน นี่เจ้าไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในสถาบันซานเสวียนหรือ? ท่าทีของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนต่อการคัดเลือกศิษย์มักจะเป็น ‘พวกเขาต้องการหรือ พวกเราล้วนไม่ต้องการ พวกเราหาได้สนใจไม่’” มู่หรงต้าเหรินเอ่ยถามขณะรินน้ำชาให้ฉินหยุน

ฮั่วจงและเซี่ยอู๋เฟิงต่างสงสัยว่าเพราะอะไรฉินหยุนถึงอยากเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน

ฉินหยุนจึงตอบ “ก่อนข้ามาที่นี่ ข้าก็ตัดสินใจแต่แรกแล้วที่จะเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็อยากเลือกเส้นทางนี้”

ฮั่วจงถอนหายใจกล่าว “ยินดีแล้ว ยินดีแล้ว สี่ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้ สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนไม่เคยเห็นข้าในสายตามาก่อนเลย ข้าอยู่ที่นี่มาทั้งสิ้นสามปีและยังไม่ผ่านการทดสอบ เหตุผลว่าทำไมข้าถึงอยากเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนก็เพราะไม่อยากยอมรับเงื่อนไขกดขี่จำนวนมากเหล่านั้น”

มู่หรงต้าเหรินหัวเราะกล่าวเสียงดัง “อย่าได้ห่วงไป พวกเราย่อมได้เข้าในวันใดวันหนึ่ง! หากไม่ใช่ความจริงที่ตอนแรกเข้าพวกเราโดนกลลวง พวกเราคงเข้าสู่สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

จากออร่าที่เขาสัมผัสได้จากเซี่ยอู๋เฟิง เขาทราบว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่ง ฮั่วจงและมู่หรงต้าเหรินต่างก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พวกเขาเหล่านี้กลับยังไม่อาจเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนได้

เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “กลลวงหรือขอรับ? พวกท่านโดนโกง?”

มู่หรงต้าเหรินเผยใบหน้าเปี่ยมด้วยโทสะขณะก่นด่า “เป็นเพราะไอ้สถาบันยุทธ์เทียนเสวียนกับหลิงเสวียนที่สารเลว!”

“ก่อนหน้างานชุมนุมวีรชน พวกเขาล่อลวงพวกเราให้เข้าร่วมสถาบันยุทธ์ของพวกเขา แต่ในภายหลัง พวกเราได้ผ่านการทดสอบเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมวีรชน พวกเขากลับกล่าวออกมาว่าพวกเราจำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขบางอย่าง ในตอนนั้นพวกเราปฏิเสธออกไปโดยทันที ภายหลัง เมื่อพวกเราคิดอยากเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน พวกเราจึงค่อยทราบว่าที่ปฏิเสธออกไปเป็นเรื่องราวผิดพลาด และพวกเขาจึงต้องการให้พวกเราไปร่วมการทดสอบอย่างอื่นที่เลวร้ายแทน”

ต้วนเฉียนกล่าวก่อนหน้าว่า หลังเข้าร่วมสถาบันซานเสวียน คนผู้หนึ่งจะมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมวีรชน หากพวกเขาพลาดโอกาส มันจะกลายเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วมการทดสอบในภายหน้า

ฮั่วจงเกาศีรษะล้านเลี่ยนและกล่าวกับฉินหยุน “ตอนนี้ไม่มีงานชุมนุมให้เข้าร่วมแล้ว ดังนั้นเจ้าคงต้องฝึกหนักเช่นพวกเราไปก่อนแล้ว”

มู่หรงต้าเหรินโกรธไม่ใช่น้อย ทั้งยังสบถออกมาไม่หยุด “ไอ้พวกสารเลวเทียนเสวียนกับหลิงเสวียน... หากข้าเจอพวกมันที่หลอกลวงข้า ข้าสาบานจะหักกระดูกพวกมันออกเป็นชิ้น!”

ฉินหยุนนึกถึงเมิ่งเฟยหลิงและชี่เม่ยเหลียน ทั้งสองต่างเลือกเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนตั้งแต่แรก ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างลื่นไหล

เขาหันมองทางเซี่ยอู๋เฟิง มีเพียงแต่เขาที่ดื่มชาอย่างสงบ แม้โดนหลอกหลวง เขากลับไม่มีทีท่าโกรธแค้นอันใดแม้แต่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด