ตอนที่แล้ว94 ทองคำในผืนทราย พระจันทร์ในเมฆหมอก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป96 สุนัขทิเบตันที่ถูกฆาตกรรม

95 ศีลธรรมในจิตใจค่อยๆตายไปกับกาลเวลา คำสัญญาจะมีความหมายอะไร?


95 ศีลธรรมในจิตใจค่อยๆตายไปกับกาลเวลา คำสัญญาจะมีความหมายอะไร?

 

ขอโทษ?!

 

หวังเย้าไม่ได้ตอบรับคำขอโทษจากเหอฉีเชิง  และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากนัก

 

วันต่อมา เหอฉีเชิงได้ขึ้นมาบนเนินเขาหนานชานอย่างไม่คาดคิด เขาต้องการที่จะมาขอโทษหวังเย้าด้วยตัวเอง

 

“ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่ควรที่จะเปิดเผยข้อมูลของคุณให้กับคนอื่นเลย” เหอฉีเชิงพูด

 

“เอ่อ อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วก็ปล่อยมันไปเถอะครับ แต่อย่าให้มีครั้งต่อไปนะครับ” หวังเย้าพูด เขารู้สึกเสียใจในตอนแรก แต่ต่อมาเขาก็เข้าใจว่าไม่มีใครสามารถรักษาคำสัญญาได้ตลอดไป ถึงแม้ว่าจะมีการลงนามในหนังสือสัญญาแล้วก็ตาม

 

คำสัญญาเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น

 

“เขาเป็นเพื่อนสนิทของผม เขาเชื่อถือได้แน่นอนครับ เขาเดินทางไปมาจนทั่วแล้วเพื่อรักษาลูกชายของเขาแต่ก็ไม่ดีขึ้น ผมรู้สึกสงสารเขามาเลยบอกเรื่องของคุณกับเขาไป” เหอฉีเชิงพูด

 

“เชิญดื่มชาก่อนครับ” หวังเย้าชงชาให้เหอฉีเชิงและเชิญเขานั่ง

 

เชื่อถือได้งั้นเหรอ? หวังเย้าคิด เหอฉีเชิงก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือคนหนึ่ง แต่ความจริงได้บอกเขาแล้วว่าเขาคิดผิด

 

“ผมติดหนี้คุณครั้งหนึ่งแล้วนะครับ” เหอฉีเชิงพูด เขารู้ว่าถึงอธิบายอะไรไป ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาได้ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้

 

คำสัญญาไม่ควรที่จะถูกทำลาย ไม่แม้แต่ครั้งเดียว

 

“แล้วลูกชายของเขาสามารถเดินทางมาที่นี่ได้เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

มันสายไปแล้วที่เขาจะปฏิเสธโจวฉง แล้วเหอฉีเชิงก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยสำหรับเขาด้วย หวังเย้าจึงอ่อนลงเล็กน้อย

 

“ผมคิดว่ามาได้ครับ” เหอฉีเชิงสบายใจขึ้น เมื่อรู้ว่าหวังเย้าได้พิจารณาเรื่องการช่วยเพื่อนของเขาอีกครั้ง เขากังวลว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังเย้าจะแย่ลง แต่ว่าโจวฉงนั้นเคยช่วยเขาในตอนที่เขากำลังลำบาก ดังนั้นเขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยลูกชายของโจวฉงเท่าที่จะทำได้

 

“โอเค บอกเขาด้วยว่าผมจะดูลูกชายของเขาให้” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณมากครับ! ให้เขามาหาคุณเมื่อไหร่ดีครับ?” เหอฉีเชิงถาม

 

“แล้วแต่เขาสะดวก แค่บอกผมก่อนว่าเขาจะมาเมื่อไหร่” หวังเย้าพูด

 

“ได้เลยครับ ผมต้องขอบคุณที่คุณยอมช่วยจากใจจริงเลยครับ!” เหอฉีเชิงตื่นเต้นมาก

 

“ไม่มีปัญหาครับ” หวังเย้าพูด

 

เหอฉีเชิงรู้สึกยินดีมากที่หวังเย้ายอมช่วยเหลือลูกชายของเพื่อนเขา

 

ฉันไม่แน่ใจว่าลูกชายของโจวฉงป่วยเป็นโรคอะไร หวังเย้ามองแปลงสมุนไพรและคิด ฉันต้องเตรียมตัวเผื่อไว้ก่อนดีกว่า

 

หวังเย้าได้รับสายจากผู้จัดการหลี่ ซึ่งเป็นผู้จัดการของร้านขายสมุนไพรในเมือง โทรมาบอกเขาว่าสมุนไพรที่เขาต้องการนั้นมาถึงแล้ว  ดังนั้นหวังเย้าจึงตัดสินใจที่จะเข้าเมืองในตอนกลางวัน

 

ครั้งนี้ไม่มีการเล่นแง่เหมือนครั้งก่อนอีก สมุนไพรไม่มีปัญหาทั้งอายุและคุณภาพนั้นตรงตามที่หวังเย้าต้องการทั้งหมด หวังเย้าจึงไม่ลังเลที่จ่ายเงินที่เหลือทั้งหมดในทันที เพราะยังไงในอนาคตหวังเย้าก็ยังต้องติดต่อซื้อขายกับผู้จัดการหลี่อีกหลายครั้ง และผู้จัดการหลี่ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าหวังเย้านั้นเป็นลูกค้าคนสำคัญคนหนึ่งของร้าน

 

“ขอบคุณครับ ไว้ผมจะมาอีก” หวังเย้าพูด

 

“ยินดีครับ! ในอนาคตถ้าคุณต้องการอะไรก็สามารถโทรมาได้เลยนะครับ จะได้ไม่ต้องมาสั่งที่ร้านด้วยตัวเอง” ผู้จัดการหลี่ยิ้ม

 

“ได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าตรงกลับบ้านทันทีที่ออกมาจากร้านขายสมุนไพร

 

วันต่อมา มันเป็นวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม

 

หวังเย้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคิดว่าพระอาทิตย์อาจจะไม่โผล่ออกมา เขามีสมุนไพรที่ต้องใช้สำหรับต้มยาครบแล้วและได้ไปเก็บฟืนมาจากบนเขา

 

ในวันที่สิบห้าของปีใหม่นั้น เป็นวันเทศกาลโคมไฟ

 

ผู้คนต่างพากันจุดประทัดไปทั่ว สะพานและต้นไม้ถูกประดับตกแต่งด้วยไฟระยิบระยับ และพระจันทร์ก็ส่องสว่างในตอนกลางคืน

 

หวังเย้าไม่ได้นอนบนเนินเขาและพี่สาวของเขาก็กลับมาที่บ้านในเทศกาลโคมไฟ หวังรุ่ยนั้นเงียบผิดปกติ เธอดูคล้ายกับว่ามีอะไรอยู่ในใจ

 

“รุ่ย เป็นอะไรไป? ลูกไม่สบายรึเปล่า?” จางซิวหยิงกังวลเล็กน้อย

 

“หนูสบายดีค่ะ” หวังรุ่ยยิ้มและพูด

 

“จริงเหรอ? แต่ลูกเงียบมากเลยนะวันนี้ มีอะไรก็บอกอย่าเก็บเอาไว้คนเดียวแบบนี้” จางซิวหยิงพูด

 

“หนูไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ!” หวังรุ่ยพูด

 

การหวังรุ่ยที่เงียบผิดปกติแบบนี้ก็ทำให้หวังเย้ารู้สึกไม่ดีเช่นกัน

 

ในตอนกลางคืนท้องฟ้าโปร่งใส พระจันทร์กลมโตคล้ายกับเค้กในคืนของเทศกาลโคมไฟ

 

“พี่ พี่โอเคไหม? อยากให้ผมตรวจดูรึเปล่า?” หวังเย้าพูดหลังจากมื้ออาหาร

 

“ฉันไม่เป็นอะไร! หยุดได้แล้ว!” หวังรุ่ยพูด

 

“ผมเข้าใจแล้ว!” หวังเย้ายิ้มออกมาและดวงตาเป็นประกาย

 

“นายเป็นอะไร?” หวังรุ่ยพูด

 

“พี่ พี่กำลังมีความรักเหรอ?” หวังเย้าล้อ

 

“ไร้สาระ! ไปไกลๆเลยนะ!” หวังรุ่ยตะคอกใส่หวังเย้า ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว

 

“ตอนนี้พี่สาวคนเดิมของผมกลับมาแล้ว!” หวังเย้าหัวเราะ

 

“ไปไกลๆเลย เลิกวุ่นวายกับฉันได้แล้ว!” หวังรุ่ยหัวเราะ

 

โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ทันใดนั้นหวังเย้าก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าขึ้นมา ไม่ใช่แค่ตัวเดียวที่เห่า แต่เป็นหลายตัว

 

เกิดอะไรขึ้น? หวังเย้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

 

อ้ากก! ตอนนั้นเองเขาได้ยินเสียงกรีดร้อง แล้วก็มีเสียงกรีดร้องอีก

 

“เกิดอะไรขึ้นกัน? ฉันจะออกไปดูข้างนอก” หวังเฟิงฮวาพูด เขาสวมเสื้อคลุมและเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับไฟฉาย

 

“พ่อ ผมจะไปด้วย” หวังเย้าลุกขึ้นและเดินไปหาพ่อของเขา

 

ทันทีที่เขาเปิดประตูออกไป เขาก็เห็นเงาดำผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว มันคล้ายกับสุนัขตัวหนึ่ง แต่มันมีขนาดใหญ่กว่าสุนัขทั่วไปมาก

 

“ตัวอะไร?” หวังเฟิงฮวาถามด้วยความประหลาดใจ

 

“มันคือสุนัข อาจจะเป็นพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์” หวังเย้าพูด สายตาของเขานั้นค่อนข้างดีเป็นพิเศษในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นในความมืดได้อย่างชัดเจน เขาทันเห็นว่ามันคือสุนัขและได้กลิ่นของเลือดด้วย

 

“มันเกิดอะไรขึ้นกัน? พ่อจำไม่เคยได้เลยว่าในหมู่บ้านเราจะมีใครที่เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้อยู่” หวังเฟิงฮวาพูด

 

ชาวบ้านหลายคนนั้นเลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสุนัขพันธุ์พื้นบ้านมากกว่า มันหาได้ยากมากที่จะมีใครบางคนในหมู่บ้านเลี้ยงสุนัขทิเบตันที่ดุร้ายแบบนี้เอาไว้  พวกมันหวงอณาเขตมากและมักจะทำร้ายมนุษย์บ่อยๆ แล้วชาวบ้านส่วนใหญ่คงไม่สามารถเลี้ยงสุนัขทิเบตันได้ เพราะความอยากอาหารที่สูงของมัน

 

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด