ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0097
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0099

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0098


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ จอมเวทอหังการ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 98 : การแข่งขันแปรธาตุ

ผังวิญญาณที่จำเป็นต่อค่ายอาคมรวบรวมน้ำ ทั้งหมดล้วนเป็นผังวิญญาณพื้นฐาน การได้รับพวกมันไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นฉินหยุนจึงค่อนข้างเชี่ยวชาญผังวิญญาณนี้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว

เขาเคยติดตั้งค่ายอาคมขนาดใหญ่อย่างค่ายอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันมาก่อน ดังนั้นแค่ค่ายอาคมรวบรวมน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาแต่อย่างใด ไม่นานเขาก็ติดตั้งมันสำเร็จได้แล้ว

หลังแกะสลักผังวิญญาณบนหนังสัตว์ ฉินหยุนเพียงแค่วางเหรียญผลึกหรือเหรียญม่วงลงไปเพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายอาคมก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้น

จากด้านข้าง ต้วนเฉียนรับชมทั้งยังลอบประหลาดใจ นี่เป็นเพราะฉินหยุนทำได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังดูเชี่ยวชาญการวาดผังวิญญาณไม่ใช่น้อย เช่นกัน การแกะสลักก็เป็นไปได้อย่างดียิ่ง

เขาพยักหน้ารับเอ่ยชม “ค่ายอาคมรวบรวมน้ำ ทำได้ดี!”

ฉินหยุนเริ่มการทำงานของค่ายอาคม ไม่ช้า จิตวิญญาณน้ำที่โปร่งแสงและเป็นประกายจึงเริ่มหยดลงบนอ่างไม้ตรงกลางห้อง

“เจ้าผ่านการรับรองเป็นอาจารย์จารึกแล้ว ข้าจะมอบเหรียญตราอาจารย์จารึกระดับต้นแก่เจ้าเดี๋ยวนี้เลย!” ต้วนเฉียนหัวเราะยินดี “เจ้านับเป็นอาจารย์จารึกอายุน้อยที่สุดเท่าที่ตำหนักเราเคยพบเจอแล้ว!”

ฉินหยุนเพียงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด

ต้วนเฉียนนำเอาตราสัญลักษณ์ออกมาพร้อมสลักชื่อฉินหยุนไว้ คล้ายเขาก็ยินดีกับเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นกัน!

อาจารย์จารึกอายุเพียงสิบห้าปี กระทั่งในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ก็ไม่เคยปรากฏบุคคลเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเพียงแค่ตำหนักจารึกเทวะ

เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มสงบที่ใบหน้าฉินหยุน เขาก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้

หลังความลำบากยากแค้นห้าปี ไม่เพียงแต่เป็นองค์ชายรัชทายาทที่พิการซึ่งสามารถก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก แต่ยังได้เป็นอาจารย์จารึก พรสวรรค์เช่นนี้คงมีแต่เชี่ยวเย่ว์หลานแล้วที่สามารถเทียบเคียงได้

“ฉินหยุน ในอีกสองวัน ตำหนักจารึกเทวะของเราจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันแปรธาตุ เจ้าควรเข้าร่วมนะ!” ต้วนเฉียนแกะสลักป้ายชื่อเรียบร้อยพร้อมส่งให้ฉินหยุนประทับตราเลือดเป็นการยืนยันตัวตน

ฉินหยุนเอ่ยถามขณะหยดเลือดลงไป “การแข่งขันแปรธาตุหรือขอรับ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

ต้วนเฉียนหัวเราะ “เจ้าก็คงไม่ทราบแหละ แต่ในหมู่อาจารย์จารึก สิ่งนี้นับว่าเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียงไม่น้อย เมื่อเวลามาถึง บรรดาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจะเข้าร่วม ดังนั้นเจ้าก็ต้องเข้าร่วมให้ได้ละ”

“แล้วการแข่งขันหลักคืออะไรขอรับ?” ใจฉินหยุนเริ่มสั่นไหวขณะเอ่ยถาม

“การหลอม... เป็นการหลอมเหล็กพื้นฐานให้กลายเป็นเหล็กวิญญาณ หากเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง คุณภาพของเหล็กวิญญาณก็จะยิ่งดีมากขึ้น” ต้วนเฉียนอธิบาย “อาจารย์เว่ยก็เป็นผู้ชนะเลิศมาแล้วสองครั้งในสายการแข่ง”

“อาจารย์เว่ยก็เข้าร่วมด้วย?” ดวงตาฉินหยุนเบิกออกกว้าง แม้อาจารย์เว่ยเป็นคนโหดเหี้ยมชั่วช้า แต่อีกฝ่ายก็มีฝีไม้ลายมือการหลอมอุปกรณ์ของจริง หาไม่แล้วคงไม่มีผู้คนมากมายนับหน้าถือตาเขาพร้อมติดสอยห้อยตามมากมายเพียงนั้น

ต้วนเฉียนพยักหน้า “มีเพียงอาจารย์จารึกที่เข้าร่วมได้ เจ้าก็เป็นอาจารย์จารึกแล้ว ดังนั้นจงเข้าร่วมเสีย นี่เป็นหนึ่งในการนัดพบครั้งใหญ่ของตำหนักจารึกเทวะ อาจารย์เว่ยมีชื่อเสียงได้ก็เพราะได้รับอันดับหนึ่งมาสองสมัย”

ฉินหยุนพยักหน้ารับเล็กน้อย หากเป็นการแข่งขันประลองยุทธ์หรืออะไรแบบนั้น คนที่เข้าร่วมก็ต้องอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าหรือไม่ก็หก แบบนั้นเขายังมีความมั่นใจ

แต่ถึงกับมีคนอย่างอาจารย์เว่ยเข้าร่วมการแข่งขันแปรธาตุ เขาไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าใดนัก

เมื่อเห็นฉินหยุนขาดความมั่นใจ ต้วนเฉียนจึงยิ้มให้ “ก็แค่การหลอมเหล็กวิญญาณ! เจ้านั้นไม่แย่กว่าผู้อื่นหรอก!”

ฉินหยุนมีพื้นฐานการหลอมค่อนข้างดี แต่ว่า เขาไม่เคยนำตนเองไปเทียบเปรียบกับผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าตนเองทำได้ดีระดับใด

“อืม หลังการแข่งขัน เราน่าจะได้รู้รายละเอียดและเข้าใจอาจารย์จารึกคนอื่นมากขึ้น” ฉินหยุนพยักหน้า

* * *

สองวันถัดมา ฉินหยุนฝึกฝนหลอมเหล็กวิญญาณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในกระบวนการหลอมเหล็กวิญญาณ คือการนำแร่เหล็กธรรมดาใส่เข้าเตาหลอมที่มีผังแปรธาตุ ทั้งการแกะสลักและเปลวเพลิงเป็นของเขาเองทั้งสิ้น เขาจึงสามารถหลอมแร่เหล็กและทุบตีมันด้วยค้อนครั้งแล้วครั้งเล่าได้

ระหว่างกระบวนการหลอม ต้องกำจัดความไม่บริสุทธิ์ออกจากตัวแร่ และใช้กำลังภายในเพื่อผสมผสานหลอมขึ้นเป็นเหล็กวิญญาณ

แร่เหล็กหนักราวหนึ่งพันจิน จะถูกขัดเกลาจนกลายเป็นแท่งเหล็กวิญญาณขนาดหัวนิ้วมือ นี่คือขนาดพื้นฐานของแร่เหล็กวิญญาณที่ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว

หากเขาต้องการเหล็กวิญญาณชิ้นใหญ่ เช่นนั้นก็ต้องนำเหล็กวิญญาณขนาดเล็กหลายแท่งมารวมกันเป็นชิ้นใหญ่เพียงหนึ่ง

ฉินหยุนตีเหล็กวิญญาณเหล่านี้อยู่ในตำหนักจารึกเทวะอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อนานมาแล้ว เขาได้ผสมเหล็กวิญญาณกับกระดูกของสัตว์ปีศาจเข้าด้วยกันจนเกิดขึ้นเป็นกระดูกเหล็กกล้าคุณภาพดีด้วยซ้ำ

เพื่อได้เป็นอาจารย์จารึก การแปรธาตุและการหลอมคือทักษะที่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญ

“ยิ่งได้แท่งเหล็กขนาดเดียวกันแต่หนักกว่า ยิ่งหมายถึงคุณภาพของแท่งเหล็กที่สูงกว่า การแข่งขันแปรธาตุสมควรต้องใช้พื้นฐานตรงส่วนนี้งั้นสินะ?” ฉินหยุนชั่งน้ำหนักแท่งเหล็กวิญญาณที่เขาทำออกมา เพียงขนาดเล็กน้ำหนักก็กว่าสิบจินเข้าไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าหนักกว่าแท่งเหล็กวิญญาณที่เขาซื้อจากตำหนักจารึกเทวะกว่าสองหรือสามจินได้

หลังผ่านไปสองวันกับการฝึกฝนตีเหล็ก เขาจึงค่อยมั่นใจว่าพัฒนาขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ด้วยเปลวเพลิงทองม่วง เขาสามารถเสริมศักยภาพการหลอมเหล็กได้มหาศาลเลยทีเดียว

* * *

ตำหนักจารึกเทวะเวลานี้ถูกอาบไล้ด้วยแสงอรุณรุ่งอบอุ่น

เช้าวันใหม่มาถึง วันนี้คือวันเริ่มต้นการแข่งขันแปรธาตุ เป็นวันที่ผู้คนต่างรอคอย!

ภายในโถงที่เป็นทางการและงดงาม มีอาจารย์จารึกกว่าห้าสิบคนรวมตัวกันเรียงเป็นแถว

พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นอาจารย์จารึกจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่เรียกได้ว่าวัยชรากันแล้วทั้งนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นวัยกลางคน ทางด้านผู้เยาว์ไม่ต้องกล่าวถึง ไม่มีแม้แต่คนเดียว

อาจารย์จารึกเหล่านี้บ่อยครั้งมักจะมีท่าทีอหังการ แต่แล้วเมื่อพวกเขามาอยู่ที่โถงจารึกแห่งนี้ ท่าทีอหังการของพวกเขากลับเก็บเอาไว้มิด

การแข่งขันแปรธาตุจะจัดขึ้นทุกสิบปีต่อหนึ่งครั้ง นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญแก่พวกเขายิ่ง

หากสามารถได้รับอันดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่ชื่อเสียง ทั้งยังจะได้รับรางวัลไม่ใช่น้อย

รางวัลที่ได้รับกระทั่งว่าเป็นอาจารย์จารึกยังต้องเอาจริงเอาจังเพื่อไขว่คว้าพวกมันมา!

โดยเฉพาะในปีนี้ กล่าวว่าตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามได้ส่งคนมาเข้าร่วมด้วย!

“คิดว่าอาจารย์จารึกจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามน่าจะมีกว่ายี่สิบคน” ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา

“ก็ไม่เยอะ! ดูเหมือนตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามก็เหมือนเช่นพวกเรา ทั้งตำหนักดวงดาวกลับมีเพียงแค่ยี่สิบคน” ชายชราอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้น

อาจารย์เว่ยพลันแค่นเสียงกล่าว “บุคคลที่ถูกส่งมาโดยตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เพื่อเข้าร่วมแข่งขันแปรธาตุล้วนอายุยี่สิบถึงสามสิบปี! แต่แล้วในแถบภูมิภาคเรามีอาจารย์จารึกวัยเยาว์กี่คนกัน? ไม่มีเลยแม้สักคน!”

ไม่มีแม้สักคน?

เรื่องนี้ทำเอาบรรดาอาจารย์จารึกอาวุโสหลายท่านรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง!

“ดังนั้น พวกเราจะแพ้พวกคนหนุ่มสาวไม่ได้ ไม่งั้นก็อับอายขายหน้าแย่แล้ว!” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวทั้งยังหัวเราะ

อาจารย์จารึกจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามมาถึงแล้ว!

กลุ่มคนที่เดินเข้ามา ท่วงท่าก้าวเดินของพวกเขาสูงส่ง ทั้งหมดล้วนสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน

แม้พวกเขาสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าความอหังการนั้นไม่ปิดบัง

อีกทางหนึ่ง ผู้อาวุโสคนหนึ่งหันมองที่อาจารย์เว่ยขณะยิ้มและพยักหน้าให้

อาจารย์เว่ยเดินเข้าไปพร้อมยิ้มกล่าวทักทายจางเสวียนด้วยท่าทีมีมารยาท

ทุกผู้คนล้วนลอบริษยาและอิจฉาเมื่อได้เห็น ว่าอาจารย์เว่ยและคนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มีความสัมพันธ์อันดีกันเพียงใด

อาจารย์เว่ยมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีพร้อมยิ้มกล่าว “นี่คงเป็นอัจฉริยะแห่งตำหนักทิศใต้ที่มีชื่อเสียงด้านการแกะสลักแล้ว เหลียงซั่วจิน? ถึงกับได้เป็นอาจารย์จารึกระดับต้นด้วยวัยเพียงสิบเก้า ช่างน่านับถือนัก วันนี้ข้าโชคดีแล้วที่ได้พบเจออาจารย์เหลียงที่น่านับถือด้วยตนเอง นับว่าหล่อเหลาและมากล้นด้วยพรสวรรค์นัก สมแล้วที่เป็นผู้โด่งดัง!”

เหลียงซั่วจินยิ้ม ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอหังการขณะตอบกลับ “อาจารย์เว่ยก็เชี่ยวชาญผังวิญญาณที่ผู้อาวุโสหลายท่านนับถือไม่น้อย ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมาไม่น้อยเช่นกัน”

ขณะพวกเขาพูดคุย อาจารย์เว่ยพลันเห็นฉินหยุนก้าวเดินเข้ามา รอยยิ้มพลันแข็งค้าง

“นั่นฉินหยุนนี่?” เมื่ออาจารย์จารึกอาวุโสท่านหนึ่งเห็นฉินหยุน เขาพลันตะโกนอย่างตระหนก

ถึงตอนนี้ ศีรษะทุกผู้คนล้วนหันควับมองทางประตู สิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือ เด็กหนุ่มในชุดสีเทา หน้าตาหล่อเหลา และกำลังเดินเข้าสู่โถงที่เงียบงันทันทีเมื่อเขาปรากฏกายขึ้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด